อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 18 และปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ ประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา และประเทศเยอรมนี ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ.2534 และพฤษภาทมิฬ เขายังได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการรัฐกิจ ประจำปี พ.ศ.2540
นั่นคือข้อความแรกๆ ที่ปรากฏ ทันทีที่เราเสิร์ชชื่อ "อานันท์ ปันยารชุน" ในกูเกิ้ล บุคคลผู้มีบทบาทสำคัญต่อประเทศชาติบ้านเมืองของเรามาช้านาน และแม้ว่าหลังจากสถานะทางภาครัฐจะยุติลง ใช่ว่าเขาคนนี้จะหยุดทำประโยชน์ต่อประเทศชาติหรือกระทั่งเพื่อนร่วมโลกอย่างที่เรารู้ๆ กันว่าเขาคือทูตยูนิเซฟ เข้าร่วมกับมูลนิธิสเปเชี่ยลโอลิมปิค เป็นระยะเวลากว่า 20 กว่าปี
และล่าสุด ในวัย 82 กับอีกหนึ่งบทบาท "คืนรอยยิ้ม" ให้เด็กไทยที่ป่วยเป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่
ชายชราใบหน้านัยต์ตาอบอุ่นผู้นี้คิดอ่านอย่างไร
และมองเห็นถึงสิ่งใดในรอยยิ้มของเด็กๆ
"Operation Smile Thailand" คืออะไร
เราไปฟังจากปากเขากันเลย...

• อยากให้คุณอานันท์เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการมาเป็นประธานมูลนิธิ Operation Smile Thailand ก่อนครับ
เมื่อ 19 ปีก่อน ตอนที่ทำยูนิเซฟ คอนราด (นิโคลสัน) ฮิลตัน มหาเศรษฐีโรงแรมกลุ่มฮิลตัน เขามีจิตใจบุญกุศลมาก เขาก็ตั้งเงินรางวัลไว้หนึ่งล้านเหรียญสหรัฐ ให้คัดเลือกจากโครงการสารธารณกุศลที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ อันเราต้องชมความเป็นเศรษฐีฝรั่ง ผมก็อยากเห็นเศรษฐีไทยเราทำอะไรประเภทนี้บ้าง อยากเห็นเศรษฐีกับมหาเศรษฐีเมืองไทยให้มีส่วนร่วมในโครงการประเภทนี้มากกว่าที่ผ่านมา
ประเทศไทยเรามีเด็กที่ประสบปัญหาโรคปากแห่วงเพดานโหว่ค่อนข้างมาก ที่ผ่านมาคนไทยเราให้ความสนใจส่วนใหญ่ที่เด็กตาบอด หูหนวก หรือเด็กที่พิการในเรื่องอื่นๆ มากกว่า ในขณะที่เรื่องปากแหว่งเพดานโหว่ไม่ค่อยได้รับการช่วยเหลือดูแลเท่าที่ควร คือเพิ่งจะเริ่มมสนใจกันเมื่อสักประมาณ 15-16 ปีที่ผ่านมานี้เอง ถัดจากนั้นอีกหนึ่งปีต่อมา เขาก็ส่งคณะล่วงหน้ามาสำรวจ
ครั้งแรกก็เริ่มที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ ก่อนจะแพร่หลายไปถึงโรงพยาบาลอื่นๆ เป็นการตอบรับที่ดีมาก เขาก็เลยมาทุกปี ก็ทำกันมา 17-18ปี ปีละหลายครั้ง ซึ่งเวลาเขาบินมาแต่ละครั้ง เขาก็จะมีเครื่องไม้เครื่องมือติดมาด้วยตลอด เราก็ชักชวนให้โรงพยาบาลต่างๆ ให้มาร่วมโครงการนี้ ตอนนี้หมอในเมืองไทย ก็ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับกิจกรรมประเภทนี้แล้ว ก็ต้องขอขอบคุณโรงพยาบาลทั้งหลาย ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล ทั้งอาสาสมัครอื่นๆ ด้วยที่ร่วมทำงานให้กับโครงการนี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย นอกจากค่าใช้จ่ายที่จำเป็นจริงๆ
