“Matias Myllyrinne” กรรมการผู้จัดการบริษัท Remedy Entertainment ผู้สร้างชื่อมาแล้วกับเกม Max Payne และในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้ผลงานใหม่ของพวกเขา “อลัน เวก”(Alan Wake) เกมแนวแอ็กชันในทางจิตศาสตร์ที่ล้มลุกคุกคลานมาตั้งแต่ปี 2005 กำลังจะได้ลงจอกับเขาเสียที เผยเคยหลงไปทำเกมสไตล์เปิดกว้างแบบ GTA มาแล้ว
Myllyrinne เล่าให้ฟังในงาน DICE ว่า เกมอลัน เวกของเขา ก่อนหน้านี้เคยทำมาในรูปแบบฉากเปิดกว้างอย่างอิสระมาแล้ว เป็นช่วงเวลาประมาณ 6 เดือนที่ได้ลงแรงไป แถมยังสูญสิ้นเงินไปเป็นหลักล้าน ถือเป็นการตัดสินใจที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย แต่ในตอนนี้ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นแนวเส้นตรง เพื่อเพิ่มความเร้าใจระหว่างการเล่นให้เข้มข้นถึงใจแทน
“เหมือนมีชายคนหนึ่งแสดงฉากรักในรถMonster truck คุณคงทราบดีว่าคุณได้ทำอะไรที่ผิดพลาดไปแล้ว”Myllyrinne กล่าว
จริงอยู่ว่าการทำเกมอลัน เวกในเมืองที่เปิดกว้าง อาจให้เรามีอิสระในการจะไปไหนมาไหนและหลีกเลี่ยงที่จะเดินเรื่องตามเส้นทางที่กำหนดเอาไว้ แต่ Remedy กลับปฏิเสธที่จะใช้วิธีดังกล่าว เพราะต้องการที่จะควบคุมให้เดินตามเกมที่วางเอาไว้ และถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกตึงเครียดบีบคั้นหัวใจตามที่พวกเขาต้องการมากกว่า
แกนนำRemedy ชาวฟินแลนด์ เปิดเผยว่า เกมนี้ใช้เวลาพัฒนาค่อนข้างนาน และอาจจะไม่สัมฤทธิ์ผลหากปราศจากความช่วยเหลือจากไมโครซอฟท์ โดยองค์ประกอบหลักของการพัฒนาของบริษัทก็มีอยู่หลายปัจจัย ประการแรกก็คือ พวกเขาต้องการทำเกมที่ดี จึงชอบการขายเกมได้ 4 ล้านชุดในทุกๆ 4 ปี มากกว่าขายเกมได้ 1 ล้านชุดในทุกๆปี ประการถัดมา กำลังคนในทีมก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย เน้นการใช้ทีมงานที่มีขนาดเล็กๆมากกว่าปริมาณยอดนักพัฒนาระดับหัวกะทิ แล้วเจาะจงไปที่คนที่มีความสามารถหลากหลายจากทั่วโลก คนหนึ่งเป็นนักออกแบบเกมจากเดนมาร์กที่มีประวัติที่น่าทึ่ง และนักออกแบบเกมอีกคนชาวบราซิล เขาจบจิตวิทยา ซึ่งมีประโยชน์กับเกมของเรา
Myllyrinne บอกว่า เมื่อทีมงานมีขนาดเล็ก บางครั้งก็เกิดโต้เถียงกันระหว่างผู้ร่วมงาน ไอเดียใหม่ๆก็มักจะพรั่งพรูออกมาจากตอนที่ขัดแย้งกัน บริษัทยังมีการลงทุนอย่างหนักไปกับพวกเครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยี เพื่อให้ผลิตงานออกมาได้อย่างเต็มที่ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ มีสมาชิกเพียง 3 หรือ 4 คนจากทีมหลักที่ออกจากบริษัทตลอดการพัฒนาเกม
ประธาน Remedy กล่าวอีกว่า เขาตั้งใจที่จะให้เมือง Bright Falls ในเกม เป็นเหมือนเมืองจากหนังซีรีส์เรื่อง Twin Peaks โดยขนาดของฉากมีขนาด 10 ตารางกิโลเมตรที่ขึ้นรูปจำลองภูมิประเทศมาแบบเต็มๆ ด้วยการนำภาพที่ถ่ายกว่า 60,000 รูปจากเมือง Astoria รัฐ Oregon สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของ Crater Lake National Park
การทำงานของพวกเขาค่อนข้างล่าช้าไปจากเดิมที่วางเอาไว้เกือบ 2 เท่า โชคดีที่มีเงินทุนจาก Max Payne และไมโครซอฟท์ พร้อมกันนี้ก็มีการจ้าง 2 บริษัทนอกให้มาช่วยงาน แห่งหนึ่งอยู่ในลอสแองเจลิส ส่วนอีกแห่งอยู่ในเยอรมนี เข้ามาดูแลในส่วนของการออกแบบเสียง ทั้งนี้ ลูกเล่นที่ Remedy นำจาก Max Payne 2 มาใช้ในผลงานใหม่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า "near-miss moments" เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้อลัน เวก ฉากแอ็กชันจะช้าลงและมีมุมกล้องที่เปลี่ยนไป
เนื้อเรื่องเกมเล่าถึง “อลัน เวค” นักเขียนนวนิยายขายดีคนหนึ่งที่ไม่ได้เขียนอะไรมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว “อลิซ” ผู้เป็นภรรยาจึงอยากจะช่วยให้เขากลับมาเขียนงานได้เหมือนก่อน จึงพาเขามาที่เมืองน่าอยู่เล็กๆแห่งหนึ่งที่ชื่อ Bright Falls ในวอชิงตัน ที่แห่งนี่เองเป็นสถานที่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังผิดแปลกแตกไป เวคเริ่มที่จะฝันร้าย หน้ากระดาษที่เขาเขียนต้นฉบับใหม่หลายหน้าเกิดหายไปพร้อมกับภรรยาของเขาด้วย เวคจึงต้องออกตามหาเงื่อนงำว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเหตุการณ์ประหลาดเหล่านี้ “แสง” เป็นส่วนสำคัญในระบบการต่อสู้
“อลัน เวก”กำหนดวางขายในอเมริกา 18 พ.ค.ยุโรป 21 พ.ค. พร้อมแพคเกจพิเศษ ภายในประกอบไปด้วย ไอเท็มชุดเสื้อผ้า,วิดีโอเบื้องหลังการทำเกม,ธีมแดชบอร์ด,ซีดีซาวด์แทร็ค และหนังสือชื่อ “The Alan Wake Files” หนา 144 หนา รวมเรื่องสั้นที่เขียนโดยอลัน เวก และเอกสารสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ FBI จากเหตุการณ์ที่ Bright Falls
ข้อมูลจาก...
www.gamespot.com
www.kotaku.com