“ออม สุชาร์” เปิดใจปมถูกกล่าวหาฮุบบริษัท 100 ล้าน ยันไม่ได้เหลียมก่อน ชี้ถูกหุ้นส่วนแอบทำแบรนด์แข่ง จนไม่ไว้ใจ ซื้อหุ้นเพิ่มหวังแก้ปัญหา ด้าน “ศสา-พริม” โฟนอินโต้ ข้อมูลพลิกไปพลิกมาอย่างเดือด กรรชัยยังมึน!
รายการ โหนกระแส วันที่ 19 ก.ย.ดำเนินรายการโดย “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ทางช่อง 3 ได้สัมภาษณ์ ออม สุชาร์ มานะยิ่ง ปมถูกกล่าวหาฮุบบริษัท 100 ล้าน ธุรกิจที่ทำร่วมกับ 2 หุ้นส่วน “พริม - ศสา” จนกลายเป็นประเด็นร้อนในสังคม โดยวันนี้ ออม ออกมาเผยข้อมูลฝั่งตัวเอง พร้อม อัง น้องแท้ๆ ของออม, ทนายติ่ง ทนายของออม และ ทนายแก้ว ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล
จริงๆ เมื่อวานเชิญอาจารย์ตฤณห์มา แต่คุณออมไม่พร้อม เพราะอะไร?
ออม : เดี๋ยวขอคุยกับอ.ตฤณห์ดีกว่าค่ะ ยังงอนๆ นิดนึง มีคำพูดบางคำของอาจารย์ที่บอกว่าหนูเหลี่ยม ก็เลยรู้สึกเสียใจ
งอนหรือกลัว?
ออม : ไม่ได้เป็นเรื่องความกลัวนะคะ ตอนนี้ออมสับสนไปหมด ไว้ใจคนยากแล้ว
คุณไม่ไว้ใจอ.ตฤณห์เหรอ?
ออม : ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ หนูแค่อยากคุยกับอ.ตฤณห์หลังจากนี้ หนูจะสบายใจมากกว่า
ไม่ใช่กลัวเขาจะมาจับผิดอะไรคุณ?
ออม : ไม่ใช่ค่ะ วันนี้หนูจะพูดความจริงทุกอย่างในมุมของหนู ทำไมหนูต้องซื้อหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์ เรื่องราวทุกอย่างเกิดขึ้นจากอะไร
คุณรู้จักคุณพริมได้ยังไง?
ออม : จากพี่ศสาค่ะ เขาเป็นผู้จัดการเก่าหนู เขาอยากให้หนูมีธุรกิจ เราคิดตรงกันว่าเราสองคนอยากทำธุรกิจขึ้นมา เขาก็แนะนำให้หนูรู้จักน้องพริม เพื่อที่จะมาร่วมมือกัน ก็เป็นสิ่งที่เขาเล่าไปแหละค่ะ หนูแฮปปี้มากตอนนั้น เป็นการทำงานตลอด 1 ปีที่หนูมีความสุขมากที่ได้ทำสิ่งนี้ มันมีแต่เรื่องดีๆ ทั้งหมด แต่ขอย้อนกลับไปที่เขาบอกว่าเขาเป็นหุ้นใหญ่ 51 เปอร์เซ็นต์ ซัคเจอร์แรกที่เราคิดกันออกมา หนูเป็นคนคิดก่อน ว่าตอนเริ่มทำธุรกิจ เขาถามว่ายังไงดีพี่ออม หนูเป็นคนบอกว่าขอคนละ 45 พี่ศสา 10 เปอร์เซ็นต์ได้มั้ย อันนี้ซัคเจอร์หุ้นแรกเลย เวลาผ่านไป เราถ่ายแบบทุกอย่างไปหมดแล้ว เขาโทรมาหาหนู พี่ออม แบบนี้จะตัดสินใจอะไรยาก หนูคิดว่าหนูอาจขอหุ้นเพิ่มเป็น 51 เปอร์เซ็นต์ได้มั้ย ทางหุ้นพี่ศสาก็ขอลดลง เป็นการมาปรึกษาแฟนหนูว่าหลักการจะทำอย่างไรได้บ้าง แฟนหนูก็ให้คำแนะนำไป
แฟนคุณคือคุณแอมป์ พิธาน?
ออม : ใช่ค่ะ แฟนหนูให้คำปรึกษาไปว่าน้องพริม หัวใจของนักธุรกิจสิ่งแรกเลยคือความซื่อสัตย์ พูดคำไหนคำนั้น จะให้พี่เขา 10 เปอร์เซ็นต์ต้องเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ นี่คือคำแนะนำของพี่ หลังจากนั้นก็ถูกปรับเปลี่ยนหุ้นเป็น 51 กับหนู 45 เพราะเขาขออย่างนั้น
คุณพริมถือ 51 คุณถือ 45 แล้วเปลี่ยนให้ศสาเหลือ 4 คุณเป็นคนให้เปลี่ยนเองเหรอ?
ออม : หนูฟอลโลว์ตามน้องพริม เขาจะเอาอะไรก็ได้ หนูยอม อะไรก็ได้ เรื่องนี้ที่บ้านหนู แฟนหนูไม่รู้ เป็นการคุยที่หนูยินยอมส่วนตัวจริงๆ
ทำไมยอมลดศสาเหลือ 4 เปอร์เซ็นต์ ในเมื่อคุณแอมป์บอกว่าเราพูดยังไงก็ต้องเป็นไปตามนั้น?
ออม : หนูก็ตามเขาทุกอย่าง
จะบอกว่าพริมเป็นคนลดสัดส่วนเองไม่ใช่คุณ?
ออม : ใช่ค่ะ หนูตามเขาหมดเลยค่ะ ดาราไม่ได้เก่งเรื่องตัวเลขอะไรมากมายหรอกค่ะ เราคิดว่าอีกคนเขาเก่งธุรกิจมากกว่า ฉะนั้นหนูฟอลโลว์เขาทุกๆ อย่าง เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ ที่บ้านไม่รู้ แต่พอที่บ้านรู้ เขาก็อ้าว ไหนตอนแรกเป็นคนละ 45 แล้วทำไมอยู่ดีๆ เป็นแบบนี้ เราก็ได้คำแนะนำจากที่บ้าน ถ้าเขากลับไปกลับมาแบบนี้ตั้งแต่แรก มันจะมีปัญหาอะไรมั้ย ถ้าเราเป็นหุ้นรอง
เมื่อวานที่ฟังมา เชื่อว่าคนที่ดูโหนกระแสได้ฟังแมสเซสเดียวกัน ว่าการลดเปอร์เซ็นต์ เหมือนคุณเป็นคนริเริ่มลดเอง?
ออม : ไม่ใช่ค่ะ ดาราจะคิดอะไรซับซ้อนได้เหรอ หนูไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนค่ะ
คุณยืนยันว่าพริมเป็นคนลดสัดส่วนศสาเหลือ 4 เปอร์เซ็นต์เอง?
ออม : ใช่ค่ะ
มันอาจไม่ใช่สาระสำคัญอะไร แต่ประเด็นคือคุณไปขอกลับเขาใหม่เป็น 48-48 แล้วศสาถือ 4?
ออม : ใช่ค่ะ วันนั้นเขาให้หนูเซ็นสัญญา แล้วหนูให้ที่บ้านหนูช่วยกันดู แล้วหนูคิดว่ามันไม่เป็นธรรมกับหนู สัญญานั้นหนูห้ามรับพรีเซ็นเตอร์อะไรเลย ณ ปัจจุบันที่เป็นไลน์สินค้าที่ผลิต รวมถึงสินค้าในอนาคตที่ก็ยังไม่รู้จะออกอะไร แล้วฝั่งเขาสามารถทำสิ่งอื่นได้
ตอนออมเจอคุณพริม ไม่รู้เหรอว่าเขามีผลิตภัณฑ์ของเขาอยู่แล้วคือ RAD?
ออม : ออมทราบว่าเขาเคยทำแบรนด์ RAD มาก่อนค่ะ แบรนด์นี้เป็นแบรน์ที่เขาเคยทำกับดาราท่านนึงมาก่อน ความรู้สึกออมมันนานมากๆ ตั้งแต่ปี 56 ทำไมออมถึงเลือกเขาทำด้วยกัน ออมรู้สึกว่ามันเป็นโปรไฟล์ของเขา เขามีเครดิตตรงนี้ และออมก็คิดว่าเขาเลิกทำแล้ว มันนานมากๆ แล้วค่ะ สเตตัสของเขาก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แล้วเขาก็บอกออมเองว่าเขาหยุดทำ เขาดร็อปไป
คุณรู้ว่าเขาทำ RAD แต่เขาบอกคุณว่าหยุดทำแล้ว หลังจากนั้นล่ะ?