• คือนอกจากเด็กที่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่จะถูกละเลยมองข้ามในตอนนั้น การช่วยเหลือของระบบสาธารณสุขยังไม่เพียงพอใช่ไหม
จริงอยู่ที่รัฐบาลได้มีโครงการช่วยเหลือเด็กที่ประสบปัญหาประเภทนี้อยู่แล้ว แต่จำนวนเด็กที่มีปัญหา ผมเคยพูดไว้ว่าปีละ 2,000 คน จำนวนมันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ถึงเด็กชาวเขา เด็กด้อยโอกาส เด็กที่ไม่มีสัญชาติพวกนั้น ส่วนเด็กที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงโครงการอันนี้ก็อาจจะเข้าไม่ถึงอีกเพราะว่าไม่มีเงินเพียงพอที่จะเสียค่าเดินทาง หรืออยู่ห่างไกล ที่เลวร้ายกว่านั้นคือบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีสิทธิอันนี้ เพราะฉะนั้นช่องว่างเหล่านี้เป้าหมายของเราคือต้องการเข้าไปเสริมให้ เข้าไปอุดให้มันเต็ม แต่ส่วนจะไปอุดให้เต็มได้หรือไม่ได้นี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยและเหตุการณ์

คือปัจจัยอันที่หนึ่งเลยเรื่องเงินทุน แม้ว่าเหล่าคนส่วนใหญ่ที่จะเข้าไปช่วยเหลือส่วนมากเป็นอาสาสมัคร แต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายการเดินทาง ค่าที่อยู่ ค่ากิน ค่าจิปาถะ ที่ต้องมี แล้วไหนจะเด็กที่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ เวลาเข้ารับการรักษา ไม่ใช่ว่าศัลยกรรมเพียงครั้งเดียวแล้วเสร็จ ต้องมีสองครั้งสามครั้ง นอกจากนั้นหลังศัลยกรรมไปแล้ว ถึงแม้ว่าใบหน้าจะออกมาเรียบร้อย 90-95 เปอร์เซ็นต์แล้วก็ตาม แต่เนื่องจากว่าเขาอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถพูดได้ กินได้ เหมือนคนปกติมาก่อน ฉะนั้น สิ่งที่ตามมามันก็มีขั้นตอนอีกมากมายที่ เช่น ต้องปรับฟัน ต้องดูแลเรื่องทันตกรรม อุดฟัน ปรับสภาพให้เรียบร้อย
หลังจากนั้นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำตามต่อไปก็คือเราต้องสอนให้เด็กพูดได้เหมือนคนปกติทั่วไป ร่วมไปถึงเรื่องการกินการทานอาหารด้วย เพราะว่าถ้าเกิดปากแหว่ง เพดานโว่มาเป็นเวลานาน วิธีการที่เขาทานอาหาร หรือวิธีการที่เขาทำกิจกรรมอื่นๆ มาก่อน มันก็ต้องมีการมาปรับเปลี่ยนให้หมด สิ่งเหล่านี้ก็ต้องอาศัยเงินทุน แล้วบางสิ่งบางอย่างเราก็ไม่มีความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์เองเพียงพอ เราก็ต้องขอให้สมาคมต่างประเทศหรือระหว่างประเทศที่ดูแลประเทศเหล่านี้มาฝึกงาน มาสอนคนของเรา
