หลายคนอาจจะไม่รู้จักหรือคุ้นชินกับ “มะตูมซาอุ” แต่สำหรับคนอีสานแล้วนั้นคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีนิยมเอามารับประทานแกล้มกับลาบ ก้อย ป่นปลาหรือน้ำพริกกันมาก เพราะรสชาติดี อร่อย แถมยังมีกลิ่นหอมคล้ายกับมะม่วงอ่อนอีกด้วย
ลักษณะของมะตูมซาอุ ใบอ่อนจะมีสีแดง ตรงขอบใบจะคล้ายหนาม ดอกเป็นช่อเล็กๆ สีขาว ดอก ผลเมื่ออ่อนจะมีสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีแดงสดเมื่อแก่ เนื่องจากผลมีสีสวยสดและออกได้ตลอดทั้งปี จึงมักจะนิยมนำไปปลูกเป็นไม้ประดับ ซึ่งพอผลจัดเปลือกจะแห้งติดเมล็ดคล้ายกับพริกไทย ซึ่งชาวอเมริกาใต้ใช้ผลมะตูมซาอุแทนพริกไทย ซึ่งคนไทยนำเอาใบมากินเป็นผักสดเพราะรสชาติดี

ประโยชน์ของมะตูมซาอุ
ใบมะตูมซาอุ ยังไม่มีรายงานเรื่องสารอาหาร แต่จากลักษณะความกรอบ มันของใบ ทำให้การรับประทานใบมะตูมซาอุแบบดิบๆ น่าจะมีกากเส้นใยอาหารประเภทไม่ละลายน้ำในปริมาณสูง ซึ่งเมื่อรับประทานแล้วมีกากมากทำให้ขับถ่ายได้ดี
การใช้ยาแบบพื้นบ้านของประเทศทางอเมริกาใต้ ก็มีหลากหลาย เช่น ชาชงใบใช้รักษาอาการปวดข้อ และสูดดมรักษาหวัด ลดความดันโลหิต และ อาการซึมเศร้า ใบต้มน้ำรักษาอาการประจำเดือนไม่ปกติ ชาชงทำจากเปลือกต้น เป็นยาระบาย ยางเป็นยาระบาย และขับปัสสาวะ ทั้งต้น หรือ น้ำมันและชัน (oleoresin) ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อสำหรับทาแผลภายนอก รักษาแผล ห้ามเลือด แก้ปวดฟัน
มีรายงานวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ของส่วนต่างๆ ของมะตูมซาอุหลายอย่าง เช่น สารสกัดใบลดอาการปวด และลดความดันโลหิต เมื่อทดลองในสุนัขและหนู น้ำมันหอมระเหยจากใบและ เปลือกต้น มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคและเชื้อราบางชนิด เปลือกต้น สกัดด้วยแอลกอฮอล์ช่วยสมานแผลในทางเดินอาหาร สารสกัดจากส่วนผลลดความดันโลหิตได้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามการกินมะตูมซาอุ แนะนำให้ใช้เป็นอาหารเท่านั้น เพราะไม่มีประสบการณ์การใช้เป็นยาในประเทศไทย และงานวิจัยที่กล่าวมาก็เป็นทดลองในสัตว์ ขนาดวิธีใช้ รวมถึงความเป็นพิษยังไม่ชัดเจน
ใบมะตูมซาอุ มีพิษหรือไม่
มะตูมซาอุ เป็นพืชวงศ์เดียวกับมะม่วง พืชในวงศ์นี้มีทั้งพืชที่รับประทานได้ ใช้เป็นผักได้แก่ ยอดมะม่วงหิมพานต์ มะม่วง และพืชที่เป็นพิษ เช่น รักหลวง เนื่องจากมีสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น urushiol และ cardol เป็นต้น
พืชในวงศ์นี้ส่วนใหญ่พบสารที่เป็นกรดในน้ำยางใสจากใบและลำต้น แต่ความเป็นพิษมากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของสารที่พบ จะเห็นได้ว่า ยางมะม่วง ก็มีสารกลุ่มนี้แต่พบความเป็นพิษน้อยมาก เรายังกินมะม่วงโดยเฉพาะมะม่วงดิบ หรือกินยอดมะม่วงหิมพานต์ดิบได้
