เบอร์ทอลลี่ แบรนด์น้ำมันมะกอกอันดับหนึ่งของโลก เผยกลยุทธ์ทางธุรกิจและการตลาดเป็นครั้งแรก เพื่อตั้งเป้าขยายส่วนแบ่งในตลาดน้ำมันสำหรับการบริโภค พร้อมเติบโตด้วยอัตรา 10% ในปี 2560 นี้ โดยคาดว่าเบอร์ทอลลี่® ซึ่งเป็นแบรนด์ภายใต้ความดูแลของบริษัท ดีโอเลโอ จากประเทศสเปน จะสามารถทำยอดขายได้กว่า 242 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งหากทำได้ตามเป้าหมายการเติบโตระดับเลขสองหลัก จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นตลาดอันดับหนึ่งของเบอร์ทอลลี่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก้าวสู่อันดับสามของเอเชีย ซึ่งตลาดน้ำมันมะกอกสามอันดับแรกของภูมิภาคเอเชียสำหรับ Deoleo S.A ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น อินเดียและไทย ตามลำดับ
เบอร์ทอลลี่ นับว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันมะกอกบรรจุขวดรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ยกให้ประเทศไทย มีฐานะเป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่นที่สุดของเอเชีย โดยปัจจุบันเบอร์ทอลลี่ครองส่วนแบ่งตลาดขายปลีกน้ำมันมะกอกในประเทศไทย 52% จากทั้งหมดของประเทศไทย โดยมีปริมาณการนำเข้าน้ำมันมะกอกในประเทศไทยประมาณ 4 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งจำนวนดังกล่าวรวมทั้งยอดขายปลีก การใช้งานในร้านอาหาร และภาคการผลิต อีกทั้งยังทำยอดขายได้มากถึง 220 ล้านบาทในปี 2559
ด้วยเป้าหมายการขยายธุรกิจในโอกาสนี้ มีที่มาจากการเติบโตในเชิงเศรษฐศาสตร์มหภาคของไทย และเทรนด์รักสุขภาพที่มีแนวโน้มโดดเด่น รวมถึงการเติบโตของจีดีพีที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 3.6% ในปี 2561 ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของชาติแถบโซนยุโรปที่คาดว่าจะอยู่เพียงที่ 1.8% ในปีเดียวกัน
มร. กาย มันซ์-โจนส์ กรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก “เบอร์ทอลลี่ โกลบอล” ผู้ผลิตน้ำมันมะกอกบรรจุขวดรายใหญ่ที่สุดของโลก แบรนด์ “เบอร์ทอลลี่” (BERTOLLI) ภายใต้การดูแลของ บริษัท ดีโอเลโอ ประเทศสเปน กล่าวว่า
“ความคาดหวังในเชิงบวกของเราที่มีต่อประเทศไทยนี้ มีรากฐานจากปัจจัยหลัก 2 ประการ ได้แก่ การขยายตัวของฐานผู้บริโภคกลุ่มชนชั้นกลาง และความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้นในประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำมันมะกอก เราพบว่ากลุ่มชนชั้นกลางที่อาศัยอยู่ในเมืองกำลังขยายตัวขึ้น โดยมีสัดส่วนมากถึง 72% ของประชากรในเมืองทั้งหมด และกลุ่มผู้บริโภคเหล่านี้ สนใจในเรื่องของสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ และกำลังมองหาผลิตภัณฑ์พรีเมียมระดับโลก เพื่อนำมาผสมผสานกับอาหารไทย
นอกจากนี้ ผลการศึกษาเกี่ยวกับชนชั้นกลางในประเทศไทยยังพบว่ากว่า 62% ยกให้การมีสุขภาพที่ดีเป็นเป้าหมายหลักอันดับต้นๆ ในชีวิต และยังพบว่า 90.2% ของประชากรชาวไทยที่ได้รับการสำรวจนั้น มองว่าระดับคอเลสเตอรอลเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ในการพิจารณาเลือกรับประทานอาหาร นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าคนไทยในกลุ่มตัวอย่างถึง 34.4% ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ได้เริ่มหันมารับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพในช่วง 1-6 เดือนหลัง เพราะเนื่องด้วยวัฒนธรรมด้านอาหารที่โดดเด่น และแนวโน้มการซึมซับเทรนด์ระดับโลกอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับเบอร์ทอลลี่ สอดคล้องกับคุณสมบัติของน้ำมันมะกอก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าคู่กับอาหารไทยได้อย่างออกรส ประโยชน์ต่อสุขภาพ และกระแสความนิยมในระดับโลก ซึ่งนอกจากนี้ ผู้บริโภคชาวไทยยังมีสัดส่วนของค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจในการเลือกซื้อสินค้าระดับพรีเมียม” นายกาย มันซ์ โจนส์ กล่าวเสริม
