By: Pharmchompoo
หลายบทความก่อน ได้เคยกล่าวถึงเรื่องการตีกัน หรือเรียกเป็นศัพท์แสงหรู ๆ ว่า “อันตรกิริยา” หรือ “ปฏิกิริยา” (interaction) ระหว่าง บุหรี่กับยา แอลกอฮอล์กับยาแล้ว คราวนี้จะพูดถึง การตีกันระหว่างอาหารกับยา ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางอย่างด้วยที่จะกล่าวถึง เพราะในบางครั้งผลลัพธ์จากการ “ตีกัน” อาจจะรุนแรงกว่าที่เราคาดถึงได้

1.ผลไม้ตระกูลส้มโอ (GRAPEFRUIT) เป็นผลไม้จากพืชตระกูล Citrus ซึ่งในปัจจุบัน นิยมบริโภคกันมากขึ้น ทำให้เป็นความเสี่ยงในการเกิด ยาตีกันกับผลไม้ประเภทนี้
มีข้อมูลว่าผลไม้ชนิดนี้ (รวมถึงน้ำผลไม้ของมัน) ตีกันกับยานับร้อยรายการ เช่น ยาลดไขมันในเลือด atorvastatin, ยาคลายเครียด alprazolam, ยารักษาอาการทางหัวใจ amiodarone, ยาต้านเกล็ดเลือด clopidogrel, ยาลดความดันเลือด felodipine, ยากดภูมิ everolimus ฯลฯ โดยผลที่เกิดขึ้นนั้น มีทั้งที่น้ำผลไม้นี้ไปเพิ่มระดับยาในเลือดให้เพิ่มสูงขึ้น (หลายคนอาจจะรู้สึกว่าดี) จนกระทั่งเกิดความเป็นพิษได้ หรือในทางกลับกัน น้ำผลไม้นี้อาจจะลดระดับยาในเลือดจนกระทั่งยาไม่ออกฤทธิ์ได้ ดังนั้น หาก Grapefruit เป็นเมนูโปรดของผู้อ่าน และผู้อ่านกินยาอยู่หลายฃนิด โปรดแจ้งแพทย์และเภสัชกร เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
2.กระเทียม (GARLIC) จากฐานข้อมูล MICROMEDEX กระเทียมสามารถตีกับยาได้ประมาณเกือบ 80 รายการ เช่น ยาต้านไวรัส HIV amprenavir หรือ ritonavir, เสริมฤทธิ์กับแอสไพรินทำให้เลือดออกง่ายขึ้นและมากขึ้น เสริมฤทธิ์กับยาต้านเกล็ดเลือด clopidogrel ทำให้เลือดออกมากขึ้น เสริมฤทธิ์กับยาวาร์ฟารินทำให้เลือดออกง่ายขึ้นและมากขึ้น
3.แปะก้วย (Ginkgo) จากฐานข้อมูล MICROMEDEX แปะก้วยสามารถตีกับยาได้ประมาณเกือบ 300 รายการ แปะก้วยเสริมฤทธิ์กับยาต้านเกล็ดเลือด (antiplatelet) ทำให้เกิดเลือดออกได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น ผู้ป่วยที่ใช้ยากันเลือดแข็งตัวและกินแปะก้วยด้วย อาจมีปัญหาเลือดออกง่าย เลือดไหลไม่หยุดจนเป็นอันตรายได้ นอกจากนั้นแปะก้วยยังตีกันกับยาเหล่านี้ได้อีก เช่น ยา carbamazepine ทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาด้วยยานี้ลดลง ยารักษาอาการทางจิตเวช escitalopram ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียงจาก escitalopram มากขึ้น
4.น้ำมันปลา (FISH OIL) ต้องบอกก่อนว่า “น้ำมันปลา” (fish oil) ไม่เหมือนกันกับ “น้ำมันตับปลา” (cod liver oil) อย่างสิ้นเชิง เพราะน้ำมันตับปลานั้น สกัดจาก “ตับปลา” ส่วนประกอบสำคัญในน้ำมันตับปลานั้นจะเป็นวิตามินเอและดี ส่วนประกอบสำคัญในน้ำมันปลานั้นจะเป็นกรดไขมันตระกูล DHA และ EPA ซึ่งมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการ น้ำมันปลาสามารถตีกันกับวาร์ฟารินได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเสริมฤทธิ์ทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น หลายคนที่เวลาไปต่างประเทศมักจะซื้อหาผลิตภัณฑ์เหล่านี้มา และอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าต้องพึงระวังการใช้ในกลุ่มคนไข้ที่กินยาต้านการแข็งตัวของเลือด โดยตัวน้ำมันปลาเองถ้ากินในขนาดที่สูงมาก ๆ ก็มีผลเปลี่ยนแปลงสมดุลการแข็งตัวของเลือดได้ด้วยเช่นกัน
5.น้ำทับทิม (POMGRANATE JUICE) น้ำทับทิมที่ claim สรรพคุณทำให้สวยเด้ง เต่งตึง พบว่าตีกันกับยาวาร์ฟารินได้เช่นกัน โดยเพิ่มความเสี่ยงของการทำให้เลือดออก มีคำแนะนำว่าถ้าเลี่ยงได้อาจควรเลี่ยงการกินน้ำทับทิมหากมีการกินยาวาร์ฟารินอยู่ อาจเลี่ยงไปกินน้ำผลไม้อื่นๆ แทน
