นอกจากความสามารถ ความเก่ง ที่เป็นแรงดึงดูดให้ใครหลายๆ คนต่างพัฒนาและเพิ่มพูนศักยภาพตัวเอง เรื่องของสัดส่วนทรวดทรง “น้ำหนัก” ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ในยุคนี้มองข้ามไปไม่ได้ที่จะสะกด

ในโลกและวันเวลาที่เราสามารถกำหนดทุกสิ่งได้เพียงปลายนิ้ว
ล้มแล้วลุก ลุกแล้วล้ม ล้วนแต่เป็นประสบการณ์ที่ต้องพบเจอ
แต่จะสำคัญอะไรถ้าใครสักคนจะลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองแล้วทำได้
นี่คือเรื่องราวที่จะสร้างแรงบันดาลใจและสร้างตัวตนใหม่ที่คุณจะคิดไม่ถึง

ลดความอ้วนครั้งแรกในชีวิต
…บทเริ่มต้นที่ต้องทำให้ถูกวิธี…
ย้อนไปตอนวัยรุ่นโอ๋รูปร่างปานกลาง สูง 162 เซนติเมตร น้ำหนัก 47-48 กิโลกรัม เป็นคนแอคทีฟ เล่นกีฬาบ้าง กินเก่ง ห้าวๆ ไม่สนใจเรื่องความสวยความงาม เรื่องอ้วน ผอม
ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ตอนนั้นอายุ 21 ปี เครียดมากๆ กินอะไรไม่ลง วันๆ กินน้อยมาก บางวันกินแค่ผลไม้นิดหน่อย ด้วยความที่นิสัยแอคทีฟ พอรู้สึกเครียด ก็แก้เครียดด้วยการออกกำลังกาย ว่ายน้ำสัปดาห์ละ 3 วัน และเข้ายิม น้ำหนักจึงลดฮวบ ผอมสลิม
น้ำหนักเพียง 42-43 กิโลกรัม รอบเอว 23 นิ้วเท่านั้น เรียกได้ว่าตัวบางร่างน้อยเลยทีเดียวแม้ลดแบบไม่ได้ตั้งใจจะลด ทว่าอย่างไรก็ตามใครที่ผอมเพราะกินน้อยมากๆ และใช้พลังงานเยอะๆ ผลที่ตามมาคืออาการ “โยโย่” ส่งผลให้น้ำหนักเด้งทุกราย ซึ่งโอ๋ก็หลีกหนีไม่พ้นวิกฤตนี้เช่นกัน
พอผ่านช่วงเครียดๆ กลับมากินอาหาร ใช้ชีวิตได้ตามปกติ เรียนจบ ทำงาน ไม่ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จาก 42-43 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัม เป็น 52 กิโลกรัม ซึ่งจริงๆ ก็ยังไม่อ้วนหรอก เมื่อเทียบส่วนสูง 162 เซนติเมตร แต่สำหรับวัยนั้นและยุคนั้น หุ่นนางแบบต้องแห้งเหมือนไม้เสียบผี เราจึงคิดว่าต้องลดความอ้วนหน่อยล่ะ
ก็มีวันหนึ่งโอ๋ไปบ้านเพื่อน เห็นรูปเพื่อนตอนอ้วนๆ แต่เขาลดจนผอมลงมากด้วยการกินแต่ฝรั่งจิ้มพริกเกลือเป็นเดือนๆ คือเรารู้สึกมันเหลือเชื่อมาก แต่เขาลดได้ เราก็น่าจะลองบ้าง ทีนี้ก็ไปตลาดซื้อฝรั่งเลย วันๆ กินแค่ฝรั่งกับน้ำเต้าหู้ ทำอยู่สามสี่วัน ฝรั่งเต็มท้องตลอด แต่หิวมาก เพราะแคลอรี่มันต่ำและท้องอืดมาก ทำให้ท้องป่อง (ลากเสียง) และตดระเบิดระเบ้อตลอดเวลา ก็กลับมานึกสงสัยเพื่อนทำได้อย่างไร การกินฝรั่งเป็นเดือนๆ แต่เรากินแค่สามสี่วัน น้ำหนักไม่ลด ยังพุงป่องเพิ่มด้วย พอรู้ว่าไม่เวิร์ค
ซึ่งหากนึกย้อนกลับไปก็แอบดีใจที่ตอนนั้นไม่กัดฟันกินแต่ฝรั่งจนผอม เพราะถ้าทำจนผอมจริง ไม่อยากจะคิดว่าตอนโยโย่จะไปขนาดไหน ระบบร่างกาย ระบบการย่อยจะรวนแปรปรวนจนส่งผลถึงร่างกายที่นอกจากน้ำหนักยังจะไม่ลดแล้ว ยังขาดสารอาหาร เสียสุขภาพร่างกายอีกด้วย

วิ่งทั้งที่เกลียดวิ่งมากที่สุด
…แต่คือคำตอบที่ใช่…
หลังจากริเริ่มทดลองลดน้ำหนักด้วยวิธีการที่ผิด จึงเลือกใช้วิธีการดั้งเดิม
คือก็มานั่งคิดว่าทำไมตอนปีสี่ เราผอมลงมาก ก็ได้คำตอบว่าเพราะออกกำลังกาย ฉะนั้นวิธีนี้มันต้องเวิร์คสิ ก็เลยเริ่มวิ่ง ไปวิ่งสวนลุมทุกเช้าทุกวัน จันทร์-ศุกร์ สัปดาห์ละ 5 วัน ทั้งที่เกลียดการวิ่งมากๆ
แต่จากวันแรกๆ วิ่งได้หน่อย 200 เมตร ก็เหนื่อย แต่ก็อดทน จนวิ่งไปได้สักครึ่งเดือน เริ่มอึดขึ้น ตอนนั้นอายุ 24 เมื่อ 16 ปีที่แล้ว ยังไม่มีหนังรักที่ นิชคุณ หรเวชกุล แสดงคู่กับคุณสู่ขวัญ บูลกุล งานวิ่งมันก็เลยยังไม่ดังในหมู่วัยรุ่นแบบในปัจจุบัน สวนลุมไม่ค่อยมีหนุ่มสาวมาวิ่ง มีแต่ผู้สูงอายุมาเดิน-วิ่ง หรือไม่ก็รำมวยไทเก็ก เล่นโยคะ โอ๋เลยก็กลายเป็นขวัญใจของลุงป้าที่นั่น
เราก็เลยเริ่มสนุก เพราะเริ่มมีอาแปะมาทักทาย ชวนคุย เรียกไปวิ่งด้วยกัน คืออาแปะคนหนึ่งไม่วิ่ง แต่เดินเร็ว มือถือน้ำหนักสองข้าง โอ๋วิ่งตามด้วยสปีดเดียวกับอาแปะเดิน ได้แค่สองรอบจอด แต่แปะยังไปเดินต่ออีกสองรอบ แต่ topic ที่สำคัญ ลุงๆ ป้าๆ ชอบคุยกันสนทนาเรื่องทายว่าโอ๋อายุเท่าไหร่ คนใหม่ๆ ที่ยังไม่รู้จักจะทายว่า 18-20 ปี แต่พอเฉลยว่า 24 ปี ก็เฮฮากันและชื่นชมให้กำลังใจที่เห็นสาวรุ่นมาออกกำลังกายทุกวัน โอ๋เลยได้รู้จักสังคมใหม่ๆ ที่ออกกำลังกายเป็นกิจวัตร ลุงป้าแต่ละท่านออกกำลังกายมายาวนาน เรายังอายุน้อยแต่กลับแข็งแรงสู้พวกท่านไม่ได้เลย (ลากเสียง)
