กลายเป็นเทรนด์ล่าสุดของวงการไอทีไปแล้ว กับอุปกรณ์แว่นจอภาพสวมหัวหรือที่เรียกกันว่า VR (Virtual Reality) ซึ่งมีคุณสมบัติพาผู้ใช้เข้าสู่โลกเสมือนจริงอย่างที่โทรทัศน์ไม่เคยทำได้มาก่อน ในวันนี้ทางทีมงานผู้จัดการเกมจึงขอหยิบยกเอารุ่นที่อยู่ในกระแสมาแนะนำกันแบบคร่าวๆ ว่าแต่ละรายมีอะไรน่าสนใจเป็นจุดขายบ้าง
Oculus Rift
ถือได้ว่ามาจุดพลุเป็นเจ้าแรก โดยเริ่มโด่งดังมาจากโครงการเปิดหมวกระดมทุนผ่านเว็บไซต์ KickStarter ที่ประสบความสำเร็จได้รับเงินไปอย่างท่วมท้น ก่อนจะถูกหวยซ้ำอีกรอบเมื่อไปเตะตาเฟซบุ๊กจนเข้ามาทุ่มเงินซื้อกิจการตั้งแต่ยังไม่ขายจริงด้วยซ้ำ
การที่มีเจ้าพ่อโซเชียลเน็ตเวิร์คอยู่เบื้องหลังก็ทำให้แว่นจอภาพรายนี้เหมือนกดสูตรเงิน (เกือบ) ไม่จำกัดพร้อมด้วยช่องทางเข้าถึงตลาดเปิดกว้างกว่าคู่แข่งทั้งหมด ส่วนด้านประสิทธิภาพก็ยังคงอยู่ในขั้นทดสอบมีการเปลี่ยนแปลงสเปคภาพอัพเกรดขึ้นเรื่อยๆ นับจากตอนเปิดตัว และไม่แน่ว่าอาจจะมีทีเด็ดอะไรเพิ่มมาอีกในตอนวางจำหน่ายซึ่งคาดว่าจะเป็นปีนี้
ในอีกมุมหนึ่ง การมีเฟซบุ๊กเข้ามาเกี่ยวข้องก็เริ่มสร้างความกังวลให้กับผู้ติดตามอยู่พอสมควร โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าจะเน้นเป็นอุปกรณ์จัดเต็มเพื่อการเล่นเกมฮาร์ดคอร์อย่างที่โฆษณาไว้ตอนแรกหรือจะโดนเปลี่ยนแนวเน้นขายคนหมู่มากจนกลายเป็นแว่นส่องโซเชียลไปซะอย่างนั้น
Sony Project Morpheus
เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2014 และยังคงอยู่ระหว่างการปรับปรุงพัฒนาเตรียมแผนวางจำหน่ายคร่าวๆ ในปี 2016 สร้างมาเพื่อใช้งานร่วมกับคอนโซลเพลย์สเตชัน 4 โดยรองรับทั้งจอยดูอัลช็อคและจอยจับการเคลื่อนไหวเพลย์สเตชันมูฟ ถือว่ามีความพร้อมสูงสำหรับการเจาะตลาดคอเกม
จุดเด่นน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของแว่นนี้คือบรรดาซอฟท์แวร์ที่มีรออยู่อย่างชัดเจน ทั้งเกมทุนสูงปกตินำมาดัดแปลงเพิ่มลูกเล่นให้ใช้กันได้และเกมสร้างมาเพื่อแว่นโดยตรง ซึ่งยอดขายเพลย์สเตชัน 4 ที่มาแรงเป็นเจ้าตลาดอยู่ในปัจจุบันก็ยิ่งช่วยส่งเสริมกระแสระยะยาวได้อีก
อย่างไรก็ตาม การกำหนดแนวทางของแว่นนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเพลย์สเตชันอาจจะจำกัดกลุ่มลูกค้าวงแคบลงไปสำหรับคนไม่สนใจคอนโซลเกมแต่แรก รวมถึงประสิทธิภาพเครื่องก็ยังถือว่าเป็นรองบรรดาพีซีตั้งโต๊ะที่จัดหนักได้แทบไม่จำกัด
Samsung Gear VR
โครงการจับมือกันระหว่างซัมซุงผู้ครองตลาดสมาร์ตโฟนรายใหญ่และ Oculus Rift ที่เข้ามามีส่วนร่วมด้วย เป็นโครงแว่นที่มีกลไกระดับหนึ่งให้เอาโทรศัพท์มาประกอบทำเป็นจอภาพพร้อมตัวประมวลผลแบบเสร็จสรรพ ซึ่งแม้จะฟังดูเหมือนไอเดียทื่อๆ แต่งานนี้กลับใช้ได้จริงและออกมาไม่เลวทีเดียว