• ทราบมาเบื้องต้นว่ามีการวางแผนนโยบายโครงที่ว่ามานี้ให้สำเร็จในระยะเวลา 5 ปี
ก็มีโครงการ 5 ปี ที่บอกว่าเป้าหมาย 5 ปี เราจะทำให้การช่วยเหลือครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และเพิ่มยอดผู้บริจาคให้ได้ 25 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหน้าที่หลักๆ ของผมตอนนี้ก็คือเรื่องหาเงินทุน เพราะเนื่องจากด้วยชื่อของผมเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ประวัติการทำงานทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 25 ปี
หลังจากที่เรามีการแถลงข่าว ผมก็เลยได้ส่งจดหมายไปถึงประธานกรรมการผู้บริหารบริษัทกว่า 70 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่ก็เคยช่วยเหลือในการปรึกษาโครงการสาธารณกุศลที่ผมดำเนินการอยู่ ขณะเดียวกันก็มีบริษัทใหม่ๆ เข้ามาร่วมด้วยก็ได้รับความช่วยเหลือมาดีพอสมควรให้เขามีความสนใจกับโครงการ เพราะเรื่องนี้มันสามารถช่วยจิตใจเด็กมากนะ และไม่ใช่แค่ทางด้านร่างกายอย่างเดียวนะ หรือช่วยจิตใจเด็กอย่างเดียว มันช่วยจิตใจของผู้ที่เป็นพ่อแม่ตรงนี้สำคัญมาก เลยใช้คำว่า Operation Smile
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาบอกคืนความสุขให้กับประชาชน ของเรานี่ก็คือ รอยยิ้ม (หัวเราะ) คืนรอยยิ้มให้กับเด็กและพ่อแม่

• ดูคุณอานันท์จะให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องเด็กค่อนข้างอันดับต้นๆ เพราะว่าเด็กเป็นพื้นฐานกำลังสำคัญของประเทศชาติ
ผมไม่ได้มองอะไรมากมายเลย ก็ช่วยเด็กเท่านั้น สิทธิมนุษยชนธรรมดา คือผมนี่เป็นคนคิดง่ายๆ ไม่ได้คิดว่าจะต้อง โอ้โห (ยิ้ม) ถึงขั้นนั้น ไม่ๆ ไม่ใช่เรื่องสับสนยุ่งยากหรือลึกลับอะไรเลย การที่ผมเข้าช่วยเหลือเด็กๆ คือตัวผมเองก็มีลูกสองคน แถมตอนนี้มีเหลนแล้วด้วยนะ ผมก็มองว่าสุดท้ายนี่ คนเราเกิดมาตั้งแต่เด็กจนโต เรียนหนังสือ จบปริญญา เข้าทำงาน มีชีวิตเจริญเติบโตในหน้าที่การงานมีฐานะดีขึ้น มีรายได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนราชการก็ดี ธุรกิจก็ดี หรือส่วนตัวก็ดี แต่สุดท้ายมันอยู่ที่สุขภาพของตัวเอง
สุขภาพของแต่ละคนมันมีความสำคัญที่สุด ยิ่งคนเราอายุมากขึ้น ใกล้ถึงเวลาที่เราจะไม่ได้อยู่แล้ว มันก็ต้องคิดถึงสุขภาพเป็นหลักใหญ่ เพราะฉะนั้น เรื่องเด็กตาบอด เด็กหูหนวก เด็กที่มีปัญหาประเภทอื่น หรือกระทั่งเรื่องปากแหว่งเพดานโหว่ หากเราช่วยได้ เราเท่ากับสร้างชีวิตใหม่ให้เขา สร้างให้เขาดีขึ้น เมื่อสุขภาพเขาดีขึ้น มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนเรามีอารมณ์ดีจิตใจดีขึ้น คนเราหากได้ช่วยเหลือคนอื่นแล้วนี่ มันมีความสุขที่สุด
• อยากให้พูดถึงภาพรวมของปัญหาเด็กในบ้านเรา ที่เราให้ความสำคัญและใส่ใจหน่อยว่ามีทิศทางอย่างไร