ทีนี้จากนั้นอาแปะเดินทนคนเดิม ท่านเอ็นดูโอ๋มาก ท่านก็ช่วยแนะนำและเชียร์ให้ลงมาราธอน เราก็คิดในใจว่าแค่วิ่งๆ เดินๆ สวนลุม 2 รอบ ไม่ถึง 5 กม. ยังลิ้นห้อยแล้ว มาราธอน 42 กิโลเมตร มันคงเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หรือต่อให้ขี่จักรยานก็ยังไม่รู้จะถึงเลยหรือเปล่าด้วยซ้ำ แต่อาแปะท่านก็ให้กำลังใจว่า ได้สิๆ อายุเรานิดเดียวแค่นี้ ฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็วิ่งมาราธอนได้สบาย แกก็ยกตัวอย่างว่า มีคุณยายคนหนึ่งอายุ 80 ปี แล้ว ตอนมาสวนลุมครั้งแรก ลูกหลานต้องหิ้วปีกสองข้างลงจากรถ แต่ทุกวันนี้แกมาทุกวัน จนตอนนี้วิ่งมาราธอนแล้ว
จากคำชักชวนแปรเปลี่ยนเป็นกำลังใจและเก็บคำพูดนี้ฝังใจตั้งแต่วันนั้นจนทุกวันนี้ คือไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าความพยายามอยู่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ทว่าในขณะที่สาวน้อยตั้งปณิธานเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายแบบตั้งใจ ฟังแล้วทำท่าเหมือนจะดี แต่ก็กลับมาติดกับดักอีกเข้าจนได้
ช่วงนั้นเริ่มคบหนุ่มคนหนึ่ง พอเขารู้ว่าเรากำลังตั้งใจลดความอ้วนด้วยการ รับประทานแต่น้อย จัดต้มแกงจืดกะหล่ำปลีวันละ 1 หัว กินแต่กะหล่ำปลี กะว่าผอมแน่ๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิดคิดว่าการลดความอ้วนคือการกินแต่น้อย ดีที่เพิ่งทำได้แค่วันสองวัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เกิดจุดเปลี่ยนเพราะเขาแนะนำว่า "อยากลดความอ้วนจะมาวิ่งกับกินกะหล่ำปลีต้มอยู่ทำไม กินยาลดความอ้วนดีกว่า พี่รู้จักคลีนิคดังที่ดาราไปกันเยอะ เดี๋ยวพาไป" ซึ่งสมัยนั้น การลดความอ้วนของผู้หญิง คือ กินยาลดความอ้วนหรือสูตรอาหาร 3 วัน 7 วัน แจกกันเป็นของล้ำค่า การออกกำลังกาย โดยเฉพาะฝึกเวทและคุมอาหารแทบไม่มีใครรู้จักหรือทำกัน นั้นเป็นจุดเปลี่ยนที่แย่ยิ่งกว่ากินกะหล่ำปลีอีก
ระหว่างที่เราไม่รู้ เราเชื่อเพราะดาราเขาลดแบบนี้ มันต้องดีแน่เลย ก็เลยกินยาลดความอ้วนอยู่เดือนหนึ่ง ผลคือน้ำหนักไม่เห็นจะลด แต่คอแห้งหิวน้ำบ่อยและหงุดหงิดง่าย อะไรที่เคยทนได้ เริ่มทนไม่ไหว ความอดทนต่ำลง พอเห็นว่าน้ำหนักไม่เห็นจะลงเลย ก็เลยเลิกกิน นับเป็นเดชะบุญจริงๆ

แต่งงาน
…ฝันและความจริงที่สร้างแรงบันดาลใจ…
แรงใจในการลดน้ำหนักที่ดีที่สุดของผู้หญิง คือ ลดเพราะอยากใส่ชุดเจ้าสาวสวยๆ และช่วงที่อ้วนได้เร็วที่สุดของผู้หญิงคือ หลังแต่งงาน
ก่อนแต่งโอ๋ก็ลดความอ้วน เพราะอยากใส่ชุดเจ้าสาวสวยๆ จนกลับมาหนัก 48 กิโลกรัม เพราะไปวิ่งสวนลุมนั่นแหละ แต่สามีคนที่พาไปคลินิกลดความอ้วน ไม่ค่อยชอบให้หน้าเรียวๆ เท่าไหร่ ชอบให้แก้มป่องๆ อวบๆ มากกว่า พอแต่งแล้วก็ชวนกินอย่างหนักหน่วง สาหัส แอบคิดในใจว่านี่เป็นวิธีหวงภรรยาของผุ้ชายรึเปล่า เขาก็เลยพากินข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ตอนเที่ยงคืนทุกวัน เมนูของแต่ละวันวนๆ อยู่ที่ ผัดไทย หอยทอด ขาหมู ข้าวมันไก่ ไก่ทอด หมูทอด ทอดมัน ไอติม บัวลอย น้ำแข็งใส และเลิกออกกำลังกายไปเลย
น้ำหนักก็ขึ้นมา 52-54 กิโลกรัม ทว่าต่างจากตอนไม่มีกล้ามเนื้อ น้ำหนักเท่านี้มันคนละหุ่นกับตอนนี้เลยนะ เลยฮึดออกกำลังกายเป็นพักๆ อยู่คอนโด ก็ไปวิ่งขึ้นลงบันได 15 ชั้น ตอนนั้นไม่รู้จักว่าฝึกเวทคืออะไร รู้แต่ลดพุงต้องซิทอัพ ทีนี้แม่เห็นว่าอ้วน ก็เลยให้สูตร(แอบอ้าง) พระเทพฯ มาโฆษณาเสร็จสรรพว่า ไม่ต้องออกกำลังกาย คนรู้จัก กินแบบนี้ ทำมาหลายรอบแล้ว ผอมลงเยอะมากและหุ่นแบบนั้นมาเป็นปี ไม่อ้วนขึ้น แต่ด้วยความหวังที่แทบริบหรี่เลยไปซื้ออาหารตามตารางที่แม่ให้มาเลย
ทว่าสูตรห้าวันเจ็ดวันพวกนี้คือที่สุดของความทรมานต้องนั่งมองนาฬิกาทั้งวัน เมื่อไหร่จะถึงมื้อต่อไป
