xs
xsm
sm
md
lg

ไม่มีใครต้องเจ็บ!! : การสื่อสารอย่างสันติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



ผู้เขียน : ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์
โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


เวลาเกิด “ความไม่พอใจ” แทนที่จะตะคอก หรือ ด่าทอ หรือ ทำกิริยาก้าวร้าวออกมา หรือ กระแทกใครกลับไป ควรกลับมา...

1. ตระหนัก เกี่ยวกับ ตนเองก่อนว่า เกิดอะไรขึ้นกับเรา เพราะอะไร “เราถึงไม่พอใจ”

ถ้าสงบเย็นขึ้นได้แล้ว และ รู้ทันเพราะอะไรเราถึง รู้สึกไม่พอใจ ค่อยเริ่มสื่อสารออกไปค่ะ ถ้ายังไม่สงบเย็น อย่าเพิ่งสือสาร
เพราะจะเกิดผลร้ายมากกว่าผลดี มักจะหลุดสิ่งที่ไม่ควรพูด และไม่ใช่ความรู้สึกที่อยากสื่อด้วยค่ะ

2. การสื่อสาร “I message” (บอกฝั่งเรา)

ควรสื่อสาร โดยการบอก ความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นด้านในภาษาทางจิตวิทยาเรียกการสื่อสารนี้ว่า “I message” ว่าเพราะอะไร เราถึงรู้สึกไม่พอใจ เช่น สิ่งที่เขาทำ หรือ พูด เรารู้สึกไม่ชอบ ไม่ชอบเพราะอะไร หรือสิ่งที่เขาทำ ทำให้เรารู้สึกแย่ หรือ เจ็บปวดเพราะอะไร (I message คือ การบอกสิ่งที่เป็นผลกระทบกับใจเราโดยไม่ได้ตำหนิใคร แต่บอกว่าสิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกดี หรือไม่ดีอย่างไร หรือทำให้เรารู้สึกแย่ เจ็บปวด กังวล หรือ ทำให้โกรธอย่างไร และเพราะอะไร เราเดือดร้อนจากมันอย่างไร บอกเป็นฝั่งเรา เพราะ สิ่งสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี คือสิ่งนั้นกระทบใจเรานี่เองค่ะ)

3. รับรู้ได้ถึงสิ่งที่คู่สนทนาเรา คิด / รู้สึก / เป็นอยู่ (empathy)

#ตัวอย่างที่ 1 เช่น

เราไม่ชอบใจที่เพื่อนพูดถึงแฟนเราที่เรากำลังมีปัญหากัน ฟังแล้วรู้สึกโกรธเพื่อน หงุดหงิดเพื่อน มองว่าเพื่อนวุ่นวาย เพื่อนไม่เข้าใจ และอยากด่าว่าเพื่อนเพราะรู้สึกโมโหเพื่อนอย่างมาก แทนที่เราจะหงุดหงิด หรือ ด่าว่าเพื่อนออกไป เรากลับมา

1. รู้ทันความไม่สบายใจนั้นก่อน ว่าที่มาคืออะไร 

(ตระหนักรู้ ตนเองก่อน : สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตใจเราด้านในคือ ที่เราโมโหเพื่อน เพราะเรากำลังไม่สบายใจ และกังวลอย่างมากกับปัญหาเรื่องแฟน พอฟังเพื่อนพูดยิ่งทำให้รู้สึกแย่ เจ็บปวด และจิตตกลงไปอีก จึงยังไม่พร้อมรับฟังคำแนะนำใดๆ จากใคร

2. การสื่อสาร ใช้ I message (การบอกฝั่งเรา)

: บอกเพื่อนว่า “ยังไม่อยากให้เพื่อนพูดถึง เพราะ เรายังรู้สึกแย่กับเรื่องนี้อยู่” (I message) “เข้าใจว่าเพื่อนหวังดี แต่เราไม่พร้อมรับฟัง เพราะเรากำลังไม่สบายใจกับเรื่องนี้อย่างมาก”