ผมว่าสิ่งที่เราประเทศไทยมีคือต้นทุนทางสังคมเรื่องจิตใจที่รักเด็ก เรามีอยู่มาก คนไทยนี่เป็นคนรักเด็กนะและค่อนข้างรักมากไปจนกระทั่งเลี้ยงเด็กแบบปล่อยตามใจ (ยิ้ม) เพราะฉะนั้น เราเริ่มต้นด้วยพื้นฐานจิตใจที่รักเด็กนี่แหละ มันเป็นต้นทุนที่ดีมาก แล้วนิสัยคนไทยเป็นคนโอบอ้อมอารี เรื่องทำบุญกุศล เราทำกันมามากตั้งแต่ในไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ในอดีตเราจะเน้นหนักไปทางศาสนา ทำนุบำรุงวัด หรือโรงพยาบาล ไม่ว่าจะช่วยเด็กอนาถาในด้านต่างๆ ช่วยแผนกอนาถาหรือช่วยสร้างโรงพยาบาล บริจาคเงินค่าห้องค่าบริการทางการแพทย์ อันนี้มีมาอยู่ประจำ สิ่งเหล่านี้มันมีความเป็นมายาวนาน
ขณะเดียวกัน เมื่อแต่ละคนมีความเจริญ มีความมั่งคั่ง ประเทศเจริญมากขึ้น โรคต่างๆ ของมนุษย์มันก็มีมากมายตามเหมือนกัน ทั้งทางด้านเด็กที่ไม่สมประกอบในเรื่องหูปากจมูก มันก็มีอยู่เสมอๆ แต่เรื่องปากแหว่งกับเพดานโหว่ ก็อย่างที่บอกไป เราเพิ่งจะมาตื่นตัวเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมานี้เอง

• มองว่าเด็กๆ ต้องการการช่วยเหลืออีกเยอะไหม
แน่นอน แต่จริงๆ ผู้ใหญ่ก็ต้องการความช่วยเหลืออีกเยอะเหมือนกันนะ (หัวเราะ) ทุกคนมันต้องการความช่วยเหลือทั้งนั้น แต่ทีนี้ที่เลือกเด็ก เพราะการที่เด็กเกิดมาแล้วมีภาวะอย่างนี้ มันไม่ใช่ความผิดของเขา
• จากประสบการณ์ที่ผ่านงานด้านการกุศลกับมูลนิธิระดับโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างยูนิเซฟ คุณอานันท์มีการนำรูปแบบการทำงานตรงนั้นมาใช้กับมูลนิธิตรงนี้อย่างไรบ้าง
ก็กำลังเริ่มทำ อย่างเรื่องการระดมทุนบริจาค เราก็หยิบเอาโครงการบริจาคระยะยาวแบบเดียวกับยูนิเซฟ ที่ประสานงานกับบริษัทหลายๆ บริษัท หรือในผู้บริจาครายย่อย เราก็จะทำบัญชีตัดเงินบริจาครายเดือนต่อเนื่อง คือเราก็พยายามชักจูงว่าเดี๋ยวนี้ คนเราใช้เงินกันสุรุยสุร่าย อย่างจัดงานวันเกิด งานวันแต่งงาน งานวันจิปาถะเมืองไทยบ้านเรา ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างมันน่าจะลดลงไปได้ ไอ้ส่วนที่ลดไปก็น่าจะมาช่วยในเรื่องสารธารณกุศล
• เป้าหมายสูงสุดคืออย่างเห็นเด็กที่เป็นนอย่างนี้ได้รับการรักษาหมด และคิดไว้บ้างไหมว่าจะทำตรงนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่
แน่นอนครับ ทั้งเป้าหมายส่วนตัวผมก็อยากให้เด็กหูหนวกตาบอดให้เขาได้รับการดูแลช่วยเหลือ แต่จะได้ทั้งหมดหรือเปล่ายังไม่รู้ เพราะทุกประเทศมันก็จะมีช่องว่างทั้งนั้น ผมทำมาตั้งหลาย 10 ปีแล้วนะก่อนจะแก่ด้วย ยูนิเซฟก็เกือบ 20 ปี สเปเชี่ยลโอลิมปิคก็มากกว่า 10ปี Operation Smile ก็เกี่ยวพันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนยูนิเซฟ ถามว่าคิดจะเลิกหรือทำไปเรื่อยๆ มันก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นนะ (หัวเราะ) หากเราช่วยได้เท่ากับว่าเราสร้างชีวิตใหม่ให้เขา สร้างให้เขาดีขึ้น
นั่นคือข้อความแรกๆ ที่ปรากฏ ทันทีที่เราเสิร์ชชื่อ "อานันท์ ปันยารชุน" ในกูเกิ้ล บุคคลผู้มีบทบาทสำคัญต่อประเทศชาติบ้านเมืองของเรามาช้านาน และแม้ว่าหลังจากสถานะทางภาครัฐจะยุติลง ใช่ว่าเขาคนนี้จะหยุดทำประโยชน์ต่อประเทศชาติหรือกระทั่งเพื่อนร่วมโลกอย่างที่เรารู้ๆ กันว่าเขาคือทูตยูนิเซฟ เข้าร่วมกับมูลนิธิสเปเชี่ยลโอลิมปิค เป็นระยะเวลากว่า 20 กว่าปี
และล่าสุด ในวัย 82 กับอีกหนึ่งบทบาท "คืนรอยยิ้ม" ให้เด็กไทยที่ป่วยเป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่
ชายชราใบหน้านัยต์ตาอบอุ่นผู้นี้คิดอ่านอย่างไร
และมองเห็นถึงสิ่งใดในรอยยิ้มของเด็กๆ
"Operation Smile Thailand" คืออะไร
เราไปฟังจากปากเขากันเลย...
• อยากให้คุณอานันท์เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการมาเป็นประธานมูลนิธิ Operation Smile Thailand ก่อนครับ
เมื่อ 19 ปีก่อน ตอนที่ทำยูนิเซฟ คอนราด (นิโคลสัน) ฮิลตัน มหาเศรษฐีโรงแรมกลุ่มฮิลตัน เขามีจิตใจบุญกุศลมาก เขาก็ตั้งเงินรางวัลไว้หนึ่งล้านเหรียญสหรัฐ ให้คัดเลือกจากโครงการสารธารณกุศลที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ อันเราต้องชมความเป็นเศรษฐีฝรั่ง ผมก็อยากเห็นเศรษฐีไทยเราทำอะไรประเภทนี้บ้าง อยากเห็นเศรษฐีกับมหาเศรษฐีเมืองไทยให้มีส่วนร่วมในโครงการประเภทนี้มากกว่าที่ผ่านมา
ประเทศไทยเรามีเด็กที่ประสบปัญหาโรคปากแห่วงเพดานโหว่ค่อนข้างมาก ที่ผ่านมาคนไทยเราให้ความสนใจส่วนใหญ่ที่เด็กตาบอด หูหนวก หรือเด็กที่พิการในเรื่องอื่นๆ มากกว่า ในขณะที่เรื่องปากแหว่งเพดานโหว่ไม่ค่อยได้รับการช่วยเหลือดูแลเท่าที่ควร คือเพิ่งจะเริ่มมสนใจกันเมื่อสักประมาณ 15-16 ปีที่ผ่านมานี้เอง ถัดจากนั้นอีกหนึ่งปีต่อมา เขาก็ส่งคณะล่วงหน้ามาสำรวจ
ครั้งแรกก็เริ่มที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ ก่อนจะแพร่หลายไปถึงโรงพยาบาลอื่นๆ เป็นการตอบรับที่ดีมาก เขาก็เลยมาทุกปี ก็ทำกันมา 17-18ปี ปีละหลายครั้ง ซึ่งเวลาเขาบินมาแต่ละครั้ง เขาก็จะมีเครื่องไม้เครื่องมือติดมาด้วยตลอด เราก็ชักชวนให้โรงพยาบาลต่างๆ ให้มาร่วมโครงการนี้ ตอนนี้หมอในเมืองไทย ก็ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับกิจกรรมประเภทนี้แล้ว ก็ต้องขอขอบคุณโรงพยาบาลทั้งหลาย ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล ทั้งอาสาสมัครอื่นๆ ด้วยที่ร่วมทำงานให้กับโครงการนี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย นอกจากค่าใช้จ่ายที่จำเป็นจริงๆ