ด้านนายเศวต เศวตสมภพ กรรมการบริหารอาวุโส บริษัท ซีโน-แปซิฟิค เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า
“บริษัทซีโน-แปซิฟิค เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ได้นำเข้าจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคหลายๆ ชนิด เป็นบริษัทคนไทยที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 47 ปี ทางเราเองเป็นคู่ค้ากับทางเบอร์ทอลลี่กว่า 21 ปี จริงๆ ในเชิงช่องทางการจำหน่ายสินค้าของเราเอง ทางบริษัทมีการจำหน่ายสินค้าได้อย่างครอบคลุม และจากที่เป็นคู่ค้าร่วมกันมาเราจะได้เห็นอัตราการเติบโตอยู่เรื่อยๆ ของสินค้าเบอร์ทอลลี่ ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ.1998 ตอนนั้นถือได้ว่าตลาดยังเล็กมาก ทั้งในแง่การให้ความรู้และการให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับน้ำมะกอกไม่ว่าจะผ่านทางสื่อต่างๆ ก็ยังเข้าไม่ถึงพอ แต่ หลังจากที่ตลาดได้ขยายตัวขึ้นถึงสองเท่าตัวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เบอร์ทอลลี่ ประเทศไทย จึงได้ตั้งเป้าหมายในการขยายตลาดน้ำมันมะกอก ผ่านการสร้างความเข้าใจในกลุ่มผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการจับกระแสความสนใจที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันเพื่อ ซึ่งนับเป็นเทรนด์การบริโภคที่กำลังเป็นที่นิยม ทำให้ขณะนี้ที่มาที่ไปตลาดน้ำมันมะกอกค่อนข้างที่จะขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วคนไทยก็หันมาบริโภคและรู้ถึงคุณประโยชน์ของน้ำมันมะกอกมากขึ้นเรื่อยๆ”
อย่างไรก็ตามในปี 2560 นี้ กิจกรรมทางการตลาดของเบอร์ทอลลี่จะมุ่งเน้นมุมมองเชิงกลยุทธ์ในการเพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับคุณภาพและคุณประโยชน์ของน้ำมันมะกอก ผ่านการลงทุนรวมมูลค่ากว่า 18 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นหลัก โดยเฉพาะทางเฟสบุ๊ค รวมทั้งเน้นการสร้างความรู้และเปลี่ยนความเชื่อผิดๆ ของคนไทยกับการใช้น้ำมันมะกอกผ่านเซเล็บและผู้มีชื่อเสียงในแวดวงอาหารที่นิยมใช้น้ำมันมะกอกในการปรุงอาหารไทย อาทิ เช่น เชฟน่าน หงษ์วิวัฒน์ ผู้คร่ำหวอดในเรื่องอาหารและเป็นผู้ผลิตตำราอาหาร นิตยสารด้านอาหารและหนังสือสุขภาพ , พศิษฐ์ คณาศิริชัยนนท์ นักกำหนดอาหารวิชาชีพ เป็นต้น
กรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก “เบอร์ทอลลี่ โกลบอล” ยังกล่าวต่ออีกว่า
“เราเชื่อว่าหากเรามุ่งเน้นการผสมผสานให้น้ำมันมะกอกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภคชาวไทย เราก็จะสามารถสร้างการเติบโตของตลาดในระยะยาวได้ เรามุ่งหวังที่จะเพิ่มความรู้และความมั่นใจในการใช้น้ำมันมะกอก รวมถึงประโยชน์ของน้ำมันมะกอก ให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รับทราบ ผ่านช่องทางการตลาดของเรา เบอร์ทอลลี่มุ่งมั่นที่จะมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพให้กับผู้บริโภคชาวไทย และเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เป็นผู้นำในการพลิกโฉมตลาดไทยให้กลายเป็นตลาดชั้นนำของผลิตภัณฑ์น้ำมันมะกอกในภูมิภาคนี้”
