xs
xsm
sm
md
lg

ซัมซุงสร้างนิยามใหม่สมาร์ทโฟนโค้งมน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

เจ เค ชิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและไอทีของซัมซุง
ซัมซุงปล่อยหมัดเด็ด กาแล็กซี่ S6 และ กาแล็กซี่ S6 edge ลงตลาดปฏิวัติวงการสมาร์ทโฟนด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นโค้งมน สร้างพรีเมียมเซกเมนต์ใหม่ในตลาด สกัดคู่แข่งอย่างไอโฟน ด้วยกล้องคุณภาพขั้นเทพ ชวนคู่แข่งเล่นในตลาดมากกว่าแค่เล่นบนเวทีแถลงข่าว มั่นใจคงความเป็นเบอร์หนึ่งในไทย และทวงแชมป์ในตลาดจีนจากเสี่ยวมี่ ได้ไม่ยาก ประกาศวางขายทั่วโลก 10 เมษายนนี้

ซัมซุง พลิกโฉมวงการสมาร์ทโฟนอีกครั้งในงาน Samsung Galaxy Unpacked 2015 ซึ่งจัดขึ้นที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน ด้วยการเปิดตัวซัมซุง Galaxy S6 และGalaxy S6 edge สร้างปรากฏการณ์ใหม่วงการสมาร์ทโฟน ฉีกข้อจำกัดรูปทรงเหลี่ยมมาเป็นความโค้งมน

เจ เค ชิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและไอทีของซัมซุง กล่าวว่า ด้วยการผสมผสานวัสดุชั้นเลิศเข้ากับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีของซัมซุง ทำให้ซัมซุง กำลังนำเสนอสิ่งที่วงการโทรศัพท์มือถือต้องเดินตามต่อไปในอนาคต เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้เกิดขึ้นในวงการ ซึ่งเป็นความลงตัวของความงาม และประโยชน์ใช้สอย

ซัมซุง กาแล็กซี่ S6 และกาแล็กซี่ S6 edge ได้รับการออกแบบมาโดยคำนึงเรื่องประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก ใช้โลหะและกระจกเป็นวัสดุในการผลิต ออกแบบมาให้ถือง่าย จับได้ถนัดมือ และมีขอบจอโค้งทั้ง 2 ด้าน ตัวเครื่องทำจากกระจกชนิดที่แข็งแรงที่สุดในโลก “Corning Gorilla Glass 4”



วิชัย พรพระตั้ง รองประธานองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า ซัมซุงกำลังพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า กำลังนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่มีมาสู่ผู้บริโภค มาเป็น กาแล็กซี่ S6 edge ที่เป็นจอโค้งซึ่งไม่มีใครทำได้มาก่อน ซึ่งความโค้งมนจะตอบโจทย์ในเรื่องดีไซน์ที่สวยงาม จับได้กระชับมือ ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นคือ ความแตกต่างของแสงที่ออกมาจากกระจกที่แตกต่างกันออกไปเมื่อมีสายเรียกเข้า เช่น เจ้านายโทร.เข้าหน้าจอจะเป็นสีแดง หรือกลุ่มเพื่อนเป็นสีเหลือง ตามการตั้งค่าไว้ ตอบโจทย์ผู้ที่ไม่ต้องการให้เสียงโทรศัพท์รบกวน แต่จะแสดงเป็นแสงสีต่างๆ แทนความสำคัญของคนที่โทร.เข้ามา เพื่อให้ไม่ต้องรับทุกสายที่โทร.เข้า นับเป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะเข้ามาตอบโจทย์การใช้งานในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ซัมซุง กำลังทลายข้อจำกัดของการดีไซน์ จากกรอบสี่เหลี่ยมของโทรศัพท์มือถือมาเป็นดีไซน์ที่สวยงาม ด้วยความแข็งแรงของ Gorilla Glass 4 เป็นที่มาของการพัฒนาที่ตัวเครื่อง ในขณะที่ซอฟต์แวร์นั้น ซัมซุงมองว่าทำอย่างไรให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น เห็นตัวหนังสือ ตัวเลขชัด สีสบายตา อย่าง สีเขียว โดยใช้สี และความเรียบง่ายเพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบาขึ้น ใช้ชิปเซต 14 นาโน ที่ทำให้เครื่องวิ่งได้เร็วขึ้น ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกแบรนด์จะทำได้หมด แต่ซัมซุงมีการผลิตชิปเซตพวกนี้อยู่แล้ว