• คือนอกจากเด็กที่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่จะถูกละเลยมองข้ามในตอนนั้น การช่วยเหลือของระบบสาธารณสุขยังไม่เพียงพอใช่ไหม
จริงอยู่ที่รัฐบาลได้มีโครงการช่วยเหลือเด็กที่ประสบปัญหาประเภทนี้อยู่แล้ว แต่จำนวนเด็กที่มีปัญหา ผมเคยพูดไว้ว่าปีละ 2,000 คน จำนวนมันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ถึงเด็กชาวเขา เด็กด้อยโอกาส เด็กที่ไม่มีสัญชาติพวกนั้น ส่วนเด็กที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงโครงการอันนี้ก็อาจจะเข้าไม่ถึงอีกเพราะว่าไม่มีเงินเพียงพอที่จะเสียค่าเดินทาง หรืออยู่ห่างไกล ที่เลวร้ายกว่านั้นคือบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีสิทธิอันนี้ เพราะฉะนั้นช่องว่างเหล่านี้เป้าหมายของเราคือต้องการเข้าไปเสริมให้ เข้าไปอุดให้มันเต็ม แต่ส่วนจะไปอุดให้เต็มได้หรือไม่ได้นี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยและเหตุการณ์
คือปัจจัยอันที่หนึ่งเลยเรื่องเงินทุน แม้ว่าเหล่าคนส่วนใหญ่ที่จะเข้าไปช่วยเหลือส่วนมากเป็นอาสาสมัคร แต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายการเดินทาง ค่าที่อยู่ ค่ากิน ค่าจิปาถะ ที่ต้องมี แล้วไหนจะเด็กที่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ เวลาเข้ารับการรักษา ไม่ใช่ว่าศัลยกรรมเพียงครั้งเดียวแล้วเสร็จ ต้องมีสองครั้งสามครั้ง นอกจากนั้นหลังศัลยกรรมไปแล้ว ถึงแม้ว่าใบหน้าจะออกมาเรียบร้อย 90-95 เปอร์เซ็นต์แล้วก็ตาม แต่เนื่องจากว่าเขาอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถพูดได้ กินได้ เหมือนคนปกติมาก่อน ฉะนั้น สิ่งที่ตามมามันก็มีขั้นตอนอีกมากมายที่ เช่น ต้องปรับฟัน ต้องดูแลเรื่องทันตกรรม อุดฟัน ปรับสภาพให้เรียบร้อย
หลังจากนั้นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำตามต่อไปก็คือเราต้องสอนให้เด็กพูดได้เหมือนคนปกติทั่วไป ร่วมไปถึงเรื่องการกินการทานอาหารด้วย เพราะว่าถ้าเกิดปากแหว่ง เพดานโว่มาเป็นเวลานาน วิธีการที่เขาทานอาหาร หรือวิธีการที่เขาทำกิจกรรมอื่นๆ มาก่อน มันก็ต้องมีการมาปรับเปลี่ยนให้หมด สิ่งเหล่านี้ก็ต้องอาศัยเงินทุน แล้วบางสิ่งบางอย่างเราก็ไม่มีความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์เองเพียงพอ เราก็ต้องขอให้สมาคมต่างประเทศหรือระหว่างประเทศที่ดูแลประเทศเหล่านี้มาฝึกงาน มาสอนคนของเรา
• ทราบมาเบื้องต้นว่ามีการวางแผนนโยบายโครงที่ว่ามานี้ให้สำเร็จในระยะเวลา 5 ปี
ก็มีโครงการ 5 ปี ที่บอกว่าเป้าหมาย 5 ปี เราจะทำให้การช่วยเหลือครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และเพิ่มยอดผู้บริจาคให้ได้ 25 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหน้าที่หลักๆ ของผมตอนนี้ก็คือเรื่องหาเงินทุน เพราะเนื่องจากด้วยชื่อของผมเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ประวัติการทำงานทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 25 ปี
หลังจากที่เรามีการแถลงข่าว ผมก็เลยได้ส่งจดหมายไปถึงประธานกรรมการผู้บริหารบริษัทกว่า 70 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่ก็เคยช่วยเหลือในการปรึกษาโครงการสาธารณกุศลที่ผมดำเนินการอยู่ ขณะเดียวกันก็มีบริษัทใหม่ๆ เข้ามาร่วมด้วยก็ได้รับความช่วยเหลือมาดีพอสมควรให้เขามีความสนใจกับโครงการ เพราะเรื่องนี้มันสามารถช่วยจิตใจเด็กมากนะ และไม่ใช่แค่ทางด้านร่างกายอย่างเดียวนะ หรือช่วยจิตใจเด็กอย่างเดียว มันช่วยจิตใจของผู้ที่เป็นพ่อแม่ตรงนี้สำคัญมาก เลยใช้คำว่า Operation Smile
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาบอกคืนความสุขให้กับประชาชน ของเรานี่ก็คือ รอยยิ้ม (หัวเราะ) คืนรอยยิ้มให้กับเด็กและพ่อแม่
• ดูคุณอานันท์จะให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องเด็กค่อนข้างอันดับต้นๆ เพราะว่าเด็กเป็นพื้นฐานกำลังสำคัญของประเทศชาติ
ผมไม่ได้มองอะไรมากมายเลย ก็ช่วยเด็กเท่านั้น สิทธิมนุษยชนธรรมดา คือผมนี่เป็นคนคิดง่ายๆ ไม่ได้คิดว่าจะต้อง โอ้โห (ยิ้ม) ถึงขั้นนั้น ไม่ๆ ไม่ใช่เรื่องสับสนยุ่งยากหรือลึกลับอะไรเลย การที่ผมเข้าช่วยเหลือเด็กๆ คือตัวผมเองก็มีลูกสองคน แถมตอนนี้มีเหลนแล้วด้วยนะ ผมก็มองว่าสุดท้ายนี่ คนเราเกิดมาตั้งแต่เด็กจนโต เรียนหนังสือ จบปริญญา เข้าทำงาน มีชีวิตเจริญเติบโตในหน้าที่การงานมีฐานะดีขึ้น มีรายได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนราชการก็ดี ธุรกิจก็ดี หรือส่วนตัวก็ดี แต่สุดท้ายมันอยู่ที่สุขภาพของตัวเอง
สุขภาพของแต่ละคนมันมีความสำคัญที่สุด ยิ่งคนเราอายุมากขึ้น ใกล้ถึงเวลาที่เราจะไม่ได้อยู่แล้ว มันก็ต้องคิดถึงสุขภาพเป็นหลักใหญ่ เพราะฉะนั้น เรื่องเด็กตาบอด เด็กหูหนวก เด็กที่มีปัญหาประเภทอื่น หรือกระทั่งเรื่องปากแหว่งเพดานโหว่ หากเราช่วยได้ เราเท่ากับสร้างชีวิตใหม่ให้เขา สร้างให้เขาดีขึ้น เมื่อสุขภาพเขาดีขึ้น มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนเรามีอารมณ์ดีจิตใจดีขึ้น คนเราหากได้ช่วยเหลือคนอื่นแล้วนี่ มันมีความสุขที่สุด
• อยากให้พูดถึงภาพรวมของปัญหาเด็กในบ้านเรา ที่เราให้ความสำคัญและใส่ใจหน่อยว่ามีทิศทางอย่างไร