ปัจจุบัน แว่น Gear VR ได้มีการทำออกมาขายจริงแล้วโดยจะรองรับเฉพาะโทรศัพท์ของซัมซุงตามรุ่นเท่านั้น มีจุดเด่นที่การทำงานแบบเอกเทศไม่ต้องใช้เครื่องอื่นมาส่งสัญญานภาพให้อีกทอด สามารถพกไปส่องได้ทุกสถานที่ เป็นเหมือนอุปกรณ์เสริมค่าตัวไม่แพงเมื่อเทียบกับแนวโน้มราคาของแว่นยี่ห้ออื่น
แม้จะให้ความสะดวกเข้าถึงง่าย แต่ถ้าจะมองตลาดของผู้หลงใหลเทคโนโลยีแล้ว การถูกจำกัดอยู่กับประสิทธิภาพของโทรศัพท์เพียงไม่กี่รุ่นอาจจะยังไม่สนองความต้องการได้เพียงพอ หากนำไปเปรียบกับแว่น VR ของจริงรายอื่นที่ใช้เครื่องภายนอกแรงๆ เป็นตัวช่วยและมีลูกเล่นเฉพาะทางมากกว่า
HTC Vive
รายล่าสุดที่ออกตัวแรงกว่าเพื่อน เป็นการจับมือกันระหว่างผู้ผลิตโทรศัพท์ HTC และค่ายวาล์วผู้ครองตลาดเกมบนพีซี เปิดตัวเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาโดยถือเป็นโปรเจคต์ใหญ่ "สตีม VR" ที่เคยมีตัวต้นแบบทดสอบกันมาบ้างแล้ว จนเพิ่งจะมาเลือกหุ้นส่วนเตรียมทำขายจริงในช่วงปลายปี 2015 นี้
จุดเด่นที่สุดของแว่น Vive คือคุณสมบัติจับทิศทางการเคลื่อนไหวลงไปในเกม โดยเฉพาะระบบเลเซอร์วัดระยะและอุปกรณ์เสริม "ไลท์เฮาส์" ที่ให้ผู้ใช้เดินไปมาแบบเสมือนจริงได้ภายในห้อง เหนือล้ำกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ที่เน้นแค่ลุกนั่งเล่นอยู่กับที่เท่านั้น
จากประสิทธิภาพที่ได้เปรียบ สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วงคือเส้นสายแนวทางทำตลาดในวงกว้าง ทั้ง HTC ที่ดูจะเป็นมวยรองจากตลาดสมาร์ตโฟนและค่ายวาล์วที่ไม่เด่นในเรื่องฮาร์ดแวร์แต่แรก เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่สามารถผลักดันสินค้าตัวเองได้คล่องกว่าในระดับโลก
***************
แม้จะเป็นกระแสที่มาแรง แต่การไล่ตามของเล่นไฮเทคซื้อตั้งแต่ชุดแรกที่วางตลาดก็มักจะมีความเสี่ยงตามมาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กใหญ่ที่อาจต้องรอปรับปรุงในรุ่นถัดไป หรือการแข่งขันที่ใช้มาตรฐานแนวทางต่างกัน จนเหมือนวัดดวงไม่รู้ว่าจะได้รุ่นฮิตติดตลาดมีอะไรให้เล่นเพียบ หรือได้รุ่นแถมแพยกธงขาวไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับแว่น VR เหล่านี้แล้ว ปัญหาใหญ่อีกข้อหนึ่งที่ไร้ทางเลี่ยง คือคำถามว่าสังคมจะยอมรับได้หรือไม่กับการให้กำเนิดมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ปิดหูปิดตาจากโลกภายนอก ซึ่งดูแนวโน้มจะอาการหนักยิ่งกว่ามนุษย์ก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันเสียอีก
