การสวมหน้ากากอนามัยในยุคปัจจุบัน อาจจะขัดขวางพัฒนาการทางสังคมและการแสดงออกทางอารมณ์ในเด็กเล็ก นอกจากนี้ จากเหตุผลที่ระบบหายใจในเด็กอาจจะยังไม่ได้พัฒนาการเต็มที่หรือดีมาก การใส่หน้ากากอนามัยจะทำให้เกิดการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งทำให้ปริมาณออกซิเจนปกติได้รับน้อยลง ผลในระยะยาวจะทำให้สมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอจึงควรให้สวมหน้ากากอนามัยเท่าที่จำเป็น
วันนี้ (13 ม.ค.) ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวสารในประเด็นเรื่องการใส่หน้ากากอนามัย ส่งผลร้ายต่อการทำงานของสมองของเด็กต่ำกว่า 12 ปี ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง
ปัจจุบันเชื้อไวรัสโควิด19 ได้มีการกลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ จนถึงสายพันธุ์ล่าสุดคือโอมิครอน ซึ่งพบว่ามีเด็กติดเชื้อเพิ่มจำนวนสูงขึ้น ร่วมกับปัจจุบันเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ จึงควรให้การป้องกันการติดเชื้อด้วยวิธีการอื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือบ้านที่อยู่ร่วมกับเด็กก็ต้องป้องกันตนเองไม่ให้เป็นพาหะไปสู่เด็ก สนับสนุนให้มีการเว้นระยะห่างระหว่างกันแม้ในครอบครัว สนับสนุนให้มีการล้างมือและปลูกฝังการล้างมือให้กับเด็กจนเป็นนิสัย และในอนาคตอันใกล้ เมื่อวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด19 ได้รับการยืนยันข้อมูลความปลอดภัยสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี ควรให้เด็กได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อและป้องกันความรุนแรงจากการติดเชื้อ ทั้งนี้ กาสวมหน้ากากอนามัยในยุคปัจจุบัน อาจจะขัดขวางพัฒนาการทางสังคมและการแสดงออกทางอารมณ์ในเด็กเล็ก นอกจากนี้ จากเหตุผลที่ระบบหายใจในเด็กอาจจะยังไม่ได้พัฒนาการเต็มที่หรือดีมาก การใส่หน้ากากอนามัยจะทำให้เกิดการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งทำให้ปริมาณออกซิเจนปกติได้รับน้อยลง ปกติร่างกายจะมีความพยายามให้เราหายใจเร็วขึ้น แรงขึ้นเพื่อให้ได้ออกซิเจนเพียงพอ ช่วงเวลานี้ก็จะมีอาการมึนหัว เวียนหัว เป็นลม หมดสติได้ ผลในระยะยาว ก็ทำให้สมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ การเจริญของสมอง ระบบประสาท และร่างกาย ก็จะไม่เต็มที่ จึงควรให้สวมหน้ากากอนามัยเท่าที่จำเป็นและมุ่งเน้นการป้องกันด้วยวิธีอื่นควบคู่กันไป
และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมการแพทย์ สามารถติดตามได้ที่ www.dms.go.th หรือโทร 02 5906000
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข