เรื่องราวที่นำมาทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับคุณณัฐพร เชาวน์ดี ที่เธอออกมาเขียนเหตุการณ์หวิดตาบอดจากการใส่คอนแทคเลนส์ที่ประสบพบเจอมา ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนอื่นๆ ผ่านบนเฟซบุ้ค Nuttaporn Chaowadee
ปกติเราสายตาสั้นไม่เยอะ ประมาณ 175 แต่เอียง 150 ใส่แว่นไม่ได้เลยจะปวดตรงดั้งและขมับ ทำให้ลามเป็นปวดไมเกรน ทรมานมากๆ เลยเลือกใส่คอนแทคเลนส์รายเดือนแบบสีที่มีค่าสายตาสั้น (ไม่มีแบบเอียง) มาโดยตลอดระยะเวลา 3 ปี บางวันก็ใส่ บางวันก็ลืมใส่ แล้วแต่อารมณ์ ไม่เคยมีอาการเจ็บปวด แพ้หรือผิดปกติใดๆ ทั้งนั้น
จนกระทั่งวันที่ 24 เมษยน พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมา มีกิจกรรมเชียร์บอลกับบริษัท ก็ใส่คอนแทคเลนส์ปกติ ช่วงเย็นรู้สึกเริ่มเคืองตานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้อะไรเพราะทุกครั้งที่ใส่ก็เคืองแบบนี้เป็นปกติ จนยิงยาวไปปาร์ตี้ต่อ กลับถึงบ้านเที่ยงคืนถึงได้ถอดออก ผลปรากฏพบว่า ตาแดง ใจก็ยังคิดว่าปกติอยู่เพราะก็เคยเป็นแบบนี้หลังใส่ นอนตื่นมาก็หาย จนตอนเช้าตื่นมา 9 โมง ลืมตาขึ้นมาภาพมัวมาก มองอะไรไม่ค่อยเห็น ตาแดงผิดปกติ เลยตัดสินใจไปหาหมอ หมอย้อมสีตาดูและบอกว่า "กระจกตาอักเสบทั่วทั้งกระจกตา"

หมอให้ยามาหยอดตา 3 ตัว และให้ใส่แว่นดำตลอดเวลา กลับถึงบ้านก็ทำตามหมอสั่งทุกอย่าง แต่รู้สึกอาการไม่ดีขึ้น ตาเจ็บมากขึ้น ปวดตามากขึ้น เริ่มมองอะไรไม่เห็นมากขึ้น จนกระทั่ง ตี 2 ของวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560 เจ็บตา ปวดแสบปวดร้อนตา ตาบวมมาก ตาแดงมาก ลืมตาไม่ขึ้น ถ้าพยายามลืมตาน้ำตาจะไหลเป็นก๊อกน้ำเลย ทรมานจนทนไม่ไหว เลยตัดสินใจไปโรงพยาบาลตอนนั้นเลย ไปถึงหมอให้แอดมิทเลย หยอดยาชาที่ตา เจาะเลือดฉีดยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ แล้วให้นอนรอหมอตาตอน 9 โมง
ตั้งแต่วินาทีนั้น เราก็มองอะไรไม่ชัดอีกเลย อย่าว่าแต่โทรศัพท์หรือไลน์บอกใครเลยว่าแอดมิท แม้แต่หน้าแม่เรายังมองไม่เห็นเลย โลกของเรามัวไปหมด ขาวไปหมด ทรมานที่สุด ตอนนั้นเราเครียดมาก เครียดที่สุดในชีวิต จิตตก ในใจคิดไปสารพัด ถ้าตาบอดจะทำยังไง ? เราจะหาเงินยังไง ? เราจะทำงานได้ไหม ? เราจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง ?