นั่งเปิดตารางอาหารดูจนจำได้ แม้บางมื้อก็เป็นของที่ไม่ชอบเลยและแต่ละมื้อกินน้อยมาก ไม่มีอิ่ม แต่ก็ต้องอดทนกินจนครบวันตามตาราง ผลคือน้ำหนักลดไป 2 กิโลกรัม พอกลับมากินปกติอาทิตย์เดียวก็กลับขึ้นมาเหมือนเดิม เมื่อคิดได้อย่างนั้นในหลายปีช่วงนั้นกำลังสร้างฐานะ ทำงานหนัก อดหลับอดนอน กินข้าวไม่เป็นเวลา หิวก็เลยกิน กินๆ ทำให้น้ำหนักก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ 56 58 64 และ 68 กิโลกรัม สภาพใบหน้าพองเหมือนเป่าลม หน้ากลม คอแทนที่ด้วยเหนียงมา เสื้อผ้าไซส์ XL ยัดไม่ลง ต้องซื้อเสื้อผ้าผู้ชายที่เป็นเสื้อยืดหลวมๆ กางเกงทรงลุงใส่ กระทั่งได้พบกับ “AtkinsDiet”
ก็อ่านเรื่องวิธีลดความอ้วนไปเรื่อยๆ จนไปรู้จักกับ Atkins Diet เป็นวิธีลดความอ้วนแบบตัดคาร์บเลย เขาเคลมว่า กินเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ต้องนับแคลอรี่ กินไขมัน กับ โปรตีนเท่านั้น เข้าทางเลย ก็เลยเริ่มไดเอ็ทด้วยวิธี Atkins Diet
แต่ Atkins Diet ใช้ชีวิตยากมาก ต้องทำอาหารกินเองทุกอย่างและเคร่งครัดมาก น้ำตาล น้ำปลา ซอส ห้ามใช้ เพราะมันมีน้ำตาลอยู่ ปรุงรสด้วยเกลือเท่านั้น แม้แต่ นม ผัก ผลไม้ ก็กินไม่ได้ มีคาร์บ ดังนั้นอาหารนอกบ้านตัดไปได้เลย กินได้เฉพาะเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ อาหารทะเล ไขมัน โอ๋ก็กินวนๆ อยู่แค่นี้และออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานที่บ้าน กับตีแบดมินตัน ผลคือ 4 เดือน น้ำหนักลดไป 12 กิโลกรัมแต่เส้นผมร่วงเต็มบ้าน
คือวิธีการลดด้วย Atkins Diet และออกกำลังกาย จนน้ำหนักเหลือ 56 กิโลกรัม แถมผมร่วงจนบางไปเยอะ ดีที่ต้นทุนเป็นคนผมหนามากๆ เลยยังพอไหว แต่ก็ร่วงจนเครียดมาก วันเวลาผ่านไปกระทั่งช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนั้น ได้ไปเที่ยว เดินป่า แอดเวนเจอร์กับสามี ยังไงก็คุมอาหารไม่ได้แน่ ก็เลยเลิก Atkins กลับมากินปกติ จนเดือน พฤษภาคม ปี 2549 ประจำเดือนขาด แผนลดความอ้วนทุกอย่างเป็นอันล้มเลิก กลับลำ ทำน้ำหนัก ขนม ของหวาน คาร์บ ที่ไม่เคยกินมาสี่เดือน กลับมากินเต็มที่ เดิมๆเป็นคนไม่ชอบกินขนมหวาน แต่ตอนท้องดันชอบซะงั้น ซึ่งน้ำหนักก่อนท้อง 56 กิโลกรัม แต่วันคลอดน้ำหนัก 86.4 กิโลกรัม รอบเอว 45 นิ้ว คลอดแล้ว ลูกหนัก 4100 g. แม่หนัก 79 กิโลกรัม
กระทั่งสาหัสกับการเลี้ยงลูกอ่อน 2ปี 8เดือน หลังคลอด เป็นช่วงสาหัสสุดๆช่วงหนึ่งในชีวิตเลย ลูกแพ้อาหารแทบทุกอย่าง แพ้ผ่านนมแม่ได้ด้วย โอ๋คุมอาหารเข้ม กินได้ไม่กี่อย่าง แต่ต้องกินอย่างเต็มที่เพื่อสร้างน้ำนมให้ลูก น้ำหนักจาก 79 กิโลกรัม ลดเหลือ 56 กิโลกรัม เท่าก่อนท้อง โดยไม่ได้ทำอะไรนอกจากเลี้ยงลูก ให้นม แล้วก็เพิ่มกลับขึ้นไปจนเป็น 68 กิโลกรัม เพราะขุนตัวเองเป็นโรงงานผลิตนมแม่
หลังลูกหย่านม 2 ขวบ 8 เดือน โอ๋ลดความอ้วนอีกครั้ง อ้วนมากๆ ทำอะไรนิดหน่อยก็เหนื่อย แต่รอบนี้ฉลาดแล้ว รู้ว่าลดความอ้วนต้องฝึกเวทโดยอ่านเว็บต่างประเทศและการควบคุมอาหาร ในระยะเวลา 3 ปี ในปี 2552 โอ๋สมัครสมาชิกฟิตเนส ไปออกกำลังกายแทบทุกวัน สองเดือนแรกยังเวทไม่เป็น ก็ไปคาร์ดิโอ และคุมอาหาร น้ำหนักก็ลดเร็วไม่ต่างจากตอนกินแบบ Atkins ตัดคาร์บ ที่ต้องแลกมาด้วยความลำบากและผลกระทบจากอาการผมร่วง
ฉันทำทำไมให้ผมร่วง ชีวิตก็ลำบ๊ากลำบาก ก็นั่งคิด ทีนี้เดือนที่สามเริ่มฝึกเวท และตัดสินใจจ้าง PT (personal trainer) ปีแรกเวท และคาร์ดิโอหนักมาก คุมอาหารเต็มที่ จนน้ำหนักลดจาก 68 เหลือ 47 มีกล้ามเนื้อมากขึ้นนิดหน่อย เอวจาก 35 นิ้วอัพ เหลือ 26 นิ้ว สะโพก 40 นิ้ว เหลือ 33.5 นิ้ว สมรรถภาพร่างกายดีขึ้นมากมาย อัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก 45 ครั้งต่อนาที เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย จาก 30 เปอร์เซ็นต์กว่า เหลือราว 18 เปอร์เซ็นต์ วิ่งบนเทรดมิลล์ได้ต่อเนื่องเป็น 10 กิโลเมตร เปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งตู้หลายรอบ ไซส์ใหญ่ๆ ที่เคยใส่ บริจาคหมดตู้ แต่ PT ฝึกหนักเกินไปจน overtrain อย่างหนัก เริ่มป่วยบ่อยมากและเบื่อหน่าย ขยาดการเวท

