ไตรมาสที่สามระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคมของอีเอ มีรายได้ 1.05 พันล้านเหรียญสหรัฐ มียอดขาดทุน 322 ล้านเหรียญสหรัฐ เกมชูตติ้ง Medal of Honor และเกมรถแข่ง Need for Speed: Hot Pursuit มียอดส่งไปจำหน่ายทะลุ 5 ล้านชุด
"อิเลคทรอนิคส์ อาร์ต" หรืออีเอ บริษัทเกมยักษ์ใหญ่ของโลกเปิดเผยผลประกอบการในช่วงไตรมาสที่สามระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคมปี 2010 ปรากฏว่ามีรายได้ลดต่ำลง 15 เปอร์เซนต์จาก 1.24 พันล้านเหรียญสหรัฐ เหลือ 1.05 พันล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนั้นยังขาดทุนเพิ่มมากขึ้น จาก 82 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปี 2009 เป็นขาดทุนถึง 322 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงปลายปี 2010
ความสำเร็จที่อีเอเปิดเผยออกมาก็คือการชูว่าบริษัทตัวเองเป็นผู้จัดจำหน่ายอันดับหนึ่งในตลาดตะวันตกตลอดปี 2010 บนเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 และ Xbox360 นอกจากนั้นยังเป็นผู้จัดจำหน่ายอันดับหนึ่งในตลาดตะวันตกตลอดไตรมาสที่สาม บนแอพพลิเคชั่น สโตร์ของแอปเปิ้ล สำหรับไอโฟนและไอแพด รวมถึงแพลตฟอร์มวินโดว์ โฟน เซเว่นของวินโดว์อีกด้วย
สองเกมที่ทำผลงานได้ดีเยี่ยมในช่วงไตรมาสที่สามคือเกม Medal of Honor และ Need for Speed: Hot Pursuit ที่แต่ละเกมสามารถทำยอดส่งไปจำหน่ายจนถึงปัจจุบันได้มากกว่า 5 ล้านชุด นอกจากนั้นอีเอ ยังออกมาระบุว่าในปี 2010 มี 5 เกมที่สามารถทำยอดส่งทะลุ 5 ล้านชุด ได้แก่สองเกมข้างต้น FIFA 11, Madden NFL 11 และ Battlefield: Bad Company 2 โดยในส่วนของเกมฟุตบอล ฟีฟ่า 11 มียอดส่งไปจำหน่ายจนถึงปัจจุบันมากกว่า 11 ล้านชุด
ในช่วงหลังงานแถลงผลประกอบการ อีเอได้พูดเพิ่มเติมถึงเกมที่ออกวางจำหน่ายหลังไตรมาสที่สามอีกด้วย ระบุว่าเกมออกกำลังกาย "EA Sports Active 2" ทำผลงานได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ เกมภาค Active 2 ถือเป็นภาคต่อลำดับแรกของเกมออกกำลังกายที่ออกวางจำหน่ายผ่านระบบจอยบังคับของเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 และ Xbox360 นอกจากนั้นยังเหมือนกับภาคแรกที่ออกวางจำหน่ายบนเครื่องวีด้วย
ตลาดดิจิตอลเติบโตอย่างรวดเร็ว อีเอระบุว่าในช่วงไตรมาสที่สาม มีรายได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 39 เปอร์เซนต์ อยู่ที่ 211 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนั้นอีเอยังย้ำอีกว่า 20 เปอร์เซนต์ของปีงบประมาณล่าสุด หรือ 750 ล้านเหรียญสหรัฐ มาจากยอดขายในตลาดดิจิตอล โดยคอนเทนต์ดาวน์โหลดบนคอนโซลเติบโตมากสุด เพิ่มสูงขึ้น 130 เปอร์เซนต์อยู่ที่ 62 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้านรายได้ดิจิตอลบนพีซีเพิ่มสูงขึ้น 22 เปอร์เซนต์อยู่ที่ 82 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้านรายได้จากโทรศัพท์มือถือเพิ่มสูงขึ้น 16 เปอร์เซนต์อยู่ที่ 67 ล้านเหรียญสหรัฐ
ข้อมูลและภาพประกอบจาก
gamespot.com