กระทั่ง 9 โมงเช้า พยาบาลเข็นรถพาลงมาพบหมอ หมอย้อมสีตา และส่องดู หมอพูดว่า "มันไม่ใช่กระตกอักเสบเฉยๆ แล้วล่ะ อาการตอนนี้คือกระจกตาถลอกเป็นแผลทั่วทั้งกระจกตา หนูเป็นเคสแรกของหมอที่เป็นเยอะขนาดนี้ แต่โชคดีมากที่ไม่ติดเชื้อ เพราะถ้าติดเชื้อก็อีกเรื่องหนึ่ง"
"แล้วหนูจะหายมั๊ยคะ หนูจะกลับมามองเห็นเหมือนเดิมมั๊ย ?" หมอตอบมาว่า "หายค่ะ แต่ต้องใช้เวลา มันจะค่อยๆ ดีขึ้น อย่างช้าๆ พยายามอย่าลืมตา หรือกระพริบตาบ่อย เพราะเปลือกตามันจะยิ่งไปขูดกับแผลบริเวณกระจกตา ต้องหยอดตาทุก 1 ชม. และพยายามปิดตาตลอดเวลาเพื่อให้บริเวณกระจกตาสร้างเนื้อเยื่อสมานแผลตัวมันเอง" เราเลยถามต่อว่า "ใช้เวลานานขนาดไหนคะ ถึงจะหาย" หมอตอบกลับมาอีกว่า "7-14 วันค่ะ"

เรานอนโรงพยาบาลอยู่ 5 วัน ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้เลย เพราะมองไม่เห็นอะไรเลย กินข้าวก็ไม่ได้ ต้องมีคนป้อน เข้าห้องน้ำต้องมีคนพาไป อยู่แต่ในห้อง 4 เหลี่ยม เปิดไฟเปิดม่านก็ไม่ได้ แสบตา ได้ยินแต่เสียงทีวีที่แม่เปิด โทรศัพท์ดูไม่ได้เพราะมองไม่เห็น ลูกค้าโทรมา หรือ ใครโทรมาก็ให้แม่รับแทน ที่ทำงานให้ลางานยาวจนกว่าจะหายดีค่อยกลับไปทำ ตอนนั้นมันทั้งอึดอัด ทั้งจิตตก ทั้งร้อนใจ งานก็คาราคาซัง ตาก็มองไม่เห็น ลูกค้าก็โทรตาม คือสารพัดไปหมด ใจอยากหายตอนนั้นเลยแล้วไปทำงาน จนหัวหน้าบอกว่า มึงอย่าเพิ่งนึกถึงคนอื่น มึงเอาตัวเองให้หายก่อน งานค่อยว่ากัน
เป็น 4 คืน 5 วัน ที่ทรมานมาก อาหารโรงพยาบาลหน้าตาดี แต่รสชาติกินไม่ได้เลย กินได้ 2 คำ ทิ้ง พอ น้ำหนักลงจาก 46 เกลือ 41 ภายใน 5 วัน เพราะไม่ยอมกินข้าว กินไม่ลง เครียด คิดมาก จิตตก สงสารแม่ และคนอื่นๆ ที่มาดูแลเรามาก ที่เขาต้องมาเห็นเราอยู่ในสภาพแบบนั้น แต่เราทำอะไรไม่ได้เลย ต้องอดทนให้มากที่สุด กำลังใจสำคัญกับเรามากที่สุด ณ ตอนนั้น ..
เราลงไปพบหมอทุกเช้า อาการดีขึ้น แต่ดีขึ้นน้อยมากๆ แทบจะไม่ต่างจากเดิมเลย วันสุดท้ายก่อนหมอจะให้มาพักรักษาตัวต่อที่บ้าน ตาไม่เจ็บแล้ว เคืองน้อยลง แดงน้อยลง แต่ยังอักเสบอยู่นิดหน่อย และยังคงมองไม่เห็นเหมือนเดิม หมอให้ใช้วิธีรักษาแบบเดิม คือ หยอดตา ทุก 1 ชั่วโมง เพราะหมอยืนยันว่านี่เป็นวิธีรักษาที่ดีที่สุดแล้ว และยาตัวนี้ก็ดีที่สุดแล้วด้วย