ย้ายบ้านฝึกเวทเอง
…สิ่งเล็กที่เริ่มจากตัวคุณ…
ปีที่สองของการออกกำลังกาย โอ๋ย้ายบ้าน ยุ่งๆ วุ่นๆ หลายสิ่ง หลังจากโอเวอร์เทรนจากการฝึกที่หนักเกินไปในปีแรก จนหยุดออกกำลังกายไปหลายเดือน น้ำหนักก็เริ่มขึ้นมาเรื่อยๆ พอบ้านใหม่เข้าที่เข้าทาง ก็หาฟิตเนส กลับไปออกกำลังกายอีกครั้ง
แต่ยังไม่อยากฝึกเวท ก็เริ่มจากคาร์ดิโออย่างเดียวอยู่หลายเดือน จนรู้สึกดีขึ้น ก็เริ่มกลับมาเวทเบาๆ รอบนี้จัดโปรแกรมให้ตัวเอง ฟังเสียงร่างกาย ไม่หักโหมฝึกเหมือนฝึกกับ PT หุ่นดูดีขึ้นเรื่อยๆ มีกล้ามเนื้อมากขึ้น ระมัดระวังการโอเวอร์เทรนเพราะจะทำให้ทุกอย่างถอยหลังลงคลองอีก
ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 อะไรๆ กำลังจะเข้าที่ ก็ต้องมีมารผจญเรื่อยเลย บ้านโอ๋อยู่ในพื้นที่เสี่ยงมากที่จะถูกน้ำท่วม ก่อนน้ำจะมา เครียดมากๆ จนไม่มีกำลังใจจะออกกำลังกาย พอน้ำท่วม ก็ไม่รอด โดนเต็มๆ ก็ย้ายหนีขึ้นไปอยู่บนเขาใหญ่ กว่าน้ำจะลด ย้ายกลับลงมา เบ็ดเสร็จครึ่งปีที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย อาหารก็ไม่ได้คุม อะไรที่ไม่เคยกินมาหลายปี พิซซ่า เค้ก ไอติม กลับมากินแหลกในช่วงนี้ จนแบกน้ำหนักกลับมาที่ 54-56 กิโลกรัม
ที่ทำได้คือการ วิ่ง วิ่งๆๆๆๆ หลังจากชีวิตกลับสู่ภาวะปกติ เคลียร์บ้าน กลับเข้าฟิตเนส ฝึกเวท ฟิตหุ่น และเริ่มสนใจวิ่ง outdoor ฟิตซ้อมเต็มที่ ลงงานวิ่งต่างๆ วางแผนจากเหรียญมินิมาราธอนสองสามสนาม เริ่มซ้อมเพื่อฮาล์ฟมาราธอน พอวิ่งเยอะก็เหนื่อย เลยหยุดฝึกเวท มาซ้อมวิ่งอย่างจริงจังจนน้ำหนักลดเหลือ 51-52 กิโลกรัม
แต่หุ่นไม่ค่อยเฟิร์มเท่าไหร่ ผอมบางลง แต่ไม่ค่อยมีกล้าม พอกล้ามน้อย ฤดูหนาวเที่ยวเยอะ ออกกำลังกายน้อย กินจุ น้ำหนักก็แอบขยับขึ้นทีละน้อย ส่วนหน้าร้อน ร้อนมาก วิ่งไม่ไหว ก็เข้ายิมฝึกเวท ก่อนจะก้าวเข้าสู่วิถีชีวิตฟิตเฟิร์มโอ๋ทำแบบนี้อยู่หลายปี คือ ออกกำลังกาย outdoor ช่วงหน้าหนาว หน้าร้อน เข้ายิมฝึกเวท สร้างกล้ามเนื้อ ปั่นสปินไบค์ กระโดดเชือก คาร์ดิโอที่ทำได้ในร่ม
ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา ช่วงไหนวินัยหลวม อ้วนขึ้นบ้าง ก็กลับมาฟิตหุ่น ฝึกเวท คาร์ดิโอ คุมอาหารดีๆ ก็จะลีนลงจนหุ่นดี
ปีหลังๆช่วงสวิงของน้ำหนักแคบลงเรื่อยๆ กล้ามเนื้อเพิ่มทุกปี จนมีซิกแพค และเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายช่วงที่ต่ำๆ เหลือแค่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ต้นๆ จัดว่าลีนมากๆ มีกล้ามเนื้อชัดเจน ปัจจุบัน ปีที่แปดของการออกกำลังกาย โอ๋รักษาเปอร์เซ็นต์ไขมันให้อยู่ในระดับลีนได้ตลอด ไม่ค่อยสวิงมากนัก กิจกรรม outdoor ก็พัฒนาขึ้น วิ่งจนถึงระยะฮาล์ฟมาราธอน ปั่นจักรยานเสือหมอบ ว่ายน้ำ ต่อยมวย และกีฬาอื่นๆ เช่น ตีแบดบ้างเป็นครั้งคราว
โอ๋กันพื้นที่เล็กๆในบ้าน ทำโฮมยิม ฝึกเวทเองที่บ้าน สลับกับไปยิมบ้างและการคุมอาหาร ออกกำลังกายเป็นวิถีชีวิต สม่ำเสมอ รู้จักเลือกกิน กินอร่อย มีความสุขทุกมื้อ ร่างกายและสุขภาพแข็งแรงมาก ปีๆนึงเป็นหวัด 1-2 ครั้งเป็นอย่างมาก เป็นผู้หญิงอายุ 40 ปี ที่ถึกมากและไม่อายที่จะบอกอายุเวลาโดนใครถาม แต่ละปีมีเป้าหมายใหม่ๆ ของตัวเองและทำสำเร็จทุกๆปี เพราะความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นจริงๆ
ถึงวันนี้เพจ Natta Fit Blog เกือบครบปีแล้ว โอ๋ดีใจที่ได้แบ่งปันประสบการณ์ ความรู้ ตลอดชีวิตที่ลองผิดลองถูกมายาวนาน ให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ โอ๋มีความสุขมากที่ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆทุกคน ได้รับมิตรภาพดีๆเสมอมา ทำให้โอ๋มีกำลังใจที่จะเขียนบทความดีๆทุกวัน ขอบคุณทุก like ทุก share ที่ทำให้เพจเล็กๆ เพจนี้มีแรงส่งต่อความรู้ และแรงบันดาลใจให้ทุกๆคนเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางของตัวเอง ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ




ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากเฟซบุ๊ก : โอ๋ ณัฏฐา บล็อก >>> https://www.facebook.com/NattaFitBlog
ในโลกและวันเวลาที่เราสามารถกำหนดทุกสิ่งได้เพียงปลายนิ้ว
ล้มแล้วลุก ลุกแล้วล้ม ล้วนแต่เป็นประสบการณ์ที่ต้องพบเจอ
แต่จะสำคัญอะไรถ้าใครสักคนจะลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองแล้วทำได้
นี่คือเรื่องราวที่จะสร้างแรงบันดาลใจและสร้างตัวตนใหม่ที่คุณจะคิดไม่ถึง
ลดความอ้วนครั้งแรกในชีวิต
…บทเริ่มต้นที่ต้องทำให้ถูกวิธี…
ย้อนไปตอนวัยรุ่นโอ๋รูปร่างปานกลาง สูง 162 เซนติเมตร น้ำหนัก 47-48 กิโลกรัม เป็นคนแอคทีฟ เล่นกีฬาบ้าง กินเก่ง ห้าวๆ ไม่สนใจเรื่องความสวยความงาม เรื่องอ้วน ผอม
ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ตอนนั้นอายุ 21 ปี เครียดมากๆ กินอะไรไม่ลง วันๆ กินน้อยมาก บางวันกินแค่ผลไม้นิดหน่อย ด้วยความที่นิสัยแอคทีฟ พอรู้สึกเครียด ก็แก้เครียดด้วยการออกกำลังกาย ว่ายน้ำสัปดาห์ละ 3 วัน และเข้ายิม น้ำหนักจึงลดฮวบ ผอมสลิม
น้ำหนักเพียง 42-43 กิโลกรัม รอบเอว 23 นิ้วเท่านั้น เรียกได้ว่าตัวบางร่างน้อยเลยทีเดียวแม้ลดแบบไม่ได้ตั้งใจจะลด ทว่าอย่างไรก็ตามใครที่ผอมเพราะกินน้อยมากๆ และใช้พลังงานเยอะๆ ผลที่ตามมาคืออาการ “โยโย่” ส่งผลให้น้ำหนักเด้งทุกราย ซึ่งโอ๋ก็หลีกหนีไม่พ้นวิกฤตนี้เช่นกัน
พอผ่านช่วงเครียดๆ กลับมากินอาหาร ใช้ชีวิตได้ตามปกติ เรียนจบ ทำงาน ไม่ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จาก 42-43 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัม เป็น 52 กิโลกรัม ซึ่งจริงๆ ก็ยังไม่อ้วนหรอก เมื่อเทียบส่วนสูง 162 เซนติเมตร แต่สำหรับวัยนั้นและยุคนั้น หุ่นนางแบบต้องแห้งเหมือนไม้เสียบผี เราจึงคิดว่าต้องลดความอ้วนหน่อยล่ะ
ก็มีวันหนึ่งโอ๋ไปบ้านเพื่อน เห็นรูปเพื่อนตอนอ้วนๆ แต่เขาลดจนผอมลงมากด้วยการกินแต่ฝรั่งจิ้มพริกเกลือเป็นเดือนๆ คือเรารู้สึกมันเหลือเชื่อมาก แต่เขาลดได้ เราก็น่าจะลองบ้าง ทีนี้ก็ไปตลาดซื้อฝรั่งเลย วันๆ กินแค่ฝรั่งกับน้ำเต้าหู้ ทำอยู่สามสี่วัน ฝรั่งเต็มท้องตลอด แต่หิวมาก เพราะแคลอรี่มันต่ำและท้องอืดมาก ทำให้ท้องป่อง (ลากเสียง) และตดระเบิดระเบ้อตลอดเวลา ก็กลับมานึกสงสัยเพื่อนทำได้อย่างไร การกินฝรั่งเป็นเดือนๆ แต่เรากินแค่สามสี่วัน น้ำหนักไม่ลด ยังพุงป่องเพิ่มด้วย พอรู้ว่าไม่เวิร์ค
ซึ่งหากนึกย้อนกลับไปก็แอบดีใจที่ตอนนั้นไม่กัดฟันกินแต่ฝรั่งจนผอม เพราะถ้าทำจนผอมจริง ไม่อยากจะคิดว่าตอนโยโย่จะไปขนาดไหน ระบบร่างกาย ระบบการย่อยจะรวนแปรปรวนจนส่งผลถึงร่างกายที่นอกจากน้ำหนักยังจะไม่ลดแล้ว ยังขาดสารอาหาร เสียสุขภาพร่างกายอีกด้วย
วิ่งทั้งที่เกลียดวิ่งมากที่สุด
…แต่คือคำตอบที่ใช่…
หลังจากริเริ่มทดลองลดน้ำหนักด้วยวิธีการที่ผิด จึงเลือกใช้วิธีการดั้งเดิม
คือก็มานั่งคิดว่าทำไมตอนปีสี่ เราผอมลงมาก ก็ได้คำตอบว่าเพราะออกกำลังกาย ฉะนั้นวิธีนี้มันต้องเวิร์คสิ ก็เลยเริ่มวิ่ง ไปวิ่งสวนลุมทุกเช้าทุกวัน จันทร์-ศุกร์ สัปดาห์ละ 5 วัน ทั้งที่เกลียดการวิ่งมากๆ
แต่จากวันแรกๆ วิ่งได้หน่อย 200 เมตร ก็เหนื่อย แต่ก็อดทน จนวิ่งไปได้สักครึ่งเดือน เริ่มอึดขึ้น ตอนนั้นอายุ 24 เมื่อ 16 ปีที่แล้ว ยังไม่มีหนังรักที่ นิชคุณ หรเวชกุล แสดงคู่กับคุณสู่ขวัญ บูลกุล งานวิ่งมันก็เลยยังไม่ดังในหมู่วัยรุ่นแบบในปัจจุบัน สวนลุมไม่ค่อยมีหนุ่มสาวมาวิ่ง มีแต่ผู้สูงอายุมาเดิน-วิ่ง หรือไม่ก็รำมวยไทเก็ก เล่นโยคะ โอ๋เลยก็กลายเป็นขวัญใจของลุงป้าที่นั่น
เราก็เลยเริ่มสนุก เพราะเริ่มมีอาแปะมาทักทาย ชวนคุย เรียกไปวิ่งด้วยกัน คืออาแปะคนหนึ่งไม่วิ่ง แต่เดินเร็ว มือถือน้ำหนักสองข้าง โอ๋วิ่งตามด้วยสปีดเดียวกับอาแปะเดิน ได้แค่สองรอบจอด แต่แปะยังไปเดินต่ออีกสองรอบ แต่ topic ที่สำคัญ ลุงๆ ป้าๆ ชอบคุยกันสนทนาเรื่องทายว่าโอ๋อายุเท่าไหร่ คนใหม่ๆ ที่ยังไม่รู้จักจะทายว่า 18-20 ปี แต่พอเฉลยว่า 24 ปี ก็เฮฮากันและชื่นชมให้กำลังใจที่เห็นสาวรุ่นมาออกกำลังกายทุกวัน โอ๋เลยได้รู้จักสังคมใหม่ๆ ที่ออกกำลังกายเป็นกิจวัตร ลุงป้าแต่ละท่านออกกำลังกายมายาวนาน เรายังอายุน้อยแต่กลับแข็งแรงสู้พวกท่านไม่ได้เลย (ลากเสียง)
ทีนี้จากนั้นอาแปะเดินทนคนเดิม ท่านเอ็นดูโอ๋มาก ท่านก็ช่วยแนะนำและเชียร์ให้ลงมาราธอน เราก็คิดในใจว่าแค่วิ่งๆ เดินๆ สวนลุม 2 รอบ ไม่ถึง 5 กม. ยังลิ้นห้อยแล้ว มาราธอน 42 กิโลเมตร มันคงเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หรือต่อให้ขี่จักรยานก็ยังไม่รู้จะถึงเลยหรือเปล่าด้วยซ้ำ แต่อาแปะท่านก็ให้กำลังใจว่า ได้สิๆ อายุเรานิดเดียวแค่นี้ ฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็วิ่งมาราธอนได้สบาย แกก็ยกตัวอย่างว่า มีคุณยายคนหนึ่งอายุ 80 ปี แล้ว ตอนมาสวนลุมครั้งแรก ลูกหลานต้องหิ้วปีกสองข้างลงจากรถ แต่ทุกวันนี้แกมาทุกวัน จนตอนนี้วิ่งมาราธอนแล้ว
จากคำชักชวนแปรเปลี่ยนเป็นกำลังใจและเก็บคำพูดนี้ฝังใจตั้งแต่วันนั้นจนทุกวันนี้ คือไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าความพยายามอยู่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ทว่าในขณะที่สาวน้อยตั้งปณิธานเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายแบบตั้งใจ ฟังแล้วทำท่าเหมือนจะดี แต่ก็กลับมาติดกับดักอีกเข้าจนได้
ช่วงนั้นเริ่มคบหนุ่มคนหนึ่ง พอเขารู้ว่าเรากำลังตั้งใจลดความอ้วนด้วยการ รับประทานแต่น้อย จัดต้มแกงจืดกะหล่ำปลีวันละ 1 หัว กินแต่กะหล่ำปลี กะว่าผอมแน่ๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิดคิดว่าการลดความอ้วนคือการกินแต่น้อย ดีที่เพิ่งทำได้แค่วันสองวัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เกิดจุดเปลี่ยนเพราะเขาแนะนำว่า "อยากลดความอ้วนจะมาวิ่งกับกินกะหล่ำปลีต้มอยู่ทำไม กินยาลดความอ้วนดีกว่า พี่รู้จักคลีนิคดังที่ดาราไปกันเยอะ เดี๋ยวพาไป" ซึ่งสมัยนั้น การลดความอ้วนของผู้หญิง คือ กินยาลดความอ้วนหรือสูตรอาหาร 3 วัน 7 วัน แจกกันเป็นของล้ำค่า การออกกำลังกาย โดยเฉพาะฝึกเวทและคุมอาหารแทบไม่มีใครรู้จักหรือทำกัน นั้นเป็นจุดเปลี่ยนที่แย่ยิ่งกว่ากินกะหล่ำปลีอีก
ระหว่างที่เราไม่รู้ เราเชื่อเพราะดาราเขาลดแบบนี้ มันต้องดีแน่เลย ก็เลยกินยาลดความอ้วนอยู่เดือนหนึ่ง ผลคือน้ำหนักไม่เห็นจะลด แต่คอแห้งหิวน้ำบ่อยและหงุดหงิดง่าย อะไรที่เคยทนได้ เริ่มทนไม่ไหว ความอดทนต่ำลง พอเห็นว่าน้ำหนักไม่เห็นจะลงเลย ก็เลยเลิกกิน นับเป็นเดชะบุญจริงๆ
แต่งงาน
…ฝันและความจริงที่สร้างแรงบันดาลใจ…
แรงใจในการลดน้ำหนักที่ดีที่สุดของผู้หญิง คือ ลดเพราะอยากใส่ชุดเจ้าสาวสวยๆ และช่วงที่อ้วนได้เร็วที่สุดของผู้หญิงคือ หลังแต่งงาน
ก่อนแต่งโอ๋ก็ลดความอ้วน เพราะอยากใส่ชุดเจ้าสาวสวยๆ จนกลับมาหนัก 48 กิโลกรัม เพราะไปวิ่งสวนลุมนั่นแหละ แต่สามีคนที่พาไปคลินิกลดความอ้วน ไม่ค่อยชอบให้หน้าเรียวๆ เท่าไหร่ ชอบให้แก้มป่องๆ อวบๆ มากกว่า พอแต่งแล้วก็ชวนกินอย่างหนักหน่วง สาหัส แอบคิดในใจว่านี่เป็นวิธีหวงภรรยาของผุ้ชายรึเปล่า เขาก็เลยพากินข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ตอนเที่ยงคืนทุกวัน เมนูของแต่ละวันวนๆ อยู่ที่ ผัดไทย หอยทอด ขาหมู ข้าวมันไก่ ไก่ทอด หมูทอด ทอดมัน ไอติม บัวลอย น้ำแข็งใส และเลิกออกกำลังกายไปเลย
น้ำหนักก็ขึ้นมา 52-54 กิโลกรัม ทว่าต่างจากตอนไม่มีกล้ามเนื้อ น้ำหนักเท่านี้มันคนละหุ่นกับตอนนี้เลยนะ เลยฮึดออกกำลังกายเป็นพักๆ อยู่คอนโด ก็ไปวิ่งขึ้นลงบันได 15 ชั้น ตอนนั้นไม่รู้จักว่าฝึกเวทคืออะไร รู้แต่ลดพุงต้องซิทอัพ ทีนี้แม่เห็นว่าอ้วน ก็เลยให้สูตร(แอบอ้าง) พระเทพฯ มาโฆษณาเสร็จสรรพว่า ไม่ต้องออกกำลังกาย คนรู้จัก กินแบบนี้ ทำมาหลายรอบแล้ว ผอมลงเยอะมากและหุ่นแบบนั้นมาเป็นปี ไม่อ้วนขึ้น แต่ด้วยความหวังที่แทบริบหรี่เลยไปซื้ออาหารตามตารางที่แม่ให้มาเลย
ทว่าสูตรห้าวันเจ็ดวันพวกนี้คือที่สุดของความทรมานต้องนั่งมองนาฬิกาทั้งวัน เมื่อไหร่จะถึงมื้อต่อไป
