xs
xsm
sm
md
lg

เรียนลัดความสำเร็จ ต้องทำจริงเพื่อเกิดผล / ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จากคอลัมน์ Learn & Share โดย ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล (suwatmgr@gmail.com) เซกชั่น Good Health & Well Being นิตยสารผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 26 มีนาคม 2560

สำหรับคนที่มีชีวิตการทำงานจะรู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปเร็วนะครับ เพิ่งใช้ปฏิทินใหม่ไม่ทันไร เราก็กำลังเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของครึ่งปีในไม่ช้าแล้ว ถ้าจะมองหาความสำเร็จก็ต้องรีบปรับแผนปรับตัวกันแต่เนิ่นๆ ก็จะดี

จะว่าไปแล้ว ยุคนี้เทคโนโลยีข่าวสารก็เอื้อต่อการเข้าถึงความรู้อย่างสะดวกและหลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะหมวดเนื้อหาด้านการพัฒนาแนวคิดและวิธีการดำเนินชีวิตและพัฒนาศักยภาพนั้น มีให้เลือกเป็นตัวช่วย เป็นเครื่องทุ่นแรง ได้เรียนรู้มาประยุกต์ใช้ได้มากมาย

เนื้อหาหนังสือ The Success Principles ของ Jack Canfield ซึ่งพิมพ์ฉบับภาคไทย ชื่อ “วิธีขโมยความสำเร็จจากอนาคต” ให้หลักที่น่าสนใจสมกับที่บันทึกในกินเนสส์บุ๊กในฐานะที่เป็นผู้เขียนหนังสือขายดีในสหรัฐอเมริกาที่จัดอันดับของเดอะนิวยอร์กไทม์
10 อันดับ เป็นหนังสือของเขาถึง 7 เล่มในคราวเดียวกัน

จากกฎ 25 ข้อ สู่ความสำเร็จที่ประมวลจากการได้ศึกษารวบรวมและทดสอบจนเห็นผลจริง จึงเป็นเสมือนเข็มทิศนำทางที่จะช่วยให้ผู้นำไปใช้อย่างจริงจังก็จะทำให้เป้าหมายในใจคุณกลายเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้น

ประการแรก
รับผิดชอบต่อชีวิต 100% ในสิ่งที่คุณพบเจอในชีวิต เพราะเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ อุปสรรคจากคนหรือจากฤดูกาลหรือลมฟ้าอากาศ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักโทษผู้อื่น สิ่งอื่น

ทั้งๆ ที่ปัญหาที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้ว สามารถเปลี่ยนที่ตัวเราเอง
แจ็ค แคนฟิลด์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เล่าว่า ได้มีโอกาสเข้าทำงานกับดับเบิลยู คลีเมนต์ สโตน มหาเศรษฐีผู้สร้างตัวจนมีทรัพย์สินกว่า 600 ล้านเหรียญ เมื่อปี 1969 แล้ว ได้รับการสอนว่า...
ต้องเลิกกล่าวโทษผู้อื่นและเลิกบ่นกับสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจและหันมารับผิดชอบชีวิตตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จและความล้มเหลว

ประเด็นที่ต้องพิจารณาที่สรุปเป็นสมการ
เหตุการณ์ + การตอบสนอง = ผลลัพธ์
(ห)(ต) (ผ)

เมื่อเผชิญเหตุการณ์ (ห) จะตอบสนอง (ต) หรือมีปฏิกิริยาอย่างไรจะเป็นเชิงบวกหรือเชิงลบ ก็จะเกิดผลลัพธ์ (ผ) ในทิศทางนั้น

ดังนั้น คนทั่วไปมี 2 ทางเลือก คือ

1.กล่าวโทษปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบ เช่น เป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจ บุคคล การเมืองหรือเครื่องมือ

ทั้งๆ ที่การจะหยุดยั้งผลกระทบไม่ใช่จากเงื่อนไขภายนอก หากแต่เป็นตัวเราเอง เพราะถ้าคิดว่าเป็นข้อจำกัด ก็จะเกิดพฤติกรรมที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้

ถ้าเอามาเป็นเหตุข้อแก้ตัว ก็เป็นการสร้างนิสัยบ่อนทำลายตัวเราเอง

ขณะเดียวกัน ก็ไม่สนใจข้อมูล ปฏิกิริยาสะท้อนกลับมา ซึ่งมีประโยชน์ในการเรียนรู้เพื่อเอามาปรับปรุงวิธีการ

ยิ่งถ้าไม่พยายามเพิ่มพูนความรู้หรือทักษะใหม่ๆ เราก็เท่ากับตกอยู่ในสภาพไม่พัฒนา

2.เปลี่ยนการตอบสนอง (ต) ต่อเหตุการณ์ (ห) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ (ผ) ที่ดีตามที่เราต้องการ

จึงต้องเปลี่ยนความคิดเป็นเชิงบวก วิธีการสื่อสารในทางสร้างสรรค์ และเปลี่ยนภาพฝังหัวที่เคยคิดในแง่ร้ายให้ดีขึ้น เพื่อให้เปลี่ยนพฤติกรรมในสิ่งที่จะส่งผลดีได้ผลคุ้มค่า เพื่อให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย ค่านิยมและเป้าหมายที่ดี

เพราะถ้าเราใช้พฤติกรรมแบบเดิมๆ เรื่อยๆ ก็อย่าหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไป

ในชีวิตประจำวันหรือแนวทางการทำงาน ถ้ายังคงทำอะไรด้วยพฤติกรรมอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันต่อไป ชีวิตย่อมไม่อาจดีไปกว่านี้แน่

ดังนั้น วันที่คุณเปลี่ยนพฤติกรรมการตอบสนอง นั่นคือวันที่ชีวิตเริ่มดีขึ้น

ประการที่ 2
แจ็คบอกว่าได้ค้นพบมานานแล้วว่า เขาเกิดมาบนโลกใบนี้เพื่อทำอะไร จึงกำหนดจุดมุ่งหมายว่า “ต้องดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง สร้างแรงบันดาลใจและมอบพลังให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตตามวิสัยทัศน์ที่ดีที่สุดในสายตาของพวกเขา”

ทำให้ทุกสิ่งที่ทำเข้าที่เข้าทาง และเดินไปตามจุดมุ่งหมาย คือ กำลังทำในสิ่งที่คุณรักที่จะทำ คุณทำได้ดี และทำในสิ่งที่สำคัญต่อตัวเองและผู้อื่นให้สำเร็จ

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะมีผู้คน ทรัพยากรและโอกาสต่างๆ ที่คุณต้องการ จะมีแรงดึงดูดเข้ามาหาตัวคุณโดยธรรมชาติ

เท่ากับว่าได้ทำสิ่งที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในชีวิต ขณะเดียวกัน สังคมก็ได้ประโยชน์ไปพร้อมกันด้วย เพราะการกระทำที่ดีของคุณจะมีส่วนส่งเสริมผู้อื่นโดยปริยาย

ไบรอัน เทรซี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์และความมีประสิทธิภาพส่วนบุคคล แนะนำว่า “เมื่อตัดสินใจเลือกจุดมุ่งหมายที่สำคัญในชีวิตของคุณออกมาได้ ก็จัดกิจกรรมทั้งหมดของคุณให้สอดคล้องกัน”

ประการที่ 3
ตัดสินใจว่า ชีวิตนี้ต้องการอะไร
แต่อย่าใช้ชีวิตตามความฝันของคนอื่น เช่นบางคนไปเรียนแพทย์ตามใจพ่อแม่ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ชอบ ก็ไม่มีความสุข

การมีวิสัยทัศน์หรือวาดภาพชีวิตในอุดมคติที่ชัดเจน จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อก้าวจากจุดที่คุณเป็นอยู่ปัจจุบัน ไปสู่จะที่คุณต้องการ

หนทางการจะทำเช่นนี้ได้ ต้องมองให้ออกว่าภาวะปัจจุบันคุณอยู่ในสภาวะเช่นใด และต้องการไปยังสภาวะเช่นใด การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนจนจินตนาการเห็นเป็นภาพ คือคำอธิบายว่า คุณต้องการไปที่ไหน

“จงฝันให้ยิ่งใหญ่ไว้เสมอ ความฝันที่ยิ่งใหญ่จะดึงดูดผู้คนที่ยิ่งใหญ่เข้ามา” เดฟ ลินิเกอร์ ผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาบอกกับผู้เขียน สอดคล้องกับพล.อ.เวสลีย์ คลาร์ด เคยบอกเขาว่า

“การสร้างฝันใหญ่ๆ ไม่ได้ใช้พลังมากไปกว่าการสร้างฝันเล็กๆ เลย”

ขณะที่โรเบิร์ต พริตซ์ ผู้เขียนหนังสือ The Path of Least Resistance ย้ำว่า “ถ้าคุณจำกัดทางเลือกของคุณอยู่กับสิ่งที่เป็นไปได้หรือสมเหตุสมผล คุณก็ได้ตัดขาดตัวเองจากสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ และสิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็คือ ความไม่ดีพอเท่านั้น”

ประการที่ 4
เชื่อว่าเป็นไปได้
นโปเลียน ฮิลล์ ผู้แต่งหนังสือ Think and Grow Rich เสริมว่า “คุณสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่คุณต้องการจะเป็น เพียงแค่คุณมีความเชื่อมั่นพอ และลงมือทำตามศรัทธาของคุณ สิ่งใดก็ตามที่สมองเข้าใจเชื่อได้ ก็จะสามารถทำให้สำเร็จได้”