กลับบ้านมาต้องตั้งนาฬิกาปลุกทุก 1 ชั่วโมง เพื่อลุกขึ้นมาหยอดตาเอง ทรมานมาก แต่ต้องอดทน บอกกับตัวเองว่า "ต้องหาย มึงต้องหายโบ๊ท อย่ายอมแพ้" ก็หยอดยาอยู่บ้านได้ 3 วัน ไม่เจ็บตาแล้ว ไม่แดงแล้ว แต่ภาพมันมัวหนักขึ้นกว่าเดิมมากๆ ยอมรับว่าเครียดกว่าเดิมมาก แต่อีกใจก็คิดว่า พรุ่งนี้พบหมอแล้ว หมอต้องพูดว่า "อาการดีขึ้น ใกล้หายแล้ว" เราให้กำลังใจตัวเองแบบนี้ตลอด ตั้งแต่กลางคืนจนเช้า ลุ้นว่าหมอจะพูดว่าอะไร พอมาถึง รพ. หมอย้อมสีดูอาการ แล้วก็บอกว่า "ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย แผลรอบกระจกตาหายเกือบหมดแล้ว เหลือแต่แผลถลอกบริเวณตรงกลางรูม่านตา"
"แต่ภาพมันมัวกว่าเดิมอีกนะคะหมอ หนูอ่านหนังสือไม่ได้ มองอะไรไม่เห็น ทำอะไรไม่ได้เลย หนูค่อนข้างเครียด นอนไม่หลับ และจิตตกมาก" เราตอบกลับ
"ตามปกติแผลจะหายจากข้างนอกเข้ามาสู่ตรงกลางบริเวณรูม่านตา มันเลยเหลือแผลบริเวณนี้อยู่ ทำให้หนูมองเห็นอะไรไม่ชัดอยู่แล้ว แผลบริเวณนี้จะหายช้าที่สุด ต้องใช้เวลาอีกนิด ประมาณ 7 วัน น่าจะกลับมามองเห็นเหมือนเดิมค่ะ แต่ต้องหยอดยาทุก 1 ชั่วโมงเหมือนเดิมนะคะ เพื่อให้แผลสมาน และถ้าออกจากบ้านต้องใส่แว่นตาดำตลอด 1-2 เดือนนี้ ไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ หายแน่นอนค่ะ" หมอบอกกลับมาอีกครั้ง
จบคำพูดหมอ เรายิ้ม ใจชื้นขึ้นเยอะ หายจิตตกแล้ว มันทำให้เรารู้แล้วว่า "ดวงตา" เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา เรายอมมองไม่เห็นตั้งแต่เกิด ยังดีซะกว่าที่เราเคยมองเห็นแล้วอยู่ดีๆ เราก็มองไม่เห็นอะไรอีกเลย ให้เราเสียเงินกี่สิบล้าน เราก็ยอม อะไรก็ได้ให้เรากลับมามองเห็นเหมือนเดิม ต้องขอขอบคุณอาจารย์หมอ สุรักษ์ พัฒนกนก โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ ที่ดูแลอย่างดีมากๆ และเก่งมากๆ ขอบคุณแม่ พ่อ น้อง และทุกคนที่คอยดูแล คอยให้กำลังใจ ไม่อย่างนั้นเราคงแย่ ที่สำคัญ ขอบคุณตัวเอง ที่อดทน เข้มแข็ง และให้กำลังใจตัวเองตลอด
ท้ายนี้ก็อยากฝากถึงคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ กรุณาอ่าน ** ถ้าเป็นไปได้ให้เลิกใส่เถอะค่ะ ใส่แว่นดีที่สุด หรือ ทำเลสิก ดีที่สุด แต่ถ้าเลิกใส่ไม่ได้ ห้ามใส่นานเกิน 6 ชม. เพราะวันนึงคุณอาจจะเป็นแบบเราก็ได้ โดยที่คุณไม่รู้ตัว คุณหมอบอกสาเหตุว่า ที่เป็นหนักขนาดนี้ก็เพราะว่า ผิวกระจกตาเราค่อนข้างบางมาก ใส่คอนแทคเลนส์มาตลอดหลายปี ถึงจะเป็นเนื้อที่นุ่มแค่ไหน แต่โดนการถอดเข้าถอดออก เสียดสีกระจกตาเป็นระยะเวลานานเป็นปีขนาดนี้ทำให้กระจกตาเราบางขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว แล้วพอถึงวันที่มันบางจนทนไม่ไหว มันจะเกิดการถลอกเป็นแผลแบบเรา ถ้าได้รับการรักษาช้า ถึงหมอช้า หรือติดเชื้อ โอกาสตาบอดมีสูงมาก ซึ่งโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ แต่เมื่อไหร่หรือเป็นหนักขนาดไหนตอบไม่ได้ แล้วแต่คน ฝากไว้ค่ะ เป็นห่วงทุกคน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่ใส่คอนแทคเลนส์