นั่งเปิดตารางอาหารดูจนจำได้ แม้บางมื้อก็เป็นของที่ไม่ชอบเลยและแต่ละมื้อกินน้อยมาก ไม่มีอิ่ม แต่ก็ต้องอดทนกินจนครบวันตามตาราง ผลคือน้ำหนักลดไป 2 กิโลกรัม พอกลับมากินปกติอาทิตย์เดียวก็กลับขึ้นมาเหมือนเดิม เมื่อคิดได้อย่างนั้นในหลายปีช่วงนั้นกำลังสร้างฐานะ ทำงานหนัก อดหลับอดนอน กินข้าวไม่เป็นเวลา หิวก็เลยกิน กินๆ ทำให้น้ำหนักก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ 56 58 64 และ 68 กิโลกรัม สภาพใบหน้าพองเหมือนเป่าลม หน้ากลม คอแทนที่ด้วยเหนียงมา เสื้อผ้าไซส์ XL ยัดไม่ลง ต้องซื้อเสื้อผ้าผู้ชายที่เป็นเสื้อยืดหลวมๆ กางเกงทรงลุงใส่ กระทั่งได้พบกับ “AtkinsDiet”
ก็อ่านเรื่องวิธีลดความอ้วนไปเรื่อยๆ จนไปรู้จักกับ Atkins Diet เป็นวิธีลดความอ้วนแบบตัดคาร์บเลย เขาเคลมว่า กินเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ต้องนับแคลอรี่ กินไขมัน กับ โปรตีนเท่านั้น เข้าทางเลย ก็เลยเริ่มไดเอ็ทด้วยวิธี Atkins Diet
แต่ Atkins Diet ใช้ชีวิตยากมาก ต้องทำอาหารกินเองทุกอย่างและเคร่งครัดมาก น้ำตาล น้ำปลา ซอส ห้ามใช้ เพราะมันมีน้ำตาลอยู่ ปรุงรสด้วยเกลือเท่านั้น แม้แต่ นม ผัก ผลไม้ ก็กินไม่ได้ มีคาร์บ ดังนั้นอาหารนอกบ้านตัดไปได้เลย กินได้เฉพาะเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ อาหารทะเล ไขมัน โอ๋ก็กินวนๆ อยู่แค่นี้และออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานที่บ้าน กับตีแบดมินตัน ผลคือ 4 เดือน น้ำหนักลดไป 12 กิโลกรัมแต่เส้นผมร่วงเต็มบ้าน
คือวิธีการลดด้วย Atkins Diet และออกกำลังกาย จนน้ำหนักเหลือ 56 กิโลกรัม แถมผมร่วงจนบางไปเยอะ ดีที่ต้นทุนเป็นคนผมหนามากๆ เลยยังพอไหว แต่ก็ร่วงจนเครียดมาก วันเวลาผ่านไปกระทั่งช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนั้น ได้ไปเที่ยว เดินป่า แอดเวนเจอร์กับสามี ยังไงก็คุมอาหารไม่ได้แน่ ก็เลยเลิก Atkins กลับมากินปกติ จนเดือน พฤษภาคม ปี 2549 ประจำเดือนขาด แผนลดความอ้วนทุกอย่างเป็นอันล้มเลิก กลับลำ ทำน้ำหนัก ขนม ของหวาน คาร์บ ที่ไม่เคยกินมาสี่เดือน กลับมากินเต็มที่ เดิมๆเป็นคนไม่ชอบกินขนมหวาน แต่ตอนท้องดันชอบซะงั้น ซึ่งน้ำหนักก่อนท้อง 56 กิโลกรัม แต่วันคลอดน้ำหนัก 86.4 กิโลกรัม รอบเอว 45 นิ้ว คลอดแล้ว ลูกหนัก 4100 g. แม่หนัก 79 กิโลกรัม
กระทั่งสาหัสกับการเลี้ยงลูกอ่อน 2ปี 8เดือน หลังคลอด เป็นช่วงสาหัสสุดๆช่วงหนึ่งในชีวิตเลย ลูกแพ้อาหารแทบทุกอย่าง แพ้ผ่านนมแม่ได้ด้วย โอ๋คุมอาหารเข้ม กินได้ไม่กี่อย่าง แต่ต้องกินอย่างเต็มที่เพื่อสร้างน้ำนมให้ลูก น้ำหนักจาก 79 กิโลกรัม ลดเหลือ 56 กิโลกรัม เท่าก่อนท้อง โดยไม่ได้ทำอะไรนอกจากเลี้ยงลูก ให้นม แล้วก็เพิ่มกลับขึ้นไปจนเป็น 68 กิโลกรัม เพราะขุนตัวเองเป็นโรงงานผลิตนมแม่
หลังลูกหย่านม 2 ขวบ 8 เดือน โอ๋ลดความอ้วนอีกครั้ง อ้วนมากๆ ทำอะไรนิดหน่อยก็เหนื่อย แต่รอบนี้ฉลาดแล้ว รู้ว่าลดความอ้วนต้องฝึกเวทโดยอ่านเว็บต่างประเทศและการควบคุมอาหาร ในระยะเวลา 3 ปี ในปี 2552 โอ๋สมัครสมาชิกฟิตเนส ไปออกกำลังกายแทบทุกวัน สองเดือนแรกยังเวทไม่เป็น ก็ไปคาร์ดิโอ และคุมอาหาร น้ำหนักก็ลดเร็วไม่ต่างจากตอนกินแบบ Atkins ตัดคาร์บ ที่ต้องแลกมาด้วยความลำบากและผลกระทบจากอาการผมร่วง
ฉันทำทำไมให้ผมร่วง ชีวิตก็ลำบ๊ากลำบาก ก็นั่งคิด ทีนี้เดือนที่สามเริ่มฝึกเวท และตัดสินใจจ้าง PT (personal trainer) ปีแรกเวท และคาร์ดิโอหนักมาก คุมอาหารเต็มที่ จนน้ำหนักลดจาก 68 เหลือ 47 มีกล้ามเนื้อมากขึ้นนิดหน่อย เอวจาก 35 นิ้วอัพ เหลือ 26 นิ้ว สะโพก 40 นิ้ว เหลือ 33.5 นิ้ว สมรรถภาพร่างกายดีขึ้นมากมาย อัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก 45 ครั้งต่อนาที เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย จาก 30 เปอร์เซ็นต์กว่า เหลือราว 18 เปอร์เซ็นต์ วิ่งบนเทรดมิลล์ได้ต่อเนื่องเป็น 10 กิโลเมตร เปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งตู้หลายรอบ ไซส์ใหญ่ๆ ที่เคยใส่ บริจาคหมดตู้ แต่ PT ฝึกหนักเกินไปจน overtrain อย่างหนัก เริ่มป่วยบ่อยมากและเบื่อหน่าย ขยาดการเวท