ออม : ก็เลิกไปแล้วมาเริ่มกันใหม่กับเรา มันไม่ได้มีข้อเสนอให้ทำ RAD ต่ออยู่แล้วค่ะ หนูอยากทำในสิ่งที่หนูอยากทำ ไม่ได้มีภาพลักษณ์อะไรแบบเดิมๆ เราเริ่มต้นกันใหม่ นับหนึ่งใหม่กันหมดทุกอย่าง
ถ้าตอนนั้นเขาทำ RAD อยู่ คุณทำ fleen กับเขามั้ย?
ออม : ไม่ทำค่ะ หนูยืนยัน เพราะหนูรู้สึกว่าการที่เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วสำเร็จ มันต้องโฟกัสมากๆ ค่ะ การทำธุรกิจอะไรสักอย่างในสมัยนี้มันไม่ได้ง่าย มันยากมากๆ เราต้องโฟกัสในสิ่งนี้มากๆ
พอคุณรู้ว่าเขาไม่ได้ทำ RAD คุณก็ตกลงทำ fleen กับเขา?
ออม : เราก็ช่วยกันตั้งชื่อแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ สร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นมา มันดีมากๆ หนูสนุกมากๆ ในทุกโปรเซส เหมือนหนูได้ทำสิ่งที่หนูชอบอีกอัน เหมือนตอนหนูเป็นนักแสดง แล้วหนูชอบ หนูหลงรักสิ่งนี้ พอหนูได้ทำสิ่งนี้ หนูก็รู้สึกหลงรักมันอีกอย่าง หนูรัก fleen มากๆ แล้วหนูก็เชื่อว่าเขาก็รัก fleen มากๆ เหมือนกัน หนูโปรโมตสินค้า ตั้งใจทำคลิป เขาตั้งใจทำผลิตภัณฑ์ ส่วนพี่ศสาก็ช่วยโปรโมตในสิ่งที่เขามีความสามารถที่จะทำได้
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น มันหักกันได้ยังไง?
ออม : ม.ค.66 น้องสาวหนูเขาทำอีคอมเมิร์ช จะเข้าไปหาโลโก้ของ fleen ในไฟล์หลังบ้าน กูเกิ้ลไดร์ฟ ก็เสิร์จคำว่าโลโก้ปรากฎเจอโลโก้แบรนด์อื่นที่ไม่ใช่แบรนด์เรา อยู่ใน fleen บิวตี้ กูเกิ้ลไดรฟ์ อันนี้คือจุดที่ทำให้หนูรู้สึกเสียใจมากๆ ค่ะ
อันนี้คืออะไร?
ออม : โลโก้ที่เขากำลังจะรีแบรนด์ แบรนด์ใหม่ของเขา แบรนด์เดิมค่ะ
คุณจะบอกว่ามี RAD โผล่มาในกูเกิ้ลไดร์ฟ fleen ซึ่งจริงๆ ไม่ควรมีอยู่ในนี้?
ออม : ไม่ควรมีอยู่ในนี้ เพราะนี่คือการทำงานหลังบ้านของ fleen บิวตี้ทั้งหมด มันเป็นคอนฟิเดนต์เชียลทุกอย่างของ fleen ไม่ควรมีแบรนด์อื่นที่มีลักษณะขายของในแบบเดียวกัน อยู่ในแบรนด์ของเรา หนูเสียใจมาก วินาทีนั้นที่หนูเห็น หนูช็อกมาก หนูรู้สึกว่าก่อนหน้านี้เราไม่ได้มีเรื่องอะไรกันนี่หว่า ทำไมอยู่ดีๆ ถึงไปทำอย่างอื่น มันเหมือนอกหักค่ะ เหมือนเขาบอกว่าเขาคบกับเรา เขาเลิกกับแฟนเก่าแล้ว แต่ตอนนี้หนูไปรู้ว่าเขายังคบกับแฟนเก่าเขาอยู่
ประเด็นที่คุณกำลังพูดถึง ต้นเรื่องของคุณ ที่ทำให้มีการบาดหมาง แตกแยก เกิดจากแบรนด์ RAD ที่เขาเคยทำ และเขาแจ้งคุณว่าไม่ทำแล้ว คุณยืนยันใช่มั้ย ว่ามั่นใจว่าเขาแจ้งคุณให้รับรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้ทำแล้ว?