ขอบคุณเรื่องราวจาก : Facebook : Nuttaporn Chaowadee
ปกติเราสายตาสั้นไม่เยอะ ประมาณ 175 แต่เอียง 150 ใส่แว่นไม่ได้เลยจะปวดตรงดั้งและขมับ ทำให้ลามเป็นปวดไมเกรน ทรมานมากๆ เลยเลือกใส่คอนแทคเลนส์รายเดือนแบบสีที่มีค่าสายตาสั้น (ไม่มีแบบเอียง) มาโดยตลอดระยะเวลา 3 ปี บางวันก็ใส่ บางวันก็ลืมใส่ แล้วแต่อารมณ์ ไม่เคยมีอาการเจ็บปวด แพ้หรือผิดปกติใดๆ ทั้งนั้น
จนกระทั่งวันที่ 24 เมษยน พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมา มีกิจกรรมเชียร์บอลกับบริษัท ก็ใส่คอนแทคเลนส์ปกติ ช่วงเย็นรู้สึกเริ่มเคืองตานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้อะไรเพราะทุกครั้งที่ใส่ก็เคืองแบบนี้เป็นปกติ จนยิงยาวไปปาร์ตี้ต่อ กลับถึงบ้านเที่ยงคืนถึงได้ถอดออก ผลปรากฏพบว่า ตาแดง ใจก็ยังคิดว่าปกติอยู่เพราะก็เคยเป็นแบบนี้หลังใส่ นอนตื่นมาก็หาย จนตอนเช้าตื่นมา 9 โมง ลืมตาขึ้นมาภาพมัวมาก มองอะไรไม่ค่อยเห็น ตาแดงผิดปกติ เลยตัดสินใจไปหาหมอ หมอย้อมสีตาดูและบอกว่า "กระจกตาอักเสบทั่วทั้งกระจกตา"
หมอให้ยามาหยอดตา 3 ตัว และให้ใส่แว่นดำตลอดเวลา กลับถึงบ้านก็ทำตามหมอสั่งทุกอย่าง แต่รู้สึกอาการไม่ดีขึ้น ตาเจ็บมากขึ้น ปวดตามากขึ้น เริ่มมองอะไรไม่เห็นมากขึ้น จนกระทั่ง ตี 2 ของวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560 เจ็บตา ปวดแสบปวดร้อนตา ตาบวมมาก ตาแดงมาก ลืมตาไม่ขึ้น ถ้าพยายามลืมตาน้ำตาจะไหลเป็นก๊อกน้ำเลย ทรมานจนทนไม่ไหว เลยตัดสินใจไปโรงพยาบาลตอนนั้นเลย ไปถึงหมอให้แอดมิทเลย หยอดยาชาที่ตา เจาะเลือดฉีดยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ แล้วให้นอนรอหมอตาตอน 9 โมง
ตั้งแต่วินาทีนั้น เราก็มองอะไรไม่ชัดอีกเลย อย่าว่าแต่โทรศัพท์หรือไลน์บอกใครเลยว่าแอดมิท แม้แต่หน้าแม่เรายังมองไม่เห็นเลย โลกของเรามัวไปหมด ขาวไปหมด ทรมานที่สุด ตอนนั้นเราเครียดมาก เครียดที่สุดในชีวิต จิตตก ในใจคิดไปสารพัด ถ้าตาบอดจะทำยังไง ? เราจะหาเงินยังไง ? เราจะทำงานได้ไหม ? เราจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง ?