จากรายงานวิจัยและบทความของต่างประเทศ ยางของมะตูมซาอุ มีสาร urushiol และ cardol เช่นเดียวกัน แต่ความเป็นพิษต่ำ อย่างไรก็ดียางก็อาจทำให้เกิด การแพ้ แบบเป็นผื่นแดง อักเสบ บวม จากการสัมผัสได้เช่นเดียวกัน ส่วนดอกและผลอาจทำให้ระคายเคืองทางเดินหายใจ การกินผลอาจทำให้อาเจียน มีรายงานว่า ในเมล็ดมีสารกลุ่ม triterpene ที่ทำให้ระคายเคืองทางเดินอาหาร ท้องเสีย และ อาเจียน เป็นอันตรายกับนก อาจทำให้นกที่กินผลไม้นี้เข้าไปเป็นอัมพาต แต่ข้อมูลจากบางแหล่งระบุว่าไม่เป็นอันตรายต่อนก นอกจากนี้การทำลายซากส่วนของพืชเมื่อตัดแต่งกิ่งห้ามใช้วิธีเผา เพราะจะทำให้เกิดกลิ่น ควันที่ระคายเคือง รายงานความเป็นพิษเหล่านี้เป็นไม่เคยพบรายงานความเป็นพิษ ในประเทศไทย เนื่องจากเป็นพืชวงศ์เดียวกับมะม่วง มีสารอยู่ในกลุ่มเดียวกัน จึงตั้งข้อสังเกตได้ว่า ถ้าแพ้ยางมะม่วง ก็น่าจะแพ้ยางของต้นนี้ได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้น หากคนที่ยังไม่เคยกินมะตูมซาอุ แต่กังวลว่า ตนเองจะแพ้หรือไม่ ให้สังเกตจากการแพ้ยางมะม่วง จากการทานมะม่วงดิบ หรือมะม่วงอ่อน ถ้ามีความรู้สึกคัน แสบ ริมฝีปาก บางครั้งผิวไหม้ ทำให้ขอบริมฝีปากกลายเป็นสีดำ นั่นเป็นลักษณะที่แพ้ยางมะม่วง ซึ่งก็ต้องหลีกเลี่ยงไม่กิน ไม่สัมผัส
อย่างไรก็ดี สำหรับเคยรับประทานพืชชนิดนี้แล้วแล้วมีอาการแสบปาก คันคอ ก็คืออาการแสดงของการระคายเคืองที่เกิดจากยางได้เช่นเดียวกัน สำหรับคนที่ไม่เคยมีอาการดังกล่าว ก็สามารถรับประทานได้ โดยใช้เฉพาะส่วนใบและยอดอ่อนเท่านั้น การรับประทานเป็นผักสด ให้ล้างและแช่น้ำจนยางออกมากที่สุด และให้รับประทานพอควร ไม่มากเกินไป
สรุปได้ว่าการกินใบมะตูมซาอุแบบสด จะทำให้เพิ่มกากใยอาหาร ขับถ่ายได้ดี แต่ควรระวังในการสัมผัสยาง โดยล้างผักให้สะอาด และแช่น้ำนานๆ ก่อนนำมารับประทาน
ข้อมูลประกอบ : http://www.pharmacy.mahidol.ac.th
ลักษณะของมะตูมซาอุ ใบอ่อนจะมีสีแดง ตรงขอบใบจะคล้ายหนาม ดอกเป็นช่อเล็กๆ สีขาว ดอก ผลเมื่ออ่อนจะมีสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีแดงสดเมื่อแก่ เนื่องจากผลมีสีสวยสดและออกได้ตลอดทั้งปี จึงมักจะนิยมนำไปปลูกเป็นไม้ประดับ ซึ่งพอผลจัดเปลือกจะแห้งติดเมล็ดคล้ายกับพริกไทย ซึ่งชาวอเมริกาใต้ใช้ผลมะตูมซาอุแทนพริกไทย ซึ่งคนไทยนำเอาใบมากินเป็นผักสดเพราะรสชาติดี
ประโยชน์ของมะตูมซาอุ
ใบมะตูมซาอุ ยังไม่มีรายงานเรื่องสารอาหาร แต่จากลักษณะความกรอบ มันของใบ ทำให้การรับประทานใบมะตูมซาอุแบบดิบๆ น่าจะมีกากเส้นใยอาหารประเภทไม่ละลายน้ำในปริมาณสูง ซึ่งเมื่อรับประทานแล้วมีกากมากทำให้ขับถ่ายได้ดี
การใช้ยาแบบพื้นบ้านของประเทศทางอเมริกาใต้ ก็มีหลากหลาย เช่น ชาชงใบใช้รักษาอาการปวดข้อ และสูดดมรักษาหวัด ลดความดันโลหิต และ อาการซึมเศร้า ใบต้มน้ำรักษาอาการประจำเดือนไม่ปกติ ชาชงทำจากเปลือกต้น เป็นยาระบาย ยางเป็นยาระบาย และขับปัสสาวะ ทั้งต้น หรือ น้ำมันและชัน (oleoresin) ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อสำหรับทาแผลภายนอก รักษาแผล ห้ามเลือด แก้ปวดฟัน
มีรายงานวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ของส่วนต่างๆ ของมะตูมซาอุหลายอย่าง เช่น สารสกัดใบลดอาการปวด และลดความดันโลหิต เมื่อทดลองในสุนัขและหนู น้ำมันหอมระเหยจากใบและ เปลือกต้น มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคและเชื้อราบางชนิด เปลือกต้น สกัดด้วยแอลกอฮอล์ช่วยสมานแผลในทางเดินอาหาร สารสกัดจากส่วนผลลดความดันโลหิตได้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามการกินมะตูมซาอุ แนะนำให้ใช้เป็นอาหารเท่านั้น เพราะไม่มีประสบการณ์การใช้เป็นยาในประเทศไทย และงานวิจัยที่กล่าวมาก็เป็นทดลองในสัตว์ ขนาดวิธีใช้ รวมถึงความเป็นพิษยังไม่ชัดเจน
ใบมะตูมซาอุ มีพิษหรือไม่
มะตูมซาอุ เป็นพืชวงศ์เดียวกับมะม่วง พืชในวงศ์นี้มีทั้งพืชที่รับประทานได้ ใช้เป็นผักได้แก่ ยอดมะม่วงหิมพานต์ มะม่วง และพืชที่เป็นพิษ เช่น รักหลวง เนื่องจากมีสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น urushiol และ cardol เป็นต้น
พืชในวงศ์นี้ส่วนใหญ่พบสารที่เป็นกรดในน้ำยางใสจากใบและลำต้น แต่ความเป็นพิษมากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของสารที่พบ จะเห็นได้ว่า ยางมะม่วง ก็มีสารกลุ่มนี้แต่พบความเป็นพิษน้อยมาก เรายังกินมะม่วงโดยเฉพาะมะม่วงดิบ หรือกินยอดมะม่วงหิมพานต์ดิบได้
จากรายงานวิจัยและบทความของต่างประเทศ ยางของมะตูมซาอุ มีสาร urushiol และ cardol เช่นเดียวกัน แต่ความเป็นพิษต่ำ อย่างไรก็ดียางก็อาจทำให้เกิด การแพ้ แบบเป็นผื่นแดง อักเสบ บวม จากการสัมผัสได้เช่นเดียวกัน ส่วนดอกและผลอาจทำให้ระคายเคืองทางเดินหายใจ การกินผลอาจทำให้อาเจียน มีรายงานว่า ในเมล็ดมีสารกลุ่ม triterpene ที่ทำให้ระคายเคืองทางเดินอาหาร ท้องเสีย และ อาเจียน เป็นอันตรายกับนก อาจทำให้นกที่กินผลไม้นี้เข้าไปเป็นอัมพาต แต่ข้อมูลจากบางแหล่งระบุว่าไม่เป็นอันตรายต่อนก นอกจากนี้การทำลายซากส่วนของพืชเมื่อตัดแต่งกิ่งห้ามใช้วิธีเผา เพราะจะทำให้เกิดกลิ่น ควันที่ระคายเคือง รายงานความเป็นพิษเหล่านี้เป็นไม่เคยพบรายงานความเป็นพิษ ในประเทศไทย เนื่องจากเป็นพืชวงศ์เดียวกับมะม่วง มีสารอยู่ในกลุ่มเดียวกัน จึงตั้งข้อสังเกตได้ว่า ถ้าแพ้ยางมะม่วง ก็น่าจะแพ้ยางของต้นนี้ได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้น หากคนที่ยังไม่เคยกินมะตูมซาอุ แต่กังวลว่า ตนเองจะแพ้หรือไม่ ให้สังเกตจากการแพ้ยางมะม่วง จากการทานมะม่วงดิบ หรือมะม่วงอ่อน ถ้ามีความรู้สึกคัน แสบ ริมฝีปาก บางครั้งผิวไหม้ ทำให้ขอบริมฝีปากกลายเป็นสีดำ นั่นเป็นลักษณะที่แพ้ยางมะม่วง ซึ่งก็ต้องหลีกเลี่ยงไม่กิน ไม่สัมผัส
อย่างไรก็ดี สำหรับเคยรับประทานพืชชนิดนี้แล้วแล้วมีอาการแสบปาก คันคอ ก็คืออาการแสดงของการระคายเคืองที่เกิดจากยางได้เช่นเดียวกัน สำหรับคนที่ไม่เคยมีอาการดังกล่าว ก็สามารถรับประทานได้ โดยใช้เฉพาะส่วนใบและยอดอ่อนเท่านั้น การรับประทานเป็นผักสด ให้ล้างและแช่น้ำจนยางออกมากที่สุด และให้รับประทานพอควร ไม่มากเกินไป
สรุปได้ว่าการกินใบมะตูมซาอุแบบสด จะทำให้เพิ่มกากใยอาหาร ขับถ่ายได้ดี แต่ควรระวังในการสัมผัสยาง โดยล้างผักให้สะอาด และแช่น้ำนานๆ ก่อนนำมารับประทาน
ข้อมูลประกอบ : http://www.pharmacy.mahidol.ac.th