คอลัมน์ : ธรรมชาติบำบัด ผู้เขียน : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นิตยสารฟรีก็อบปี้ Good Health & Well-Being ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับวันเสาร์ที่ 25 - วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2560 |
เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560 วารสารทางการแพทย์ว่าด้วยการประเมินการลงมือปฏิบัติทางคลีนิก ได้เผยแพร่งานวิจัยของทีมคณะแพทย์ของเมโย คลินิก (Mayo Clinic) ในหัวข้องานวิจัยที่ชื่อ “Extent of diagnostic agreement among medical referral”
งานวิจัยชิ้นนี้ได้ไปสำรวจจากคนไข้ 286 คน ประมาณ 30 วัน ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2552 - 31 ธันวาคม 2553 ซึ่งจัดทำขึ้นที่ศูนย์วิชาการทางการแพทย์แห่งหนึ่ง เพื่อดูการเปรียบเทียบการวินิจฉัยโรคด้วยความเห็นการวินิจฉัยเบื้องต้นของหมดคนแรก แล้วเปรียบเทียบกับการส่งต่อคนไข้ไปหาหมอคนที่ 2 เพื่อให้ความเห็นลงรายละเอียดมากขึ้น ในกลุ่มคนไข้กลุ่มเดียวกันว่ามีความเหมือนและแตกต่างกันมากน้อยเพียงใดในการวินิจฉัยโรค
งานวิจัยชิ้นดังกล่าวนี้ ได้แบ่งการเปรียบเทียบระหว่างความเห็นของหมอคนที่สอง โดยแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ ลักษณะที่หนึ่งคือการวินิจฉัยของหมอคนที่สองเหมือนกับหมอคนแรก ลักษณะที่สองคือการวินิจฉัยของหมอคนที่สองระบุรายละเอียดชัดเจนได้ดีขึ้นกว่าหมอคนแรก ลักษณะที่สามคือมีการวินิจฉัยโรคจากความเห็นของหมอคนที่สองแตกต่างหรือไม่เหมือนกับหมอคนแรกอย่างชัดเจน ผลการวิจัยชิ้นนี้ได้ผลว่า
1. ความคิดเห็นในการวินิจฉัยโรคของหมอคนที่สองเหมือนกับหมอคนแรก 12% (คนไข้ 36 คนจาก 286 คน)
2. ความคิดเห็นในการวินิจฉัยโรคของหมอคนที่สองแตกต่างหรือไม่เหมือนกับหมอคนแรกอย่างชัดเจนถึง 21 % (คนไข้ 62 คนจาก 286 คน)
3. ความคิดเห็นในการวิวินิจฉัยของหมอคนที่สองระบุรายละเอียดชัดเจนได้ดีขึ้นกว่าหมอคนแรกสูงที่สุดคือ 66% (188 คนจาก 286 คน)
นั่นเท่ากับว่ามีหมอที่วินิจฉัยโรคถูกต้องตรงกันเพียง 12% มีการวินิจฉัยโรคผิดพลาดหรือไม่ดีพอ ไม่ละเอียดพอถึง 88%!!!
ผลงานวิจัยในครั้งนี้ได้ทำให้หลายคนต้องตกใจว่าเหตุใดจึงได้มีความผิดพลาดในการวินิจฉัยโรคมากขนาดนี้ หลายฝ่ายในวงการแพทย์ของสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะสถาบันกาแพทย์แห่งชาติจึงเตรียมจัดงบประมาณสืบสวนหาความจริง เพื่อเข้ามาปรับปรุงขยายขอบเขตการวินิจฉัยเบื้องต้นให้ละเอียดมากขึ้น เพื่อลดความผิดพลาดทางการแพทย์ให้น้อยลง และต้องไม่ลืมว่าหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยก็ดำเนินตามการเรียนรู้แพทย์แผนปัจจุบันซึ่งมีรากฐานจากสหรัฐอเมริกาเสียด้วย
โดยเฉพาะผลการวินิจฉัยโรคที่ถึงขั้นผิดพลาด หลงทางอย่างสิ้นเชิง มีสูงถึง 21% นั้น หมายความว่า ทุกๆ คนไข้ 5 คน จะมีความผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง 1 คน ซึ่งถือว่ามีความผิดพลาดสูงมาก!!