กระทั่ง 9 โมงเช้า พยาบาลเข็นรถพาลงมาพบหมอ หมอย้อมสีตา และส่องดู หมอพูดว่า "มันไม่ใช่กระตกอักเสบเฉยๆ แล้วล่ะ อาการตอนนี้คือกระจกตาถลอกเป็นแผลทั่วทั้งกระจกตา หนูเป็นเคสแรกของหมอที่เป็นเยอะขนาดนี้ แต่โชคดีมากที่ไม่ติดเชื้อ เพราะถ้าติดเชื้อก็อีกเรื่องหนึ่ง"
"แล้วหนูจะหายมั๊ยคะ หนูจะกลับมามองเห็นเหมือนเดิมมั๊ย ?" หมอตอบมาว่า "หายค่ะ แต่ต้องใช้เวลา มันจะค่อยๆ ดีขึ้น อย่างช้าๆ พยายามอย่าลืมตา หรือกระพริบตาบ่อย เพราะเปลือกตามันจะยิ่งไปขูดกับแผลบริเวณกระจกตา ต้องหยอดตาทุก 1 ชม. และพยายามปิดตาตลอดเวลาเพื่อให้บริเวณกระจกตาสร้างเนื้อเยื่อสมานแผลตัวมันเอง" เราเลยถามต่อว่า "ใช้เวลานานขนาดไหนคะ ถึงจะหาย" หมอตอบกลับมาอีกว่า "7-14 วันค่ะ"
เรานอนโรงพยาบาลอยู่ 5 วัน ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้เลย เพราะมองไม่เห็นอะไรเลย กินข้าวก็ไม่ได้ ต้องมีคนป้อน เข้าห้องน้ำต้องมีคนพาไป อยู่แต่ในห้อง 4 เหลี่ยม เปิดไฟเปิดม่านก็ไม่ได้ แสบตา ได้ยินแต่เสียงทีวีที่แม่เปิด โทรศัพท์ดูไม่ได้เพราะมองไม่เห็น ลูกค้าโทรมา หรือ ใครโทรมาก็ให้แม่รับแทน ที่ทำงานให้ลางานยาวจนกว่าจะหายดีค่อยกลับไปทำ ตอนนั้นมันทั้งอึดอัด ทั้งจิตตก ทั้งร้อนใจ งานก็คาราคาซัง ตาก็มองไม่เห็น ลูกค้าก็โทรตาม คือสารพัดไปหมด ใจอยากหายตอนนั้นเลยแล้วไปทำงาน จนหัวหน้าบอกว่า มึงอย่าเพิ่งนึกถึงคนอื่น มึงเอาตัวเองให้หายก่อน งานค่อยว่ากัน
เป็น 4 คืน 5 วัน ที่ทรมานมาก อาหารโรงพยาบาลหน้าตาดี แต่รสชาติกินไม่ได้เลย กินได้ 2 คำ ทิ้ง พอ น้ำหนักลงจาก 46 เกลือ 41 ภายใน 5 วัน เพราะไม่ยอมกินข้าว กินไม่ลง เครียด คิดมาก จิตตก สงสารแม่ และคนอื่นๆ ที่มาดูแลเรามาก ที่เขาต้องมาเห็นเราอยู่ในสภาพแบบนั้น แต่เราทำอะไรไม่ได้เลย ต้องอดทนให้มากที่สุด กำลังใจสำคัญกับเรามากที่สุด ณ ตอนนั้น ..
เราลงไปพบหมอทุกเช้า อาการดีขึ้น แต่ดีขึ้นน้อยมากๆ แทบจะไม่ต่างจากเดิมเลย วันสุดท้ายก่อนหมอจะให้มาพักรักษาตัวต่อที่บ้าน ตาไม่เจ็บแล้ว เคืองน้อยลง แดงน้อยลง แต่ยังอักเสบอยู่นิดหน่อย และยังคงมองไม่เห็นเหมือนเดิม หมอให้ใช้วิธีรักษาแบบเดิม คือ หยอดตา ทุก 1 ชั่วโมง เพราะหมอยืนยันว่านี่เป็นวิธีรักษาที่ดีที่สุดแล้ว และยาตัวนี้ก็ดีที่สุดแล้วด้วย
กลับบ้านมาต้องตั้งนาฬิกาปลุกทุก 1 ชั่วโมง เพื่อลุกขึ้นมาหยอดตาเอง ทรมานมาก แต่ต้องอดทน บอกกับตัวเองว่า "ต้องหาย มึงต้องหายโบ๊ท อย่ายอมแพ้" ก็หยอดยาอยู่บ้านได้ 3 วัน ไม่เจ็บตาแล้ว ไม่แดงแล้ว แต่ภาพมันมัวหนักขึ้นกว่าเดิมมากๆ ยอมรับว่าเครียดกว่าเดิมมาก แต่อีกใจก็คิดว่า พรุ่งนี้พบหมอแล้ว หมอต้องพูดว่า "อาการดีขึ้น ใกล้หายแล้ว" เราให้กำลังใจตัวเองแบบนี้ตลอด ตั้งแต่กลางคืนจนเช้า ลุ้นว่าหมอจะพูดว่าอะไร พอมาถึง รพ. หมอย้อมสีดูอาการ แล้วก็บอกว่า "ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย แผลรอบกระจกตาหายเกือบหมดแล้ว เหลือแต่แผลถลอกบริเวณตรงกลางรูม่านตา"
"แต่ภาพมันมัวกว่าเดิมอีกนะคะหมอ หนูอ่านหนังสือไม่ได้ มองอะไรไม่เห็น ทำอะไรไม่ได้เลย หนูค่อนข้างเครียด นอนไม่หลับ และจิตตกมาก" เราตอบกลับ
"ตามปกติแผลจะหายจากข้างนอกเข้ามาสู่ตรงกลางบริเวณรูม่านตา มันเลยเหลือแผลบริเวณนี้อยู่ ทำให้หนูมองเห็นอะไรไม่ชัดอยู่แล้ว แผลบริเวณนี้จะหายช้าที่สุด ต้องใช้เวลาอีกนิด ประมาณ 7 วัน น่าจะกลับมามองเห็นเหมือนเดิมค่ะ แต่ต้องหยอดยาทุก 1 ชั่วโมงเหมือนเดิมนะคะ เพื่อให้แผลสมาน และถ้าออกจากบ้านต้องใส่แว่นตาดำตลอด 1-2 เดือนนี้ ไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ หายแน่นอนค่ะ" หมอบอกกลับมาอีกครั้ง
จบคำพูดหมอ เรายิ้ม ใจชื้นขึ้นเยอะ หายจิตตกแล้ว มันทำให้เรารู้แล้วว่า "ดวงตา" เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา เรายอมมองไม่เห็นตั้งแต่เกิด ยังดีซะกว่าที่เราเคยมองเห็นแล้วอยู่ดีๆ เราก็มองไม่เห็นอะไรอีกเลย ให้เราเสียเงินกี่สิบล้าน เราก็ยอม อะไรก็ได้ให้เรากลับมามองเห็นเหมือนเดิม ต้องขอขอบคุณอาจารย์หมอ สุรักษ์ พัฒนกนก โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ ที่ดูแลอย่างดีมากๆ และเก่งมากๆ ขอบคุณแม่ พ่อ น้อง และทุกคนที่คอยดูแล คอยให้กำลังใจ ไม่อย่างนั้นเราคงแย่ ที่สำคัญ ขอบคุณตัวเอง ที่อดทน เข้มแข็ง และให้กำลังใจตัวเองตลอด
ท้ายนี้ก็อยากฝากถึงคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ กรุณาอ่าน ** ถ้าเป็นไปได้ให้เลิกใส่เถอะค่ะ ใส่แว่นดีที่สุด หรือ ทำเลสิก ดีที่สุด แต่ถ้าเลิกใส่ไม่ได้ ห้ามใส่นานเกิน 6 ชม. เพราะวันนึงคุณอาจจะเป็นแบบเราก็ได้ โดยที่คุณไม่รู้ตัว คุณหมอบอกสาเหตุว่า ที่เป็นหนักขนาดนี้ก็เพราะว่า ผิวกระจกตาเราค่อนข้างบางมาก ใส่คอนแทคเลนส์มาตลอดหลายปี ถึงจะเป็นเนื้อที่นุ่มแค่ไหน แต่โดนการถอดเข้าถอดออก เสียดสีกระจกตาเป็นระยะเวลานานเป็นปีขนาดนี้ทำให้กระจกตาเราบางขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว แล้วพอถึงวันที่มันบางจนทนไม่ไหว มันจะเกิดการถลอกเป็นแผลแบบเรา ถ้าได้รับการรักษาช้า ถึงหมอช้า หรือติดเชื้อ โอกาสตาบอดมีสูงมาก ซึ่งโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ แต่เมื่อไหร่หรือเป็นหนักขนาดไหนตอบไม่ได้ แล้วแต่คน ฝากไว้ค่ะ เป็นห่วงทุกคน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่ใส่คอนแทคเลนส์
ขอบคุณเรื่องราวจาก : Facebook : Nuttaporn Chaowadee