เบอร์ทอลลี่ ถือได้ว่าเป็นแบรนด์น้ำมันมะกอกอันดับหนึ่งในประเทศไทย ที่เสนอแนวคิดใหม่ที่มีต่อการใช้น้ำมันมะกอกในการปรุงอาหารไทย เพื่อให้ผู้บริโภคก้าวข้ามขีดจำกัดในการปรุงอาหาร และเปิดโลกให้กับผู้บริโภคชาวไทย เกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้น้ำมันมะกอกในการปรุงอาหารไทยเนื่องจากน้ำมันมะกอกเหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาปรุงอาหารจานร้อน อีกทั้งยังมีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ นำมาทอดจะมีรสชาติที่อร่อย และไม่เพียงแต่รสชาติที่อร่อยเท่านั้น น้ำมันมะกอกยังเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย ประโยชน์ของน้ำมันมะกอกมีมากมาย เช่น เป็นน้ำมันที่อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีมากกว่าเนย มาการีน และน้ำมันประเภทอื่นๆ โดยกรดไขมันไม่อิ่มตัวนี้จะเข้าไปแทนที่ไขมันไม่ดี ในร่างกาย และผลก็คือจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิด LDL ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดเบาหวาน แถมยังอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ซึ่งมีส่วนช่วยยับยั้งการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายของเรา
น้ำมันมะกอกของเบอร์ทอลลี่จะมี 3 แบบด้วยกัน ดังนี้
1.น้ำมันมะกอก ชนิด เอ็กตร้าไลท์ เป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 100% ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนโดยเฉพาะทอดและผัด รวมไปถึงการประกอบอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูง ชนิดนี้จะมีรสชาติบางเบาและละมุน สามารถนำไปใช้ประกอบอาหารไทยแทนน้ำมันชนิดอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี
2.น้ำมันมะกอก ชนิด คลาสสิกโค จัดเป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 100% จะมีรสชาติกลางๆ และนุ่มนวล เหมาะแก่การผัด การย่าง และการอบซึ่งน้ำมันมะกอกชนิดนี้จะยังคงรสชาติที่ดีระหว่างการปรุงอาหารแม้ในอุณหภูมิสูง
3.น้ำมันมะกอก ชนิด เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น จะมีรสชาติเข้มข้น ถือได้ว่าบริสุทธิ์ที่สุด เหมาะสำหรับการปรุงอาหารที่ไม่ต้องใช้ความร้อนอย่างเช่น รับประทานกับสลัดโดยใช้เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของน้ำสลัด ดิปปิ้งซอส เพิ่มรสชาติให้กับซุป ซอสต่างๆ รวมไปถึงนำมาเป็นซอสสำหรับหมักได้เป็นอย่างดี โดยน้ำมันมะกอกชนิดนี้จะช่วยเพิ่มความหอมและความอร่อยให้แก่เมนูอาหาร
เบอร์ทอลลี่ นับว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันมะกอกบรรจุขวดรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ยกให้ประเทศไทย มีฐานะเป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่นที่สุดของเอเชีย โดยปัจจุบันเบอร์ทอลลี่ครองส่วนแบ่งตลาดขายปลีกน้ำมันมะกอกในประเทศไทย 52% จากทั้งหมดของประเทศไทย โดยมีปริมาณการนำเข้าน้ำมันมะกอกในประเทศไทยประมาณ 4 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งจำนวนดังกล่าวรวมทั้งยอดขายปลีก การใช้งานในร้านอาหาร และภาคการผลิต อีกทั้งยังทำยอดขายได้มากถึง 220 ล้านบาทในปี 2559
ด้วยเป้าหมายการขยายธุรกิจในโอกาสนี้ มีที่มาจากการเติบโตในเชิงเศรษฐศาสตร์มหภาคของไทย และเทรนด์รักสุขภาพที่มีแนวโน้มโดดเด่น รวมถึงการเติบโตของจีดีพีที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 3.6% ในปี 2561 ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของชาติแถบโซนยุโรปที่คาดว่าจะอยู่เพียงที่ 1.8% ในปีเดียวกัน
มร. กาย มันซ์-โจนส์ กรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก “เบอร์ทอลลี่ โกลบอล” ผู้ผลิตน้ำมันมะกอกบรรจุขวดรายใหญ่ที่สุดของโลก แบรนด์ “เบอร์ทอลลี่” (BERTOLLI) ภายใต้การดูแลของ บริษัท ดีโอเลโอ ประเทศสเปน กล่าวว่า
