แนว แอ็คชั่นอาร์พีจี
ระบบ PC, PS4, Xbox One, Switch
เรตเกม PEGI: 16 เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป
ดุเดือดเลือดพล่านไปกับการผจญภัยต่อสู้ของสมาชิกจตุรอาชาคนที่สี่ ในผลงานเกมภาคแยกที่ทั้งสนุกและคุ้มค่า จนอาจแซงหน้าพรรคพวกขุนพลคนขี่ม้าด้วยกัน
สำหรับ Darksiders Genesis มันไม่ใช่ผลงานเกมภาคต่อ หากแต่เป็นเรื่องราวอารัมภบทเกริ่นนำเล่าย้อนก่อนเหตุการณ์ในเกมภาคแรก ในสมัยที่ 4 จตุรอาชายังคงก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งของสภา The Charred Council แบบไร้ข้อกังขาเรื่อยมา จนกระทั่งราชาปีศาจ Lucifer ได้แอบวางแผนสมคบคิดกับจอมมาร Samael ปลุกระดมสร้างความปั่นป่วนในขุมนรก ทางสภาสูงจึงต้องส่งขุนพลมือดีครึ่งหนึ่งของ Horsemen เข้าไปจัดการเพื่อคุมกฎระเบียบและรักษาความสมดุล
สมาชิกหนึ่งในนั้นคือ Strife จุตรอาชาหน้าใหม่ที่โผล่ปรากฏตัวมาให้สาวกเล่นกันเป็นครั้งแรก ซึ่งหนุ่มจอมทะเล้นลีลายั่วยวนกวนบาทาผู้นี้ เขามีปืนแม็กนั่มกระบอกโตเป็นอาวุธคู่กาย โดยสไตล์การเล่นของเขาจะคล้ายคลึงกับสายอาชีพธนูยิงไกลในเกมอาร์พีจีปกติทั่วไป เน้นความว่องไวในการหลบหลีกแล้วยิงสวน ตรงข้ามกับ War ฮีโร่หน้าเข้มอารมณ์ขรึมผู้ถูกส่งตัวมาตามล่า ลูซิเฟอร์ เช่นกัน ที่ยังคงใช้ดาบยักษ์เข้าฟาดฟันระยะใกล้ตามสไตล์ที่พวกเราคุ้นเคยกันดี โดยตัวเกมจะให้ผู้เล่นได้เปลี่ยนสลับบังคับทั้งคู่เวลาไหนเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ใจเราต้องการ
ฉากหลังของเกมจะไม่ใช้สภาพแวดล้อมแบบ โอเพ่นเวิลด์ เหมือนสามภาคที่ผ่านมา เพราะทีมพัฒนาได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนใหม่ขอนำเสนอผลงานภาคแยกนี้ออกมาในลักษณะของเกม แอ็คชั่นอาร์พีจีตะลุยดันเจี้ยน ให้เราเล่นเคลียร์ผ่านเนื้อเรื่องไปทีละด่านมิชชั่นย่อยๆที่ถูกแยกเดี่ยวตัดขาดออกจากกัน ซึ่งในแต่ละด่านจะกำหนดระดับพลังขั้นต่ำที่แนะนำเอาไว้ หากพลังตัวละครของเราไม่ถึงเกณฑ์ก็อาจต้องกลับไปฟาร์มด่านเก่าๆ เพื่ออัปเกรดยกระดับตัวละครให้แข็งแกร่งพอไปเผชิญหน้าท้าชนกับศัตรูโหดๆที่รอเราอยู่เบื้องหน้า
ถึงแม้รูปแบบการเล่นจะแปรเปลี่ยนไปมากจากเดิม แต่เอกลักษณ์ของซีรีส์ Darksiders นั้นยังคงอยู่ครบถ้วนไม่ขาดหายไปไหน ไม่ว่าจะเป็นระบบแอ็คชั่นต่อสู้ทำคอมโบที่ดูลื่นไหล ไปจนถึงท่าจับเผด็จศึกศัตรูที่ใกล้ตายแบบโหดเลือดสาด และการใช้สมองขบคิดแก้ปริศนาพัซเซิลเพื่อเปิดทางไปต่อ ด้วยคลังอุปกรณ์ของเล่นที่เราคุ้นเคยอย่างเช่น บูมเมอแรง ที่สามารถล็อคเป้าปาชิ่งสิ่งต่างๆได้ เพิ่มเติมเสริมทัพด้วยลูกเล่นใหม่ของเจ้า Strife ที่สามารถสร้างประตูมิติ พอร์ทัล ทะลุพาตัวเองไปยังจุดที่คาดไม่ถึง ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์พลิกแพลงใช้งานได้หลากหลาย
ในส่วนของเกมเพลย์การต่อสู้นั้น ตัวละครของเราจะมีทั้งการโจมตีพื้นฐาน และสกิลท่าไม้ตายพิเศษที่ต้องสูญเสียเกจพลัง โดยหากทำการสังหารศัตรูไปได้มากจนถึงระดับหนึ่ง ตัวละครจะสามารถแปลงร่างระเบิดพลังเข้าสู่โหมด Burst ได้ในระยะเวลาชั่วครู่ ซึ่งพอเพียงต่อการกำจัดศัตรูทั้งฉากให้หมดไปอย่างสิ้นซาก นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบอัปเกรดตัวละครใหม่ที่เรียกว่า Creature Cores ให้เราเก็บสะสมเม็ดผลึกจากศพศัตรูมาใส่ลงไปในแผงสเฟียร์ เพื่ออัพพลังสถานะด้านต่างๆให้กับตัวละครได้อีกด้วย
ด้วยมุมกล้องแบบ Top Down มองลงมาจากด้านบน เห็นตัวละครขนาดเท่าเม็ดถั่วเดินสู้อยู่ห่างไกลตามสไตล์ Diablo มิได้ซูมชัดใกล้ทุกอณูรูขุมขน จึงช่วยให้ทีมงานมีเวลาไปโฟกัสกับระบบเกมเพลย์และจัดหนักเอฟเฟกต์ได้เต็มที่ ไม่ต้องเหนื่อยเรนเดอร์เน้นพื้นผิวเท็กซ์เจอร์ให้เปลืองแรง ซึ่งนั่นส่งผลดีทำให้เกมแอ็คชั่นอาร์พีจีดิบดาร์คภาคล่าสุดนี้ มันไม่กินสเปคเครื่องพีซีของเรามากนัก ต่อให้ใครจะยังคงทู่ซี้ทนใช้การ์ดจอ Nvidia รุ่นเก่าๆอย่างตระกูล GTX อยู่ ก็สามารถรันเกมเปิดสุดปรับภาพกราฟิกระดับ Ultra เล่นได้ลื่นๆแบบสบายหายห่วงไม่ต้องกังวลใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่เราอยากขอเตือน สำหรับใครที่คิดอยากสอยตัวเกมเวอร์ชันพีซีมาเล่น ก่อนซื้อควรตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อนว่า ที่บ้านคุณมีจอย Controller พร้อมเสียบต่อเล่นกับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วหรือยัง? จะได้ไม่ต้องมานั่งหัวเสียกับระบบการบังคับควบคุมผ่านเมาส์-คีย์บอร์ดของเกมในภายหลัง ที่ให้เราใช้ปุ่ม W A S D ในการพาตัวละครเดินสำรวจฉากเอียงๆรอบทิศทาง 360 องศา ซึ่งเป็นเรื่องยากลำบากมากในยามที่ต้องหลบหลีกการโจมตีของบอส หรือฉากที่มีแพลตฟอร์มเยอะๆที่ต้องอาศัยการควบคุมที่แม่นยำ รวมถึงการแม็พปุ่มแอ็คชั่นอะไรต่างๆเองก็ค่อนข้างสิ้นเปลืองใช้แทบทุกปุ่มกดบนตัวคีย์บอร์ด ฉะนั้นแล้วหากใครคาดหวังว่าจะได้นั่งคลิกเมาส์จิ้มสั่งโจมตีง่ายๆสบายๆแบบเกมดังของค่ายบลิซซาร์ดแล้วละก็ คุณกำลังคิดผิดถนัด!
