กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง สำหรับโรคไข้กาฬหลังแอ่น ภายหลังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งแจ้งว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคนี้จริง เรามาทำความรู้จัก เพื่อรู้ทัน และป้องกัน ตลอดจนวิธีรักษาโรคนี้กันดีกว่า เพราะว่ากันว่า มันคือมฤตยูร้ายที่ถ้าใครได้รับเชื้อเพียง 48 ชั่วโมง ก็มีโอกาสเสียชีวิตได้
_____________________________________________________________________________
แม้ว่าจะมีน้อยคนชนิดแทบจะนับจำนวนผู้ป่วยต่อปีที่เป็นและเสียชีวิตด้วยโรคนี้ในประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตามโรคไข้กาฬหลังแอ่น ก็ยังคงเป็นโรคติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงจนผู้ป่วยสามารถเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็วหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ถึงกระนั้นบางครั้งแม้จะได้รับการรักษาทันแต่โอกาสการเสียชีวิตก็ยังมีถึง 5-10 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีหากเชื้อมีความรุนแรง เกิดอาการแทรกซ้อน ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
โดยโรคไข้กาฬหลังแอ่นเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย "Neisseria meningitidis" ทั้งนี้คนปกติจำนวนมากมีเชื้อนี้อาศัยอยู่ในร่างกายเป็นปกติโดยไม่ได้ทำให้เกิดโรคใดๆ แต่หากเชื้อหลุดเข้ากระแสเลือดไปยังสมองก็จะทำให้เกิดโรคร้ายแรงเช่นนี้ได้ ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 13 ซีโรกรุ๊ป คือ A,B,C,D,H,I,K,L,X,Y,Z, 29E และW135 แต่ที่พบบ่อยในประเทศไทย คือกรุ๊ป B และกรู๊ป C พบได้ในทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ เป็นโรคติดต่อทางระบบหายใจ ไอ จาม ละอองน้ำลาย ละอองน้ำมูก ของผู้ป่วยหรือผู้ที่เป็นพาหะ การสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งข้างต้น น้ำลาย น้ำมูก ผ่านเข้าตาหรือปากก็มีโอกาสเช่นเดียวกัน
อาการเตือนแสดงของโรค
โรคไข้กาฬหลังแอ่นมีช่วงระยะฟักตัวอยู่ระหว่าง 2-10 วัน แต่โดยเฉลี่ยแล้ว 3-4 วัน ก็จะแสดงอาการป่วยของโรคให้เห็นชัดใน 3 ลักษณะตามลำดับขั้นที่พบส่วนใหญ่ของโรค คือหนึ่งจะเริ่มมีไข้ขึ้นสูง ปวดศีรษะอย่างรุ่นแรง คลื่นไส้ อาเจียน รวมด้วยอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คอหลังแข็ง ชักเกร็ง ตามด้วยสองผิวหนังจะมีผื่นเลือดออกใต้ผิวหนังเป็นจุดแดงๆ เหมือนไข้เลือดออกแต่จะไม่จางซีดลงเมื่อกดหรือทับที่จุดแดงนั้น นอกจากนี้จะมีขนาดใหญ่กว่า มักพบตามแขนและขาเป็นส่วนใหญ่ (ในรายที่มีรุนแรงผื่นแดงจะมีลักษณะเป็นปื้นรวมกันเป็นพืด) และสามมีอาการเยื้อหุ้มสมองอักเสบ จากสาเหตุที่เชื้อแบ่งตัวในกระแสเลือดก่อให้เกิดการลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย
ทั้งนี้ความรุนแรงของโรคแตกต่างกันได้มากขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อที่ได้รับ อาจมีอาการค่อยเป็นค่อยไปหรือรวดเร็วจนสามารถเสียชีวิตได้ภายใน 48 ชั่วโมง
วิธีป้องกันเบื้องต้น
1.หลีกเลี่ยงโอกาสสัมผัสถูกน้ำมูก น้ำลายของผู้อื่น
2.ไม่อยู่ในบริเวณพื้นที่แออัดที่ไม่มีการถ่ายเทอากาศเพียงพอเป็นเวลานาน หรืออยู่ในบริเวณแหล่งชุมชนที่ไม่มีระบบสุขาภิบาลที่ดี
3.ล้างมืออย่างถูกวิธีทุกครั้งที่จะสัมผัสส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อลดโอกาสที่จะได้รับเชื้อ
4.นอกจากนี้ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด เพราะร่างกายจะขาดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
กระนั้นอย่างไรก็ตามทันทีที่เมื่อเกิดการระบาดของโรคในพื้นที่นั้นๆ หรือจำเป็นต้องเดินทางไปในที่ๆ มีหรือเคยเกิดการระบาดของโรคเป็นประจำ ควรรับการฉีดวัคซีนป้องกันหรือกินยาต้านจุลชีพทุกครั้งจากแพทย์ผู้รู้
ข้อมูลส่วนหนึ่งโดย อ.นพ.ยงค์ รงค์รุ่งเรือง Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล,กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข และ ศูนย์ข้อมูลโรคติดเชื้อและพาหะนำโรค