ผมว่าสิ่งที่เราประเทศไทยมีคือต้นทุนทางสังคมเรื่องจิตใจที่รักเด็ก เรามีอยู่มาก คนไทยนี่เป็นคนรักเด็กนะและค่อนข้างรักมากไปจนกระทั่งเลี้ยงเด็กแบบปล่อยตามใจ (ยิ้ม) เพราะฉะนั้น เราเริ่มต้นด้วยพื้นฐานจิตใจที่รักเด็กนี่แหละ มันเป็นต้นทุนที่ดีมาก แล้วนิสัยคนไทยเป็นคนโอบอ้อมอารี เรื่องทำบุญกุศล เราทำกันมามากตั้งแต่ในไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ในอดีตเราจะเน้นหนักไปทางศาสนา ทำนุบำรุงวัด หรือโรงพยาบาล ไม่ว่าจะช่วยเด็กอนาถาในด้านต่างๆ ช่วยแผนกอนาถาหรือช่วยสร้างโรงพยาบาล บริจาคเงินค่าห้องค่าบริการทางการแพทย์ อันนี้มีมาอยู่ประจำ สิ่งเหล่านี้มันมีความเป็นมายาวนาน
ขณะเดียวกัน เมื่อแต่ละคนมีความเจริญ มีความมั่งคั่ง ประเทศเจริญมากขึ้น โรคต่างๆ ของมนุษย์มันก็มีมากมายตามเหมือนกัน ทั้งทางด้านเด็กที่ไม่สมประกอบในเรื่องหูปากจมูก มันก็มีอยู่เสมอๆ แต่เรื่องปากแหว่งกับเพดานโหว่ ก็อย่างที่บอกไป เราเพิ่งจะมาตื่นตัวเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมานี้เอง
• มองว่าเด็กๆ ต้องการการช่วยเหลืออีกเยอะไหม
แน่นอน แต่จริงๆ ผู้ใหญ่ก็ต้องการความช่วยเหลืออีกเยอะเหมือนกันนะ (หัวเราะ) ทุกคนมันต้องการความช่วยเหลือทั้งนั้น แต่ทีนี้ที่เลือกเด็ก เพราะการที่เด็กเกิดมาแล้วมีภาวะอย่างนี้ มันไม่ใช่ความผิดของเขา
• จากประสบการณ์ที่ผ่านงานด้านการกุศลกับมูลนิธิระดับโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างยูนิเซฟ คุณอานันท์มีการนำรูปแบบการทำงานตรงนั้นมาใช้กับมูลนิธิตรงนี้อย่างไรบ้าง
ก็กำลังเริ่มทำ อย่างเรื่องการระดมทุนบริจาค เราก็หยิบเอาโครงการบริจาคระยะยาวแบบเดียวกับยูนิเซฟ ที่ประสานงานกับบริษัทหลายๆ บริษัท หรือในผู้บริจาครายย่อย เราก็จะทำบัญชีตัดเงินบริจาครายเดือนต่อเนื่อง คือเราก็พยายามชักจูงว่าเดี๋ยวนี้ คนเราใช้เงินกันสุรุยสุร่าย อย่างจัดงานวันเกิด งานวันแต่งงาน งานวันจิปาถะเมืองไทยบ้านเรา ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างมันน่าจะลดลงไปได้ ไอ้ส่วนที่ลดไปก็น่าจะมาช่วยในเรื่องสารธารณกุศล
• เป้าหมายสูงสุดคืออย่างเห็นเด็กที่เป็นนอย่างนี้ได้รับการรักษาหมด และคิดไว้บ้างไหมว่าจะทำตรงนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่
แน่นอนครับ ทั้งเป้าหมายส่วนตัวผมก็อยากให้เด็กหูหนวกตาบอดให้เขาได้รับการดูแลช่วยเหลือ แต่จะได้ทั้งหมดหรือเปล่ายังไม่รู้ เพราะทุกประเทศมันก็จะมีช่องว่างทั้งนั้น ผมทำมาตั้งหลาย 10 ปีแล้วนะก่อนจะแก่ด้วย ยูนิเซฟก็เกือบ 20 ปี สเปเชี่ยลโอลิมปิคก็มากกว่า 10ปี Operation Smile ก็เกี่ยวพันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนยูนิเซฟ ถามว่าคิดจะเลิกหรือทำไปเรื่อยๆ มันก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นนะ (หัวเราะ) หากเราช่วยได้เท่ากับว่าเราสร้างชีวิตใหม่ให้เขา สร้างให้เขาดีขึ้น