จากมีข่าวว่าขับเลนขวาสุดใช้ความเร็วต่ำกว่า 90 กม./ชม. มีความผิด ถูกจับ ทางกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ได้ชี้แจงว่า ยังไม่มีนโยบายการแจ้งจับผู้ขับขี่ขับต่ำกว่า 90 กม.ในเลนขวาแต่อย่างใด มีเพียงการรณรงค์ ให้ใช้ความเร็วที่เหมาะสมตามแต่ละช่องจราจรเพื่อลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุตามสถิติมีการชี้ให้เห็นว่าการใช้ความเร็วรถยนต์ที่ต่ำกว่า 90 กม./ชม. ในช่องทางขวาสุดของถนนทางหลวง 4 ช่องทาง เป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุอันดับที่ 2
วันนี้ (1 ต.ค.) ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยว่าตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อความเรื่องขับเลนขวาสุดใช้ความเร็วต่ำกว่า 90 กม./ชม. มีความผิด ถูกจับ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
กรณีที่มีข่าวห้ามไม่ให้รถยนต์ที่ใช้ความเร็วต่ำกว่า 90 ก.ม./ชม. วิ่งในช่องทางขวาสุดหากฝ่าฝืนมีโทษปรับ ทางกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ได้ชี้แจงถึงประเด็นนี้ว่า ยังไม่มีนโยบายการแจ้งจับผู้ขับขี่ขับต่ำกว่า 90 กม.ในเลนขวาแต่อย่างใด แต่เป็นการรณรงค์ของกรมทางหลวง ให้ใช้ความเร็วที่เหมาะสมตามแต่ละช่องจราจรเพื่อลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ จากสถิติมีการชี้ให้เห็นว่าการใช้ความเร็วรถยนต์ที่ต่ำกว่า 90 กม./ชม. ในช่องทางขวาสุดของถนนทางหลวง 4 ช่องทาง เป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุอันดับที่ 2 หรือคิดเป็นสัดส่วน 30% ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด รองจากการเสียหลักตกข้างทาง ซึ่งมีสัดส่วนที่ 45% สำหรับการกำหนดความเร็วที่เหมาะสมสำหรับในแต่ละช่องจราจร มีการกำหนดไว้ว่า ช่องทางขวาสุดให้รถยนต์ใช้ความเร็วได้สูงสุด และให้รถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 90 กม./ชม. อยู่ในช่องทางอื่นๆ ใช้ความเร็วลดหลั่นลงมาตามลำดับ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยทำให้เกิดความแตกต่างของความเร็วในแต่ละช่องทางน้อยลง ลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุชนท้ายจากความเร็วที่แตกต่าง และการเปลี่ยนช่องจราจร
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://www.doh.go.th/ หรือโทร. 02-354-6668-780 2354 6668-78
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีนโยบายการแจ้งจับผู้ขับขี่ขับต่ำกว่า 90 กม.ในเลนขวาแต่อย่างใด แต่เป็นการรณรงค์ของกรมทางหลวง ให้ใช้ความเร็วที่เหมาะสมตามแต่ละช่องจราจรเพื่อลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น