อีเอ และ แอคติวิชั่น สองมหาอำนาจเกมชูตติ้งในยุคปัจจุบัน เปิดศึกทำสงครามน้ำลายใส่กัน ก่อนที่ตัวเกมภาคล่าสุดของทั้งสองบริษัทจะออกวางจำหน่ายในปลายปี 2011
เมื่องาน E3 2011 ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา "Bobby Kotick" ซีอีโอของทาง แอคติวิชั่น ได้ขึ้นมาให้แถลงการณ์หลังจากเห็นทาง อิเล็กทรอนิกส์ อาร์ต หรือ อีเอ นำเกมชูตติ้งชื่อดังภาคล่าสุดอย่าง "Battlefield 3" มาโชว์ศักยภาพบนเครื่องพีซี โดยโคติค กล่าวว่า"ถึงตอนนี้ ผมเห็นเกม Battlefield 3 แค่บนเครื่องพีซีเท่านั้น ผมยังไม่เห็นมันบนเครื่องคอนโซลเลย วงการธุรกิจการค้าขนาดใหญ่ของเราอยู่ที่ไหนกัน ถ้ามันเป็นแค่เกมบนพีซีอย่างที่เห็นในวันนี้ ผมคิดว่ามันจะมีผู้ชมเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะเข้าไปดู"
หลังจากนั้นในงานเดียวกัน "John Riccitiello" ซีอีโอของทาง อีเอ ก็ได้ออกมาแถลงการณ์ตอบกลับ แอคติวิชั่น ว่าเกมชูตติ้งภาคล่าสุดของตน จะขายได้มากกว่าเกมคู่แข่งอย่าง "Modern Warfare 3" โดยจอห์น กล่าวว่า "ผมคิดว่าเกมของเรานั้นมีความสมจริงมากกว่า และมีอะไรอีกมากมายที่ดีกว่า อย่างเช่น แสงเงา, ระบบฟิสิกส์, อนิเมชั่นการเคลื่อนไหว, เอฟเฟคอนุภาค รวมไปถึงยานพาหนะ ผมคิดว่ามันมีหลายสิ่งมากมายที่ทำให้ผู้เล่นชอบเกมของเรา และผมคิดว่ามันจะกลายเป็นศึกที่ยิ่งใหญ่ ประเด็นคือเรามีเกมที่ดีกว่า คำถามก็คือ ถ้าหากกลุ่มเกมเมอร์ซื้อเกมของเรา และผู้ชมจำนวนมากซื้อเกมของพวกเขา อะไรจะเกิดขึ้น ผมจะบอกให้ว่า เราจะทำให้พวกเขาเน่าไปถึงแกน"
ต่อมาในงานเกมส์คอม 2011 ที่เพิ่งจบไปเมื่อสัปดาห์ก่อน "Eric Hirshberg" ของทางฝั่ง แอคติวิชั่น ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นที่ทาง อีเอ คิดจะโค่นล้มซีรีย์เกมคอลออฟดิวตี้ของตน ในทำนองที่ว่า ในธุรกิจ การแข่งขันกันถือเป็นเรื่องที่ดี แต่การหวังที่จะให้เกมของคู่แข่งล้มเหลวนั้น ถือเป็นการล้ำเส้น โดยอีริค กล่าวว่า "เมื่อไม่นานมานี้ คู่แข่งของเราได้กล่าวอ้างว่า พวกเขาอยากจะเห็นเกมซีรีย์คอลออฟดิวตี้เน่าไปถึงแกน และผมก็ถูกขอให้ตอบกลับความเห็นเหล่านี้มาหลายครั้งนับไม่ถ้วน แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น งานของผมคือการให้ความช่วยเหลือแก่เหล่าทีมงานที่มีศักยภาพ และความกระตือรือร้น ในการสร้างเกมออกมาให้ที่ดีที่สุด ไม่ใช่การดูถูกคู่แข่ง แต่อย่างไรก็ตาม ผมมีความรู้สึกว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่แย่ต่ออุตสาหกรรมของเรา"