หลายบทความก่อน ได้เคยกล่าวถึงเรื่องการตีกัน หรือเรียกเป็นศัพท์แสงหรู ๆ ว่า “อันตรกิริยา” หรือ “ปฏิกิริยา” (interaction) ระหว่าง บุหรี่กับยา แอลกอฮอล์กับยาแล้ว คราวนี้จะพูดถึง การตีกันระหว่างอาหารกับยา ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางอย่างด้วยที่จะกล่าวถึง เพราะในบางครั้งผลลัพธ์จากการ “ตีกัน” อาจจะรุนแรงกว่าที่เราคาดถึงได้
1.ผลไม้ตระกูลส้มโอ (GRAPEFRUIT) เป็นผลไม้จากพืชตระกูล Citrus ซึ่งในปัจจุบัน นิยมบริโภคกันมากขึ้น ทำให้เป็นความเสี่ยงในการเกิด ยาตีกันกับผลไม้ประเภทนี้
มีข้อมูลว่าผลไม้ชนิดนี้ (รวมถึงน้ำผลไม้ของมัน) ตีกันกับยานับร้อยรายการ เช่น ยาลดไขมันในเลือด atorvastatin, ยาคลายเครียด alprazolam, ยารักษาอาการทางหัวใจ amiodarone, ยาต้านเกล็ดเลือด clopidogrel, ยาลดความดันเลือด felodipine, ยากดภูมิ everolimus ฯลฯ โดยผลที่เกิดขึ้นนั้น มีทั้งที่น้ำผลไม้นี้ไปเพิ่มระดับยาในเลือดให้เพิ่มสูงขึ้น (หลายคนอาจจะรู้สึกว่าดี) จนกระทั่งเกิดความเป็นพิษได้ หรือในทางกลับกัน น้ำผลไม้นี้อาจจะลดระดับยาในเลือดจนกระทั่งยาไม่ออกฤทธิ์ได้ ดังนั้น หาก Grapefruit เป็นเมนูโปรดของผู้อ่าน และผู้อ่านกินยาอยู่หลายฃนิด โปรดแจ้งแพทย์และเภสัชกร เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
2.กระเทียม (GARLIC) จากฐานข้อมูล MICROMEDEX กระเทียมสามารถตีกับยาได้ประมาณเกือบ 80 รายการ เช่น ยาต้านไวรัส HIV amprenavir หรือ ritonavir, เสริมฤทธิ์กับแอสไพรินทำให้เลือดออกง่ายขึ้นและมากขึ้น เสริมฤทธิ์กับยาต้านเกล็ดเลือด clopidogrel ทำให้เลือดออกมากขึ้น เสริมฤทธิ์กับยาวาร์ฟารินทำให้เลือดออกง่ายขึ้นและมากขึ้น
3.แปะก้วย (Ginkgo) จากฐานข้อมูล MICROMEDEX แปะก้วยสามารถตีกับยาได้ประมาณเกือบ 300 รายการ แปะก้วยเสริมฤทธิ์กับยาต้านเกล็ดเลือด (antiplatelet) ทำให้เกิดเลือดออกได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น ผู้ป่วยที่ใช้ยากันเลือดแข็งตัวและกินแปะก้วยด้วย อาจมีปัญหาเลือดออกง่าย เลือดไหลไม่หยุดจนเป็นอันตรายได้ นอกจากนั้นแปะก้วยยังตีกันกับยาเหล่านี้ได้อีก เช่น ยา carbamazepine ทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาด้วยยานี้ลดลง ยารักษาอาการทางจิตเวช escitalopram ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียงจาก escitalopram มากขึ้น
4.น้ำมันปลา (FISH OIL) ต้องบอกก่อนว่า “น้ำมันปลา” (fish oil) ไม่เหมือนกันกับ “น้ำมันตับปลา” (cod liver oil) อย่างสิ้นเชิง เพราะน้ำมันตับปลานั้น สกัดจาก “ตับปลา” ส่วนประกอบสำคัญในน้ำมันตับปลานั้นจะเป็นวิตามินเอและดี ส่วนประกอบสำคัญในน้ำมันปลานั้นจะเป็นกรดไขมันตระกูล DHA และ EPA ซึ่งมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการ น้ำมันปลาสามารถตีกันกับวาร์ฟารินได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเสริมฤทธิ์ทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น หลายคนที่เวลาไปต่างประเทศมักจะซื้อหาผลิตภัณฑ์เหล่านี้มา และอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าต้องพึงระวังการใช้ในกลุ่มคนไข้ที่กินยาต้านการแข็งตัวของเลือด โดยตัวน้ำมันปลาเองถ้ากินในขนาดที่สูงมาก ๆ ก็มีผลเปลี่ยนแปลงสมดุลการแข็งตัวของเลือดได้ด้วยเช่นกัน
5.น้ำทับทิม (POMGRANATE JUICE) น้ำทับทิมที่ claim สรรพคุณทำให้สวยเด้ง เต่งตึง พบว่าตีกันกับยาวาร์ฟารินได้เช่นกัน โดยเพิ่มความเสี่ยงของการทำให้เลือดออก มีคำแนะนำว่าถ้าเลี่ยงได้อาจควรเลี่ยงการกินน้ำทับทิมหากมีการกินยาวาร์ฟารินอยู่ อาจเลี่ยงไปกินน้ำผลไม้อื่นๆ แทน
หมายเหตุ : Pharmchompoo เป็นนามปากกาของเภสัชกรท่านหนึ่งซึ่งเรียนจบมาทางด้านเภสัชศาสตร์โดยตรง ปัจจุบันประจำอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง และบทความเชิงสาระความรู้เพื่อการตระหนักเกี่ยวกับการใช้ยาให้ถูกต้องเหมาะสม จะมาพบกับคุณผู้อ่านเป็นประจำอย่างน้อยสองครั้งต่อเดือน |