ออม : เขาไม่ได้ทำแล้วค่ะ
มีหลักฐานมั้ย?
ออม : คลิปเสียงได้มั้ยคะ เป็นคลิปที่จะยืนยันได้ว่าหนูไม่รับรู้ว่าหนูอนุญาตให้เขาทำสิ่งนี้ และเขาก็รู้สึกบางอย่างกับหนู โลจิกต์อะไรเหรอที่หนูอยากให้เขาทำสิ่งนี้ ในเมื่อหนูก็ทำลิปสติกอยู่ แบรนด์ fleen ทำเครื่องสำอาง สิ่งที่เขาทำอยู่เป็นสิ่งใหม่ และก็ทำเครื่องสำอางด้วย
สองฝ่ายพูดไม่เหมือนกัน ฝั่งนึงยืนยันว่าเขาทำ RAD มาตลอด วันดีคืนดี ออมเข้ามากับศสา ออมรู้อยู่แล้วว่าเขาทำ RAD อยู่ แม้กระทั่งบนโต๊ะทำงาน ก็มีผลิตภัณฑ์ของ RAD วางอยู่ด้วยเหมือนกัน คุณรู้มั้ย?
ออม : แต่เขาเลิกทำแล้วไงคะ
ถ้าเขาเลิกทำแล้ว จะมีผลิตภัณฑ์วางอยู่บนโต๊ะเหรอ ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ได้ยินว่า RAD ไม่มีอยู่แล้ว แต่ทำไมมี RAD ตั้งอยู่บนโต๊ะ อันนี้จะตอบยังไง?
ออม : คำว่าทำไม่ทำ เราดูในงบการเงิน มันก็จะรู้นะคะ บริษัทที่ทำกิจการอยู่เขาก็ต้องมีการส่งงบ
ทนายติ่ง : หลักฐานที่เป็นเอกสาร ขออนุญาตเรียก RAD 1 RAD2 RAD3 เพราะชื่อมันคล้ายๆ กัน RAD1 จดทะเบียนก่อนตั้วง fleen บิวตี้ เขาบอกผมว่าก่อนตกลงร่วมใจทำงานกัน เขาไปตรวจงบการเงินแล้ว ว่าเขายังทำ RAD1 อยู่หรือเปล่า ซึ่งไม่ได้ยื่นงบการเงิน ไม่ได้ยื่น 3-4 ปี จนนายทะเบียนเขาขีดชื่อตั้งแต่ปี 67 RAD1 เขาทำก่อนที่จะทำกับคุณออม
เขาเคยทำกับน้ำชา แล้วจะบอกว่ามี RAD2 คืออะไร?
ทนายติ่ง : RAD1 เขาเคยทำมาก่อน และเขาก็ไม่ได้ส่งงบ เขาเลยเชื่อว่าไม่ได้ทำกิจการแล้ว ไม่่ได้ยื่นงบ จนนายทะเบียนเขาขีดชื่อ ปี 67
นี่คือที่คุณเข้าใจว่าเขาเลิกทำไปแล้วเพราะ RAD1 แล้วมันมา RAD2เหรอ?
ทนายตี่ง : มาจด fleen ปี 66 จากนั้น จากการตรวจสอบของเรา เขาไปจด RAD2 เมื่อ ก.ย.67 หลังทำกับ fleen แล้ว
พริมจด RAD2 เดือนก.ย. หลังจากจด fleen ไปแล้ว คุณเลยไปฟ้องเขาค้าแข่งเหรอ?
ทนายติ่ง : เป็นหลักฐานหนึ่ง
ตอนเขาไปจดเป็น RAD2 มีชื่อเขาหรือเปล่า?
ทนายติ่ง : มี มีชื่อเขากับสามีเป็นกรรมการ ผู้ถือหุ้น 2 คน
ตัวพริมยืนยันว่าออมรู้แต่แรกว่าเขาทำ RAD แล้ววันนี้จะมาบ่นอะไร แต่ออมบอกว่าเข้าใจว่าพริมทำ
RAD แล้วเหมือนกัน แต่พอเข้าปี 67 พริมไปจด RAD2 แบบนี้จะไปแข่งกับเขา?
ทนายติ่ง : ใช่ครับ RAD2 ระบุชัดเจนว่าประกอบเครื่องสำอางเหมือนกับเรา
จริงๆ มันก็ได้ไม่ใช่เหรอ?
ทนายติ่ง : ก็ได้ แต่จะสื่อว่าของเราทำธุรกิจเครื่องสำอาง RAD2 ทำธุรกิจเครื่องสำอาง มันค้าแข่งมั้ยล่ะ
ทนายแก้ว : ต้องถามว่าเดย์วันที่มาทำงานร่วมกัน มีข้อตกลงเรื่องการห้ามค้าแข่งมั้ยครับ มีสัญญาให้เซ็นมั้ย ว่าห้ามค้าแข่งกันนะ
ทนายติ่ง : ไม่มี แต่ก็ต้องใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ครับ สัญญาใดๆ ที่ทำระหว่างผู้ถือหุ้น ไม่ผูกมัดบริษัท เพราะต้องนำความไปจดทะเบียน อันนี้มีฎีกา
จด fleen ปี 66 แต่คุณเองก็มีการไลฟ์ให้กับ RAD?
ออม : หนูไม่ได้ไลฟ์ให้กับ RAD นะคะ ไม่ได้ขายให้เขานะคะ หนูทำคลิปติ๊กต๊อกปกติค่ะ สินค้าตัวนี้เขาเอามาให้หนู บอกว่าหนูเคยทำสิ่งนี้ เอามาไว้ที่บ้านหนู นี่คือโปรไลฟ์งานที่เขาเคยนำเสนอหนูว่า เขาทำอะไรมาบ้าง โปรดักส์ 1 2 3 เขานำมาให้หนู หนูก็ทำคลิปติ๊กต๊อกปกติของหนู เวลาแต่งหน้าลุคนั้นลุคนี้ หนูใช้ผลิตภัณฑ์อะไร วันนั้นหนูเลือกใช้รองพื้นของเขา หนูไม่ได้คิดว่าต้องเพื่ออะไร แต่หนูรู้สึกว่าไหนๆ ก็เป็นของน้องพริมแทนที่เราจะเอาแบรนด์อื่น ก็เอาของน้องพริมก็ได้ น้องพริมส่งตัวอย่างมาให้ ก็เลยลองใช้ดูค่ะ
ก็เลยเข้าแก็ปเขาบอกว่าก็คุณก็รู้อยู่แล้วว่าเขาทำ RAD เขายังไม่ได้เลิก?
ออม : บางที การเปิดกิจการบางอย่าง หนูไม่อยากใช้คำที่มัน..หนูรู้ว่ามันขายไม่ได้ มันเป็นของที่ค้างสต็อก บางทีเราหยิบสิ่งนั้นมาใช้ มันก็ดีกว่าเราไปใช้อันอื่น แต่หนูรู้ว่าเขาไมได้ทำต่อ เขาเอามาให้หนู เพราะบอกว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่เขาทำมา หนูก็ใช้ ไม่ได้คิดอะไร
ทนายแก้ว : ไม่ได้ถามเขาเหรอครับว่ายังผลิตอีกหรือเปล่า เพราะของแบบนี้มันมีวันหมดอายุนะครับ ถ้าน้องบอกว่าเป็นของค้างสต็อก แบบนี้ก็เป็นเรื่องเอาของหมดอายุมารีวิวหรือเปล่าครับ
ออม : ก็ต้องบอกว่า ตอนนั้นหนูไม่ได้ลงลึกรายละเอียดขนาดนั้นค่ะ
คุณเลยเข้าใจว่าอันนี้คือการค้าแข่ง คุณทำยังไงต่อ?
ออม : ตอนนั้นหนูช็อกมากๆ มันเสียใจค่ะ ไลฟ์อัปสินค้าของเราคือลิปสติก ขายตอนธ.ค.66 เราก็รู้ว่าสิ่งที่เขาจะทำก็เป็นสินค้าประเภทเดียวกัน มันยิ่งเฮิร์ต ถ้าคุณจะไปทำอีกอัน ทำอันอื่นก็ได้ ครีม อาหารเสริม หรืออะไร หนูก็จะไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือโกรธ แต่อันนี้มันเหมือนกันเลยค่ะ โรงงานเดียวกน แพ็กเกจจิ้งที่เดียวกัน ผลิตเนื้อที่เดียวกัน ขายช่องทางเดียวกัน คือช่องทางออนไลน์ ติ๊กต๊อก ช้อปปี้ ลาซาด้า มันเจ็บสำหรับหนู มันมีคำถามเยอะมาก จะทำทำไม ในเมื่อทำ fleen อยู่ และ fleen ก็ไปได้ดีในตอนนั้น ทำไมต้องแบ่งโฟกัสไปทำอีกสิ่งนึง ทั้งที่หนูโฟกัสแบรนด์เดียว หนูไม่รับพรีเซ็นเตอร์ หนูโฟกัส fleen มากๆ หนูไลฟ์ขายของ ทำคลิปเยอะมากๆ จนหนูไม่รู้ว่าจำนวนเท่าไหร่
จากนั้นออมทำยังไง?