ในส่วนของกล้องก็จะตอบสนองการใช้งานได้ทุกรูปแบบ ทุกเวลา ไม่ว่ากลางวัน หรือกลางคืนโดยเฉพาะในสถานที่มีแสงน้อย



“DNA ของซัมซุงคือ เราไม่ได้อยู่ในธุรกิจเพื่อต้องการสร้างนวัตกรรมเท่านั้น แต่เราต้องการทำให้นวัตกรรมเดินไปข้างหน้าเพื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตเป็นจริงให้ได้ ตามคอนเซ็ปต์ NEXT IS NOW ทำให้เป็นจริงได้ เกิดขึ้นได้”

ที่ผ่านมา ในตลาดสมาร์ทโฟนดูเหมือนว่าซัมซุงจะถูกกระแทกจากทั้ง 2 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์จีนที่โตวันโตคืน และขยายตลาดได้ดี โดยเฉพาะในตลาดใหญ่อย่างจีน อีกทั้งกระดูกชิ้นโตอย่างไอโฟน การเปิดตัวของซัมซุง กาแล็กซี่ S6 และกาแล็กซี่ S6 edge ถือเป็นหมัดเด็ดที่จะทำให้ซัมซุง กลับมาสร้างความหวือหวาในตลาดได้อีกครั้ง

ในความเห็นของผู้บริหารซัมซุง มองว่า ที่ผ่านมาซัมซุงก็ยังเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดอยู่ดี เกือบทุกโปรดักต์ผ่านร้อนผ่านหนาวในสงครามมามาก มีความท้าทายจากคู่แข่งอย่างหนักหน่วง แต่ซัมซุงก็รู้ดีว่าสเต็ปต่อไปจะเดินไปอย่างไร จะเหนือกว่าคู่แข่งด้านไหน

“ที่ผ่านมา S5 ของซัมซุงอาจไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่เราก็เต็มที่สำหรับโปรดักต์ทุกตัวที่เราทำตลาด ทุกวันนี้ซัมซุง ก็ยังเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดเมืองไทย ทั้งในแง่แวลลู และวอลุ่ม กระแสของคู่แข่งว่าขายดีขึ้น แต่แน่นอนซัมซุงยังไม่เสียแชมป์เบอร์หนึ่ง”

วิชัย กล่าวว่า S6 จะเป็นพาราดามของการสร้างพรีเมียมเซกเมนต์ให้เกิดการพัฒนาขึ้นอีกขั้นในแง่ตัวเครื่อง ในส่วนของการชาร์จไร้สายก็เช่นกัน แม้จะมีมานานแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่ซัมซุงมองคือทำอย่างไรให้เกิดการแพร่หลายมากขึ้น ใช้ได้ดียิ่งขึ้น อีกหน่อยจะเห็นไวร์เลสชาร์จเจอร์ตามร้านอาหารวางไว้ เหมือนอเมริกาที่ใช้กันแล้ว ด้วยเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายที่ได้รับการรับรองจากกลุ่มมาตรฐานระบบการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายทั้ง WPC และ PMA ทำให้ ซัมซุง กาแล็กซี่ S6และ S6 edge ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย เพราะสามารถใช้งานร่วมกับแท่นชาร์จไร้สายทุกประเภทในตลาดที่ใช้ระบบของ WPC และ PMA ได้

ยิ่งไปกว่านั้น หากนำ กาแล็กซี่ S6และ S6 edge ไปเสียบสายชาร์จตามปกติ แบตเตอรี่จะเต็มเร็วกว่ากาแล็กซี่ S5 ถึง 1.5 เท่า หรือสามารถชาร์จแบตเตอรี่เพียง 10 นาที สำหรับใช้งานได้นานถึงราว 4 ชั่วโมงเต็ม

“เมื่อกาแล็กซี่ S6 และ S6 edge ลงตลาดเชื่อว่าการแข่งขันจะสนุกขึ้นแน่นอน ตลาดมือถือในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้จะเห็นได้ชัดว่า ซัมซุงจริงจังต่อตลาดมากแค่ไหน ซัมซุงทำให้เกมการตลาดแรงขึ้นเรื่อยๆ”