3. เพราะจริงๆ เราก็ไม่ได้เกลียดอะไรเพื่อนคนนี้

ถ้าใจเย็นลง เรารู้ได้ด้วยซ้ำว่าเพื่อนหวังดี และห่วงเรา (empathy) แต่ถ้าเราไม่ตระหนักรู้ และหลุดไปด่าว่าเพื่อนด้วยอารมณ์ที่ไม่นิ่งของเรา จากความโมโหบังตา และบังความอ่อนไหวในใจ ทำให้เราต้องไปทะเลาะกับเพือน เผลอไปด่าว่าเพือ ซึ่งในมุมกลับทำให้เราจะยิ่งรู้สึกแย่ลงไปกว่าเดิมอีก เพราะเรารู้สึกผิดที่ไปด่าว่าเพื่อน หรือบางครั้งอาจลุกลามจนเสียความสัมพันธ์กับเพือนไป โดยไม่ได้เจตนาให้เป็นอย่างนั้นเลย

#ตัวอย่างที่ 2

คุณแม่ ที่ห่วงลูกมาก อยากให้ลูกทำการบ้าน พอเห็นลูกเล่นเกม ไม่ยอมทำการบ้าน เกิดความรู้สึกโมโห เลยด่าทอลูก บางทีถ้าโมโหมาก อาจพูดคำเสียๆ หายๆ

“วันๆเอาแต่เล่น เหลวไหล มีลูกอย่างแก มีแต่ปวดหัว” ผลคือ ลูกยิ่งรู้สึกแย่ ไม่เข้าใจว่าแม่ทำไมต้องด่าว่าเขารุนแรงขนาดนี้ และกลายเป็นความผิดใจกันของแม่ลูก

จริงๆ คุณแม่รักมาก และห่วงใยลูกมากๆ แต่การพูดด้วยอารมณ์โมโห ทำให้ไม่สามารถสือสาร “ความรัก” ออกไปให้ลูกรับรู้ได้

การสื่อสารอย่างสันติ คือ

1. คุณแม่กลับมาตระหนักรู้ว่าตนกำลัง กังวลใจ ห่วงลูก ใส่ใจกับอนาคตของลูก

2. สื่อสารด้วย “ I message” ว่าแม่ห่วงและกังวลอะไร

“ห่วงการบ้านเยอะ ถ้าลูกไม่ทำ ลูกจะทำไม่ทัน”
“ห่วงว่าถ้าลูกไม่ทำการบ้าน แม่ห่วงลูกจะเรียนตามเพื่อนไม่ทัน”
“ห่วงว่าลูกเล่นเกม ไม่ทำการบ้าน ลูกจะเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง แม่รักลูกมาก อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี”

3. รับรู้ได้ว่าลูกเป็นเด็กย่อมอยากเล่นสนุกๆ ตามประสาเด็กๆ ได้ และไม่ได้คิดถึงอนาคตใหญ่โตได้ขนาดคุณแม่ (empathy)

ดังนั้นการกลับมาตระหนักรู้ตนเอง ใช้การสื่อสาร I message และรับรู้เข้าใจอีกฝ่ายจะช่วยทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างสันติ และตรงกับใจเรามากกว่าค่ะ เพราะเราได้สื่อสารความรู้สึกที่แท้จริงออกไป และทำให้อีกฝ่ายเข้าใจ และได้รับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของเราค่ะ ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกันค่ะ

__________________________________________________________

#คุณค่าการสื่อสารอย่างสันติ

สามารถเปลี่ยนจากการจะทะเลาะกันเป็นความเข้าใจกัน สามารถเปลี่ยนฉากในชีวิตจากฉากที่รุนแรง โศกนาฎกรรม (ซึ่งอาจกลายเป็นแผลใจเรื้อรัง) กลายเป็นความเข้าใจ และความเห็นใจกันได้ค่ะ หมั่นสื่อสาร ‘ด้วยความเข้าใจหัวใจตนเอง และ หัวใจผู้อื่น’ ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ค่ะ

กำลังโหลดความคิดเห็น