และในงานเกมส์คอมเดียวกันนั้น "Peter Moore" ซีโอโอคนปัจจุบันของ อีเอ ก็ได้ออกมาให้ความเห็นถึงเรื่องที่ อีเอ บอกว่า "Battlefield 3" จะขายได้มากกว่า "Modern Warfare 3" นั้นเป็นเพียงการแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเท่านั้น โดยมัวร์ กล่าวว่า "มันไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าใครจะเป็นที่สอง นี่เป็นเพียงการแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดเท่านั้น มันเกี่ยวกับกลยุทธ์ในระยะยาว ที่พวกเราต้องการจะสื่อว่าเกมแนวชูตติ้งกลายมาเป็นแรงขับดันที่สำคัญ และทำเงินได้หลายพันล้านเหรียญให้กับอุตสาหกรรมเกม"
มัวร์ กล่าวเสริมอีกว่า "ถ้าคุณดูจากส่วนแบ่งทางการตลาดเมื่อปี 2010 คุณอาจจะเถียงได้ว่าเกมซีรีย์คอลออฟดิวตี้นั้น ครองไปเกือบ 90% แต่เราคิดว่าในปีนี้เราสามารถลดตัวเลขดังกล่าวให้ลงมาอยู่ที่ 70% เราไม่จำเป็นต้องทำยอดขายให้ได้มากกว่าซีรีย์คอลออฟดิวตี้ ถึงจะประสบความสำเร็จ นี่เป็นเพียงกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำ ถึงตอนนี้เราจะยังไม่ได้เป็นผู้ครองอุตสาหกรรมเกม แต่มันจะเริ่มนับจากปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งเราก็มีตัวอย่างให้ได้เห็นกันมาแล้ว ในกรณีเกมซีรีย์ฟุตบอล FIFA ของเรากับซีรีย์ Pro Evolution Soccer ในช่วง 3 - 4 ปีที่ผ่านมาที่เราได้ทำการแข่งขันกัน หลังจากที่ PES เป็นผู้ครองตลาดมานาน เราก็ได้ทำการพัฒนาเกมของเราในแง่ของคุณภาพ, การตลาด, การทำเกมให้ถูกต้องสมจริง รวมไปถึงคอยรับฟังเสียงตอบรับจากแฟนๆ แล้วสร้างเป็นสังคมขึ้นมา และเราก็ต้องการที่จะทำอย่างนั้นกับเกมชูตติ้งของเรา"
ล่าสุด เรื่องราวยังไม่จบลงง่ายๆ เมื่อวันนี้ทาง "Jeff Brown" โฆษกของทาง อีเอ ได้มาตอบกลับคำพูดของอีริค ผ่านทางเว็บไซต์ IndustryGamers ในเชิงสบประมาท โดยบราวน์ กล่าวว่า "ขอต้อนรับสู่ลีกการแข่งขันรุ่นใหญ่นะ อีริค ผมรู้ว่าคุณยังใหม่สำหรับงานนี้ แต่คงมีบางคนได้เคยบอกคุณแล้วว่า นี่คืออุตสาหกรรมการแข่งขัน คุณมีเหตุผลที่จะประหม่า ในปีที่แล้ว แอคติวิชั่น อาจจะครองส่วนแบ่งการตลาดของเกมชูตติ้งอยู่ที่ 90% แต่ในปีนี้ เกม Battlefield 3 จะลดส่วนแบ่งการตลาดของคุณลงมาอยู่ที่ 60% หรือ 70% และถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป คุณก็อาจจะหายไปจากส่วนแบ่งทางการตลาดใน 2 - 3 ปี ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็ไปที่ร้านเกมตอนนี้แล้วลองหาซื้อแผ่นเกม Guitar Hero หรือ Tony Hawk ดูก็ได้"