ทางด้านการตลาด กาแล็กซี่ S6 และ S6 edge จะเหมาะต่อกลุ่มลูกค้าพรีเมียมเซกเมนต์ เจเนอเรชันวาย คือ กลุ่มคนที่ต้องการความเป็นเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ซึ่งคนพวกนี้เข้าใจเทคโนโลยีดี และใช้เทคโนโลยีอย่างมาก S 6 จะตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ได้อย่างชัดเจน โดยจะมีการปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงตัวสินค้าได้มากขึ้น ประเด็นของการทำตลาดคือ ทำอย่างไรให้ลูกค้าเข้าใจ S6 และ S6 edge ได้มากที่สุด และใช้ประโยชน์ได้มากสุด โดยซัมซุงจะทุ่มให้แก่การเทรนนิ่งเพื่อให้คนใช้เข้าใจ S6 และ S6 edge อย่างลึกซึ้ง

ทั้งนี้ ซัมซุง กาแล็กซี่ S6 และ S6 edge จะเริ่มวางจำหน่ายทั่วโลกตั้งแต่วันที่ 10เ มษายน 2558 เป็นต้นไป มีความจุให้เลือกแบบ 32, 64 และ 128GB มีสีให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีขาวมุก สีดำแซฟไฟร์ สีทองแพลทินัม สีน้ำเงินโทปาซ (มีเฉพาะรุ่น S6) และสีเขียวมรกต (มีเฉพาะรุ่น S6 edge) โดยในประเทศไทยก็จะวางตลาดทุกรุ่นประมาณวันที่ 20 เมษายน โดยราคาคาดว่าจะไม่แพงกว่า าแล็กซี่ S5 ซัมซุงคาดว่าจะมีการสั่งของเข้ามาทุกสัปดาห์ ไม่มีปัญหาของขาดตลาดให้ต้องคอยนาน พร้อมหวังว่า S6 และ S6 edge จะกลับมากู้หน้าให้ซัมซุงที่ต้องเสียแชมป์ไปในตลาดใหญ่อย่างจีน ให้กลับมาเป็นเบอร์หนึ่งเหมือนเดิมให้ได้



*** จับตารุ่นใหม่เปิดตัวใน MWC 2015

นอกจาก ซัมซุง ที่ยึดพื้นที่สื่อในการเปิดตัว Samsung Galaxy S6 และ S6 edge ที่หวังว่าจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะมาเปลี่ยนแนวคิดถึงตัวโปรดักต์ของซัมซุงในอนาคตแล้ว ก็จะมีแบรนด์สมาร์ทโฟนรายอื่นอีกไม่น้อยที่ใช้พื้นที่ภายในงานมหกรรมแสดงสินค้าเกี่ยวกับอุปกรณ์พกพาและโทรคมนาคมระดับโลก หรือ Mobile World Congress 2015 ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดด้วย

เริ่มกันที่ เอชทีซี ที่ใช้ช่วงเวลานี้ในการเปิดตัวแฟลกชิปรุ่นล่าสุดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 ด้วย HTC One M9 ที่ยังคงคอนเซ็ปต์การออกแบบคล้ายคลึงกับรุ่นเดิม เพียงแต่ว่ามีการปรับปรุงในส่วนของกล้องหลักให้กลายเป็น 20 ล้านพิกเซล เพื่อความคมชัดที่มากขึ้น ในขณะที่กล้องหน้าก็นำความสามารถในการถ่ายภาพในที่แสงน้อยจากเทคโนโลยี UltraPixel มาใช้แทน

ส่วนภายในของ HTC One M9 ก็ได้มีการอัปเกรดขึ้นมาตามสมัยนิยมคือ เป็นหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง Qualcomm Snapdragon 810 ที่ใช้การประมวลผลแบบ 64 บิต อัด RAM มาให้ 3GB พร้อมหน่วยความจำภายในตัวเครื่อง 32GB และยังสามารถใส่เพิ่มเติมได้อีก 128GB ถือว่าเป็นอีกสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ที่น่าสนใจ



นอกจากตัวสมาร์ทโฟนแล้ว เอชทีซี ยังได้มีการจับมือกับค่ายเกมอย่าง Value ออกแว่นตาเสมือน HTC Vive มาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ โดยตัว Vive จะมาพร้อมกับจอละเอียด Full HD รองรับเฟรมเรตสูงถึง 90 fps มุมมอง 360 องศา ทำให้ช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกม และยังมี HTC Grip ที่เป็นสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพที่ร่วมมือกับ Under Armour ด้วย