ทีนี้ลองมาคิดดูว่าถ้าความผิดพลาดในระบบหมอแผนปัจจุบันสูงเช่นนี้ วิธีการรักษาจะผิดพลาดไปด้วยมากน้อยแค่ไหน และถ้าผิดพลาดในการรักษาแล้ว นั่นหมายถึง อาจจะเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตเพิ่มเติมเพราะวิธีการรักษาที่ผิดพลาด (จากการวินิจฉัยที่ผิดพลาด) และแน่นอนยังต้องเสียเงินและเสียเวลากับการรักษาที่ผิดพลาดหลงทางไปด้วย
ในการวิเคราะห์ที่สหรัฐอเมริกายังมีการวิเคราะห์ไปถึงพฤติกรรมหลายครั้งของบริษัทประกันสุขภาพที่จะจำกัดการไปหาความเห็นของหมอหลายๆคนในความเจ็บป่วยของตนเอง
คำถามที่ตามมาคือเกิดอะไรขึ้นที่วงการศึกษาและการแพทย์แผนปัจจุบันของสหรัฐอเมริกาซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบทางการแพทย์แผนปัจจุบันของหลายประเทศ
จากงานวิจัยครั้งนี้ทำให้วงการคนรักสุขภาพทั่วโลก เริ่มพิจารณาว่าลำพังฟังความเห็นจากหมอคนเดียวคงไม่พอ เพราะเป็นเพียงการวินิจฉัยเบื้องต้นเท่านั้น และคงต้องไปฟังความเห็นหมอมากกว่าหนึ่งคนที่มีรายละเอียดในการแสวงหาการวินิจฉัยโรคเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่แท้จริงด้วย
คำถามมีอยู่ว่าเหตุใดความคิดเห็นของหมอคนแรกก็มิได้ใส่ใจรายละเอียดของโรคในคนไข้ให้เหมือนกับหมอคนที่สอง
หรือเหตุใดไม่ขยายการวินิจฉัยลงรายละเอียดของผลแลปให้ชัดเจนขึ้นตั้งแต่หมอคนแรก
และเหตุใดในเมื่อวงการแพทย์ในสหรัฐอเมริกานั้นเรียนมาจากตำราและองค์ความรู้คล้ายคลึงกัน มีแพทยสภาที่บังคับให้แพทย์อยู่ในกรอบอย่างเคร่งครัดตามทุนของบริษัทยา เหตุใดการวินิจฉัยเบื้องต้นของหมอคนแรกจึงยังมีความผิดพลาดมากเช่นนี้ ในกรณีที่ไม่มีการส่งต่อหมอคนที่สองเพื่อหารายละเอียดเพื่มเติม
ลำพังต่อให้ความเห็นในการวินิจฉัยโรคตรงกัน วิธีการรักษาและการจ่ายยาก็ของหมอด้วยกันเองก็แตกต่างกันอยู่แล้ว และยาทั้งหลายถ้ากินเป็นประจำต่อเนื่องก็ส่งผลข้างเคียงก่อโรคอื่นๆได้ด้วย แล้วถ้าการวินิจฉัยโรคเบื้องต้นเป็นปัจจัยความเสี่ยงในความผิดพลาดมากขึ้นไปอีกในกรณีไม่ไปวินิจฉัยโรคด้วยการตรวจให้ละเอียดขึ้นโดยความเห็นของหมอคนที่สอง ประชาชนจะมีความสับสนและผิดพลาดในการรักษาขนาดไหน ?
ดังนั้น วิธีการดีที่สุดคือไปหาหมอให้น้อยที่สุด พยายามดูแลในเชิงการป้องกันให้ดีที่สุด ด้วยอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เอนกายพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อากาศที่ดี เอาพิษออก ควบคุมอารมณ์ ปฏิบัติอิทธิบาท 4 ฯลฯ ก็จะทำให้อัตราความเจ็บป่วยน้อยลง กินยาน้อยลง และมีความเสี่ยงในการวินิจฉัยโรคสุขภาพจากหมอน้อยลง