“ความคาดหวังในเชิงบวกของเราที่มีต่อประเทศไทยนี้ มีรากฐานจากปัจจัยหลัก 2 ประการ ได้แก่ การขยายตัวของฐานผู้บริโภคกลุ่มชนชั้นกลาง และความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้นในประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำมันมะกอก เราพบว่ากลุ่มชนชั้นกลางที่อาศัยอยู่ในเมืองกำลังขยายตัวขึ้น โดยมีสัดส่วนมากถึง 72% ของประชากรในเมืองทั้งหมด และกลุ่มผู้บริโภคเหล่านี้ สนใจในเรื่องของสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ และกำลังมองหาผลิตภัณฑ์พรีเมียมระดับโลก เพื่อนำมาผสมผสานกับอาหารไทย
นอกจากนี้ ผลการศึกษาเกี่ยวกับชนชั้นกลางในประเทศไทยยังพบว่ากว่า 62% ยกให้การมีสุขภาพที่ดีเป็นเป้าหมายหลักอันดับต้นๆ ในชีวิต และยังพบว่า 90.2% ของประชากรชาวไทยที่ได้รับการสำรวจนั้น มองว่าระดับคอเลสเตอรอลเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ในการพิจารณาเลือกรับประทานอาหาร นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าคนไทยในกลุ่มตัวอย่างถึง 34.4% ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ได้เริ่มหันมารับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพในช่วง 1-6 เดือนหลัง เพราะเนื่องด้วยวัฒนธรรมด้านอาหารที่โดดเด่น และแนวโน้มการซึมซับเทรนด์ระดับโลกอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับเบอร์ทอลลี่ สอดคล้องกับคุณสมบัติของน้ำมันมะกอก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าคู่กับอาหารไทยได้อย่างออกรส ประโยชน์ต่อสุขภาพ และกระแสความนิยมในระดับโลก ซึ่งนอกจากนี้ ผู้บริโภคชาวไทยยังมีสัดส่วนของค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจในการเลือกซื้อสินค้าระดับพรีเมียม” นายกาย มันซ์ โจนส์ กล่าวเสริม
ด้านนายเศวต เศวตสมภพ กรรมการบริหารอาวุโส บริษัท ซีโน-แปซิฟิค เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า
“บริษัทซีโน-แปซิฟิค เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ได้นำเข้าจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคหลายๆ ชนิด เป็นบริษัทคนไทยที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 47 ปี ทางเราเองเป็นคู่ค้ากับทางเบอร์ทอลลี่กว่า 21 ปี จริงๆ ในเชิงช่องทางการจำหน่ายสินค้าของเราเอง ทางบริษัทมีการจำหน่ายสินค้าได้อย่างครอบคลุม และจากที่เป็นคู่ค้าร่วมกันมาเราจะได้เห็นอัตราการเติบโตอยู่เรื่อยๆ ของสินค้าเบอร์ทอลลี่ ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ.1998 ตอนนั้นถือได้ว่าตลาดยังเล็กมาก ทั้งในแง่การให้ความรู้และการให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับน้ำมะกอกไม่ว่าจะผ่านทางสื่อต่างๆ ก็ยังเข้าไม่ถึงพอ แต่ หลังจากที่ตลาดได้ขยายตัวขึ้นถึงสองเท่าตัวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เบอร์ทอลลี่ ประเทศไทย จึงได้ตั้งเป้าหมายในการขยายตลาดน้ำมันมะกอก ผ่านการสร้างความเข้าใจในกลุ่มผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการจับกระแสความสนใจที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันเพื่อ ซึ่งนับเป็นเทรนด์การบริโภคที่กำลังเป็นที่นิยม ทำให้ขณะนี้ที่มาที่ไปตลาดน้ำมันมะกอกค่อนข้างที่จะขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วคนไทยก็หันมาบริโภคและรู้ถึงคุณประโยชน์ของน้ำมันมะกอกมากขึ้นเรื่อยๆ”
อย่างไรก็ตามในปี 2560 นี้ กิจกรรมทางการตลาดของเบอร์ทอลลี่จะมุ่งเน้นมุมมองเชิงกลยุทธ์ในการเพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับคุณภาพและคุณประโยชน์ของน้ำมันมะกอก ผ่านการลงทุนรวมมูลค่ากว่า 18 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นหลัก โดยเฉพาะทางเฟสบุ๊ค รวมทั้งเน้นการสร้างความรู้และเปลี่ยนความเชื่อผิดๆ ของคนไทยกับการใช้น้ำมันมะกอกผ่านเซเล็บและผู้มีชื่อเสียงในแวดวงอาหารที่นิยมใช้น้ำมันมะกอกในการปรุงอาหารไทย อาทิ เช่น เชฟน่าน หงษ์วิวัฒน์ ผู้คร่ำหวอดในเรื่องอาหารและเป็นผู้ผลิตตำราอาหาร นิตยสารด้านอาหารและหนังสือสุขภาพ , พศิษฐ์ คณาศิริชัยนนท์ นักกำหนดอาหารวิชาชีพ เป็นต้น
กรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก “เบอร์ทอลลี่ โกลบอล” ยังกล่าวต่ออีกว่า
“เราเชื่อว่าหากเรามุ่งเน้นการผสมผสานให้น้ำมันมะกอกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภคชาวไทย เราก็จะสามารถสร้างการเติบโตของตลาดในระยะยาวได้ เรามุ่งหวังที่จะเพิ่มความรู้และความมั่นใจในการใช้น้ำมันมะกอก รวมถึงประโยชน์ของน้ำมันมะกอก ให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รับทราบ ผ่านช่องทางการตลาดของเรา เบอร์ทอลลี่มุ่งมั่นที่จะมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพให้กับผู้บริโภคชาวไทย และเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เป็นผู้นำในการพลิกโฉมตลาดไทยให้กลายเป็นตลาดชั้นนำของผลิตภัณฑ์น้ำมันมะกอกในภูมิภาคนี้”
เบอร์ทอลลี่ ถือได้ว่าเป็นแบรนด์น้ำมันมะกอกอันดับหนึ่งในประเทศไทย ที่เสนอแนวคิดใหม่ที่มีต่อการใช้น้ำมันมะกอกในการปรุงอาหารไทย เพื่อให้ผู้บริโภคก้าวข้ามขีดจำกัดในการปรุงอาหาร และเปิดโลกให้กับผู้บริโภคชาวไทย เกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้น้ำมันมะกอกในการปรุงอาหารไทยเนื่องจากน้ำมันมะกอกเหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาปรุงอาหารจานร้อน อีกทั้งยังมีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ นำมาทอดจะมีรสชาติที่อร่อย และไม่เพียงแต่รสชาติที่อร่อยเท่านั้น น้ำมันมะกอกยังเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย ประโยชน์ของน้ำมันมะกอกมีมากมาย เช่น เป็นน้ำมันที่อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีมากกว่าเนย มาการีน และน้ำมันประเภทอื่นๆ โดยกรดไขมันไม่อิ่มตัวนี้จะเข้าไปแทนที่ไขมันไม่ดี ในร่างกาย และผลก็คือจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิด LDL ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดเบาหวาน แถมยังอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ซึ่งมีส่วนช่วยยับยั้งการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายของเรา
น้ำมันมะกอกของเบอร์ทอลลี่จะมี 3 แบบด้วยกัน ดังนี้
1.น้ำมันมะกอก ชนิด เอ็กตร้าไลท์ เป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 100% ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนโดยเฉพาะทอดและผัด รวมไปถึงการประกอบอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูง ชนิดนี้จะมีรสชาติบางเบาและละมุน สามารถนำไปใช้ประกอบอาหารไทยแทนน้ำมันชนิดอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี
2.น้ำมันมะกอก ชนิด คลาสสิกโค จัดเป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 100% จะมีรสชาติกลางๆ และนุ่มนวล เหมาะแก่การผัด การย่าง และการอบซึ่งน้ำมันมะกอกชนิดนี้จะยังคงรสชาติที่ดีระหว่างการปรุงอาหารแม้ในอุณหภูมิสูง
3.น้ำมันมะกอก ชนิด เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น จะมีรสชาติเข้มข้น ถือได้ว่าบริสุทธิ์ที่สุด เหมาะสำหรับการปรุงอาหารที่ไม่ต้องใช้ความร้อนอย่างเช่น รับประทานกับสลัดโดยใช้เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของน้ำสลัด ดิปปิ้งซอส เพิ่มรสชาติให้กับซุป ซอสต่างๆ รวมไปถึงนำมาเป็นซอสสำหรับหมักได้เป็นอย่างดี โดยน้ำมันมะกอกชนิดนี้จะช่วยเพิ่มความหอมและความอร่อยให้แก่เมนูอาหาร