ไมโครซอฟท์ เองก็ไม่น้อยหน้าในการปูพื้นเพื่อเตรียมทำตลาดวินโดวส์ 10 ในอนาคต ด้วยการเสริมไลน์ผลิตภัณฑ์ Lumia 640 และ Lumia 640 XL มาจับกลุ่มตลาดระดับกลาง ที่ปัจจุบันยังเป็นวินโดวส์โฟน 8.1 อยู่ แต่รองรับการอัปเกรดเป็น 10 ในอนาคต พร้อมกับการเปิดตัว คีย์บอร์ดพับได้สารพัดประโยชน์ (Universal Foldable Keyboadrd) ที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์พกพาต่างๆได้ทันที

ส่วนทางโซนี่ แม้ว่าในปีนี้จะไม่ได้ใช้เวทีในการเปิดตัวแฟลกชิปสมาร์ทโฟน แต่ก็มีการอัปเดตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของแท็บเล็ตด้วย Xperia Z4 Tablet ซึ่งเป็นแท็บเล็ตขนาด 10.1 นิ้ว ความละเอียด 2K ชูจุดเด่นเดิมอย่างการกันน้ำ ความบาง และน้ำหนักเบา เพื่อช่วยให้การใช้งานได้ดีที่สุด พร้อมไปกับการเปิดตัวสมาร์ทโฟน Xperia M4 ที่จับดีไซน์ของรุ่นไฮเอนด์มาปรับลดสเปก และจำหน่ายในราคาระดับกลางแทน

เลอโนโว ถือเป็นอีกแบรนด์ที่ให้ความสนใจในตลาดแท็บเล็ตแอนดรอยด์ ด้วยการเปิดตัวแท็บเล็ต A ซีรีส์ ออกมาด้วยกัน 2 รุ่น คือ Tab A10-70 ขนาดหน้าจอ 10.1 นิ้ว และ Tab A8 ขนาดหน้าจอ 8 นิ้ว ชูความโดดเด่นที่ระบบพลังเสียง Dolby's 'cinematic and lifelike' Atmos รวมกับการเปิดตัวแท็บเล็ตวินโดวส์ 8.1 Ideapad Miix 300 ที่ใช้หน่วยประมวลผลอินเทล อะตอม ขนาดหน้าจอ 8 นิ้ว มาเสริมไลน์สินค้าด้วย

แบรนด์ผู้ผลิตสินค้าไอทีอย่างเอเซอร์ ก็มีการอัปเดตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มตลาดสมาร์ทโฟน ด้วยการเปิดตัวแอนดรอยด์โฟน Luquid Z220 Z250 และ Jade Z โดย 2 รุ่นแรกจะเป็นกลุ่มตลาดระดับล่าง ขนาดหน้าจอ 5 นิ้ว ส่วนอีกหนึ่งรุ่นจะเป็นตัวแฟลกชิป ขนาดหน้าจอ 5 นิ้วเช่นเดียวกัน แต่เครื่องรองรับ 4G

นอกจากนี้ เอเซอร์ยังเข้าไปร่วมวงในสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการวินโดวส์โฟนด้วยการส่ง Liquid M220 เข้ามาในตลาดด้วยขนาดหน้าจอ 4 นิ้ว ความละเอียด 480p ใช้ซีพียูดูอัลคอร์ 1.2 GHz RAM 512 MB มาจับตลาดล่างด้วยเช่นเดียวกัน กับราคาเปิดตัวที่ 79 ยูโร หรือเกือบๆ 3,000 บาท

ทั้งนี้ ภายในงานก็จะมีการเปิดตัวอุปกรณ์อื่นๆ ที่น่าสนใจ อย่าง แอคชันคาเมรา จาก Xiaomi YiCamera ที่เปิดตัวออกมาในระดับราคาประมาณ 2,000 บาท โดยตัวกล้องใช้เซ็นเซอร์ Sony Exmor R ที่สำคัญยังกันน้ำด้วย เพื่อออกมาแข่งกับเจ้าตลาดอย่าง GoPro

Company Related Link :
ซัมซุง

Instagram








กำลังโหลดความคิดเห็น