แน่นอนว่า หัวใจหลักของเกมนี้อยู่ที่การเล่น Co-op ช่วยเหลือกันสองคน คนหนึ่งสวมบท War ในขณะที่อีกคนรับบทเป็น Strife ซึ่งตัวเกมถือว่าทำออกมาได้ดีสนับสนุนซัพพอร์ตรองรับการเล่นทั้งแบบ Online ไม่เห็นหน้า และแบบนั่งตัวติดกัน Local Split Screen โดยวิธีอย่างหลังนั้น หน้าจอของเราจะถูกแบ่งหารครึ่งแยกซ้าย-ขวาของใครของมัน เพื่อกันปัญหาทะเลาะเบาะแว้งจากการแย่งจุดโฟกัสดึงจอกันไปมา แม้ว่ายามตัวละครทั้งสองเดินมาแนบสนิทชิดใกล้ก็ยังต้องมองผ่านคนละจอ ด้วยมุมมองที่ดูบีบแคบและค่อนข้างจำกัดนี้เอง อาจทำให้หลายคนที่เคยผ่านเกม Co-op มาโชกโชนรู้สึกอึดอัดขัดใจได้ง่ายๆ จึงแอบเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะหากทีมงานเลือกใช้มุมกล้องแบบไดนามิค แยกจอเวลาห่างกัน แล้วค่อยมาผสานรวมกันเวลาอยู่ใกล้ ผลลัพธ์ที่ออกมามันอาจจะดูเวิร์คกว่านี้ก็เป็นได้
"หากพูดถึงเกมภาคแยก คงมีไม่บ่อยครั้งนักที่มันจะทำออกมาได้ดีเกินหน้าเกินตาไปกว่าภาคหลักต้นฉบับ เพราะเท่าที่เห็นก็มีแต่ดร็อปลง หรือไม่ก็ประคองตัวเทียบเท่ากับของเดิม แต่สำหรับ Darksiders Genesis แล้วอาจต้องยกให้เป็นข้อยกเว้น จากการที่มันสามารถยกระดับแฟรนไชส์ให้สูงขึ้นโดยที่ยังคงรักษาตัวตนเอาไว้ อีกทั้งปัญหาแต่ละเรื่องที่เราหยิบยกมาพูดถึงนั้น ก็ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ตัวคุณเองสามารถหลบเลี่ยงมันได้แทบทั้งสิ้น"
เกมการเล่น | 9 (เหลือ 6 ทันทีหากใช้เมาส์-คีย์บอร์ด) |
กราฟิก | 9 |
เสียง | 9 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 9 |
ภาพรวม | 9 |
ข้อดี : เสน่ห์ซีรีส์ต้นฉบับอยู่ครบครัน, แอ็คชั่นดุดันมันสะใจ, ราคาน่าสอย, กินสเปคน้อยการ์ดจอเก่าๆปรับสุดได้, ใส่เสียงพากย์ทุกประโยคข้อความ และยิ่งสนุกเมื่อเล่นกับเพื่อนฝูง
ข้อเสีย : ปุ่มเมาส์-คีย์บอร์ดดีไซน์มาได้นรกมาก, ตามฉากยังมีบัคให้ตัวเราเผลอเข้าไปติดอยู่บ้าง และโหมด Co-op แบ่งครึ่งจอที่ดูไม่ค่อยสบายตาสักเท่าไหร่
Shin
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท Ripples
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*