ประการที่ 5
เชื่อในตัวคุณเอง
นี่เป็นทัศนคติเชิงบวก และต้องเลิกพูดว่า “ฉันทำไม่ได้” หรือแม้แต่สิ่งที่คนอื่นคิดกับคุณก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมากังวล หากเรามีความมั่นใจในหลักคิดและข้อมูลที่มีพร้อม

ประการที่ 6
จงหวาดระแวงในทางบวก
ปัจจุบันมีงานวิจัยเพิ่มมากขึ้นที่ยืนยันว่า แรงสั่นสะเทือนของความหวังเชิงบวกที่ผู้ประสบความสำเร็จปลดปล่อยออกมาจะดึงดูดประสบการณ์ที่พวกเขาเชื่อว่าจะเกิดขึ้นให้เข้ามาหาพวกเขาจริงๆ

มีตัวอย่างยืนยันว่า เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับการงานของบางกรณี ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นผลเสีย แต่เวลาต่อมากลับกลายเป็นผลดีทั้งโอกาส การงานและการเงิน

นโปเลียน ฮิลล์ จึงบอกว่า “เหตุการณ์เลวร้ายทั้งหลายล้วนมาพร้อมกับเมล็ดพันธุ์แห่งผลประโยชน์ที่เท่าเทียมหรือเหนือกว่า”

ดังนั้น จึงควรพิจารณาว่าจะใช้ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นให้เป็นประโยชน์อย่างไร และให้มองหาโอกาสในทุกสิ่ง

ประการที่ 7
ปลดปล่อยพลังแห่งการตั้งเป้าหมาย
เมื่อคุณรู้ว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตคืออะไร และได้กำหนดวิสัยทัศน์หรือภาพชีวิตหรือการงานที่อยากเป็น ได้ทำสิ่งที่ต้องการและปรารถนาอย่างแท้จริงและกระจ่างชัด

จากนั้นให้แปลงเป็นเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่เจาะจงและวัดความคืบหน้าได้ มีการอ่านทบทวนให้เกิดการบันทึกในจิตใต้สำนึก ส่งผลให้สมองจะทุ่มเทและเป็นปัจจัยเอื้อให้เป้าหมายเป็นจริง

ประการที่ 8
แบ่งเป้าหมายให้เล็กลง
การแบ่งเป้าหมายขนาดใหญ่ ให้เป็นหมวดงานที่เล็กลงเพื่อทำให้สำเร็จทีละชิ้น เป็นวิธีที่สามารถทำให้เป้าหมายใหญ่กลายเป็นจริงได้

ทั้งนี้ ก็โดยการวาดเป็น Mind Map จากวงกลมกลาง (เป้าหมายใหญ่) วงกลมย่อยแบ่งงานเป็นหมวดและก้างปลา แยกย่อยงานภายใต้แต่ละหมวด
จากนั้นให้ทำสิ่งที่สำคัญก่อน ในรายการที่ต้องทำทั้งหมด

ประการที่ 9
ตามรอยความสำเร็จ
ยุคปัจจุบันนับเป็นโลกแห่งโอกาสในการเรียนรู้ที่มีผู้เผยแพร่องค์ความรู้จากความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจและหลักการดำเนินชีวิต บริหารสุขภาพและบริหารการเงินที่สามารถสะกดรอยจากการบันทึกและเผยแพร่ผ่านช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย

ประการที่ 10
ปลดเบรกมือ
คนส่วนใหญ่คล้ายขับรถยนต์โดยดึงเบรกมือในใจเอาไว้ นั่นคือ การยึดติดกับภาพของตัวเองในเชิงลบหรือยังไม่ปล่อยวางกับความเชื่อผิดๆ

ผู้ประสบความสำเร็จได้ค้นพบว่า “การปลดเบรกมือ” ที่หน่วงความเร็ว ง่ายกว่าการพยายามเหยียบคันเร่งหนักขึ้นเพื่อให้คล่องตัว ซึ่งเป็นการทุ่มเทที่เหนื่อยเปล่า เพราะขาดการเรียนรู้

เมื่ออ่านสาระที่เป็นประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้ กระตุ้นด้วยบทสุดท้ายให้ “ลงมือทำ เริ่มต้นเดี๋ยวนี้เลย!” สำคัญมาก
ข้อมูลจากหนังสือ “วิธีขโมยความสำเร็จจากอนาคต”
The Success Principles
โดย Jack Confield
สำนักพิมพ์ WE LERN


กำลังโหลดความคิดเห็น