ย้ายบ้านฝึกเวทเอง
…สิ่งเล็กที่เริ่มจากตัวคุณ…
ปีที่สองของการออกกำลังกาย โอ๋ย้ายบ้าน ยุ่งๆ วุ่นๆ หลายสิ่ง หลังจากโอเวอร์เทรนจากการฝึกที่หนักเกินไปในปีแรก จนหยุดออกกำลังกายไปหลายเดือน น้ำหนักก็เริ่มขึ้นมาเรื่อยๆ พอบ้านใหม่เข้าที่เข้าทาง ก็หาฟิตเนส กลับไปออกกำลังกายอีกครั้ง
แต่ยังไม่อยากฝึกเวท ก็เริ่มจากคาร์ดิโออย่างเดียวอยู่หลายเดือน จนรู้สึกดีขึ้น ก็เริ่มกลับมาเวทเบาๆ รอบนี้จัดโปรแกรมให้ตัวเอง ฟังเสียงร่างกาย ไม่หักโหมฝึกเหมือนฝึกกับ PT หุ่นดูดีขึ้นเรื่อยๆ มีกล้ามเนื้อมากขึ้น ระมัดระวังการโอเวอร์เทรนเพราะจะทำให้ทุกอย่างถอยหลังลงคลองอีก
ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 อะไรๆ กำลังจะเข้าที่ ก็ต้องมีมารผจญเรื่อยเลย บ้านโอ๋อยู่ในพื้นที่เสี่ยงมากที่จะถูกน้ำท่วม ก่อนน้ำจะมา เครียดมากๆ จนไม่มีกำลังใจจะออกกำลังกาย พอน้ำท่วม ก็ไม่รอด โดนเต็มๆ ก็ย้ายหนีขึ้นไปอยู่บนเขาใหญ่ กว่าน้ำจะลด ย้ายกลับลงมา เบ็ดเสร็จครึ่งปีที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย อาหารก็ไม่ได้คุม อะไรที่ไม่เคยกินมาหลายปี พิซซ่า เค้ก ไอติม กลับมากินแหลกในช่วงนี้ จนแบกน้ำหนักกลับมาที่ 54-56 กิโลกรัม
ที่ทำได้คือการ วิ่ง วิ่งๆๆๆๆ หลังจากชีวิตกลับสู่ภาวะปกติ เคลียร์บ้าน กลับเข้าฟิตเนส ฝึกเวท ฟิตหุ่น และเริ่มสนใจวิ่ง outdoor ฟิตซ้อมเต็มที่ ลงงานวิ่งต่างๆ วางแผนจากเหรียญมินิมาราธอนสองสามสนาม เริ่มซ้อมเพื่อฮาล์ฟมาราธอน พอวิ่งเยอะก็เหนื่อย เลยหยุดฝึกเวท มาซ้อมวิ่งอย่างจริงจังจนน้ำหนักลดเหลือ 51-52 กิโลกรัม
แต่หุ่นไม่ค่อยเฟิร์มเท่าไหร่ ผอมบางลง แต่ไม่ค่อยมีกล้าม พอกล้ามน้อย ฤดูหนาวเที่ยวเยอะ ออกกำลังกายน้อย กินจุ น้ำหนักก็แอบขยับขึ้นทีละน้อย ส่วนหน้าร้อน ร้อนมาก วิ่งไม่ไหว ก็เข้ายิมฝึกเวท ก่อนจะก้าวเข้าสู่วิถีชีวิตฟิตเฟิร์มโอ๋ทำแบบนี้อยู่หลายปี คือ ออกกำลังกาย outdoor ช่วงหน้าหนาว หน้าร้อน เข้ายิมฝึกเวท สร้างกล้ามเนื้อ ปั่นสปินไบค์ กระโดดเชือก คาร์ดิโอที่ทำได้ในร่ม
ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา ช่วงไหนวินัยหลวม อ้วนขึ้นบ้าง ก็กลับมาฟิตหุ่น ฝึกเวท คาร์ดิโอ คุมอาหารดีๆ ก็จะลีนลงจนหุ่นดี
ปีหลังๆช่วงสวิงของน้ำหนักแคบลงเรื่อยๆ กล้ามเนื้อเพิ่มทุกปี จนมีซิกแพค และเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายช่วงที่ต่ำๆ เหลือแค่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ต้นๆ จัดว่าลีนมากๆ มีกล้ามเนื้อชัดเจน ปัจจุบัน ปีที่แปดของการออกกำลังกาย โอ๋รักษาเปอร์เซ็นต์ไขมันให้อยู่ในระดับลีนได้ตลอด ไม่ค่อยสวิงมากนัก กิจกรรม outdoor ก็พัฒนาขึ้น วิ่งจนถึงระยะฮาล์ฟมาราธอน ปั่นจักรยานเสือหมอบ ว่ายน้ำ ต่อยมวย และกีฬาอื่นๆ เช่น ตีแบดบ้างเป็นครั้งคราว
โอ๋กันพื้นที่เล็กๆในบ้าน ทำโฮมยิม ฝึกเวทเองที่บ้าน สลับกับไปยิมบ้างและการคุมอาหาร ออกกำลังกายเป็นวิถีชีวิต สม่ำเสมอ รู้จักเลือกกิน กินอร่อย มีความสุขทุกมื้อ ร่างกายและสุขภาพแข็งแรงมาก ปีๆนึงเป็นหวัด 1-2 ครั้งเป็นอย่างมาก เป็นผู้หญิงอายุ 40 ปี ที่ถึกมากและไม่อายที่จะบอกอายุเวลาโดนใครถาม แต่ละปีมีเป้าหมายใหม่ๆ ของตัวเองและทำสำเร็จทุกๆปี เพราะความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นจริงๆ
ถึงวันนี้เพจ Natta Fit Blog เกือบครบปีแล้ว โอ๋ดีใจที่ได้แบ่งปันประสบการณ์ ความรู้ ตลอดชีวิตที่ลองผิดลองถูกมายาวนาน ให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ โอ๋มีความสุขมากที่ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆทุกคน ได้รับมิตรภาพดีๆเสมอมา ทำให้โอ๋มีกำลังใจที่จะเขียนบทความดีๆทุกวัน ขอบคุณทุก like ทุก share ที่ทำให้เพจเล็กๆ เพจนี้มีแรงส่งต่อความรู้ และแรงบันดาลใจให้ทุกๆคนเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางของตัวเอง ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากเฟซบุ๊ก : โอ๋ ณัฏฐา บล็อก >>> https://www.facebook.com/NattaFitBlog