บอสใหญ่นินเทนโดอเมริกา ออกโรงอธิบายสาเหตุถึงเรื่องที่บริษัท ปฏิเสธไม่ขอร่วมแจมเทคโนโลยี VR ที่กำลังอยู่ในกระแส โดยให้เหตุผลมองว่ามันเป็นเพียงแค่การโชว์เทคนิคใหม่ๆเท่านั้น มิได้ทำให้การเล่นเกมสนุกขึ้น
ในมหกรรมงานเกม E3 2015 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ดูเหมือนบรรดาค่ายเกมยักษ์ใหญ่ต่างพยายามแข่งขันกันในเรื่องของเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง (Virtual Reality หรือที่เรียกสั้นๆว่า VR) ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์สวมหัว Project Morpheus ของทางโซนี่ หรือจะเป็นแว่น Hololens ของฝั่งไมโครซอฟต์ แต่ทว่ากลับมีแกะดำหลงฝูงอยู่ตัวหนึ่งที่ยังคงยืนหยัดในทิศทางเดิมของตน ไม่ยอมโอนอ่อนตามกระแสโลกอย่างบริษัท "นินเทนโด" ที่ไม่ได้มีการนำเกมที่เกี่ยวข้องกับ VR มาโชว์เลยแม้แต่น้อย
ซึ่งจากการไม่มีส่วนร่วมในศึกสงคราม VR จนแฟนๆเริ่มรู้สึกเอะใจ ส่งผลให้ทาง "เรจจี้ ฟิลส์ ไอเม" (Reggie Fils-Aime) ซีโอโอและประธานบริษัทนินเทนโดอเมริกา ต้องออกมาให้สัมภาษณ์อธิบายไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยหัวเรือใหญ่นินเทนโดในวัย 54 ปีได้ให้เหตุผลที่น่าสนใจว่า VR มันเป็นเพียงแค่เทคโนโลยี ไม่ได้มีความเป็นโซเชียลหรือน่าสนุกแต่อย่างใด
"เรารับรู้ถึงเทคนิคใหม่ในการเล่นเกม และเราก็เคยทดลองกับมันมาเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนาน ซึ่งเราเชื่อว่าหากต้องการผลักดันให้เทคโนโลยีนี้ก้าวไกลไปข้างหน้า จำเป็นต้องทำมันออกมาให้สนุก และต้องทำมันให้เป็นโซเชียล ผมไม่ได้เดินทางไปร่วมงาน E3 ดังนั้นตัวผมจึงพูดไม่ได้ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น แต่หากมองจากสิ่งที่ผมเห็นอยู่ ณ ปัจจุบัน ผมว่ามันไม่สนุก ไม่โซเชียล เพราะมันเป็นเพียงเทคโนโลยี" ไอเม กล่าว
จากถ้อยคำดังกล่าวอาจฟังดูขัดกับภาพลักษณ์ของบริษัทนินเทนโด ที่ในอดีตมักเป็นเจ้าแรกที่นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆสู่วงการเกมเสมอมา ไล่ตั้งแต่สมัยคอนโซลนินเทนโด 64 ที่ทำให้เกิดการใช้ก้านอนาล็อกบนจอยสติ๊กกันอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา หรือว่าจะเป็นยุค Wii ที่นำเสนอการเล่นแบบตรวจจับการเคลื่อนไหวจนค่ายอื่นๆต้องหันมาเหลียวมอง อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ทำให้นินเทนโดปฏิเสธเทคโนโลยี VR อาจมาจากความล้มเหลวของเครื่องเล่น Virtual Boy เมื่อ 20 ปีก่อนที่เปรียบเสมือนปมด้อยในใจจนไม่อยากพลาดซ้ำรอยเดิม
ข้อมูลและภาพประกอบจาก
ign
polygon
vrfocus
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*