อัง : หลังเราพบว่ามีโลโก้แบรนด์อื่นอยู่ในไฟล์บริษัท เราไม่ได้พบแค่โลโก้ เราพบใบเสนอราคาของบริษัทอื่นที่ส่งมาให้ในอีเมลบริษัทfleen เสนอราคาให้อีกบริษัทนึง เหมือนขอใบเสนอราคาสำหรับผลิตภัณฑ์ สำหรับสินค้าในไลน์โปรดักส์เรา แต่เขียนเป็นชื่ออีกบริษัทนึง ซึ่งเราไม่รู้ว่าบริษัท R ต้องการทำสินค้าเหมือนกับเราหรือเปล่า
ทำไมถึงได้ใบเสนอราคาตัวนี้มา หลังจากนั้นมีการนัดพูดคุยกันค่ะ ไม่กี่วันก็มีการนัดพูดคุยกับน้องพริม สามี ว่าเกิดอะไรขึ้น คุณจะกลับมาทำแบรนด์เหรอ ทำไมไม่บอกกัน บอกกันนิดนึงได้มั้ย ทำไมทางพี่ออมไม่รู้เลย น้อมพริมบอกก็ได้
เขาตอบว่า?
ออม : เขาตอบว่าก็ว่าจะบอกอยู่เหมือนกัน หาเวลาอยู่
เขายอมรับว่าเขาทำจริงโดยไม่ได้บอกเรา?
ออม : เขาบอกว่าไม่มีเวลาจะบอกพี่ออมค่ะ
เปิดคลิปเสียง ออมาบอกว่าเสียความรู้สึก เพราะตอนแรกคิดว่าเลิกทำไปแล้ว พริมก็ไม่ได้บอกพี่ออมก่อน พริมบอกว่าหนูรอจะบอก มีไทม์มิ่งที่จะบอกพี่ออมเหมือนกัน พี่ออมเสียใจ พริมกเสียใจเหมือนกัน แต่เกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับ?
ทนายแก้ว : มันเป็นการพูดคุยก็ไม่ได้ยอมรับโดยดุษฎีทั้งหมด ถ้าถามผม ถ้ามีการพูดคุยก่อนหน้านี้มาก่อน ถ้าฟังในมุมนี้ ยังไม่เคยมีการพูดคุยตั้งแต่เดย์วันมาก่อน ยกตัวอย่าง ผมกับพี่หนุ่มพูดคุยว่าอย่าไปทำซ้ำ พี่หนุุ่มรับปาก แล้วอยู่ดีๆ จับได้ พี่หนุ่มก็จะมีการขอโทษ มันเป็นแบบนั้น แต่เหมือนเหตุการณ์ที่ฟัง ยังไม่ได้มองให้เห็นว่าเขารู้หรือไม่รู้ มันยังไม่ชัด ว่าเขาจะยอมรับ
สิ่งที่ฟังในนั้น มีคำพูดนึง ที่ออมบอกว่า เราคิดว่าเลิกไปแล้ว เข้าใจว่าเลิกทำไปแล้ว แล้วเขาตอบมาบอกว่า ขอโทษด้วย เพราะยังหาไทม์ไลน์บอกไม่ได้ว่าเขาจะทำ?
ออม : ใช่ค่ะ ใจเขาใจเราค่ะ หนูทำ fleen บิวตี้กับเขา เราตั้งใจทำด้วยกันมากๆ ถ้าอยู่ดีๆ หนูไปรับพรีเซ็นเตอร์แบรนด์อื่น ใจเขาใจเรา เขาจะรู้สึกยังไง จริงๆ ถ้าเขาอยากจะทำจริงๆ ขึ้นมาใหม่ เขาเดินมาบอกหนูเลย ถ้าเขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องผิด เขาเดินมาบอกหนูเลย น้องพริมขอทำ ตรงไปตรงมากับหนู ไม่ใช่ว่าทำมาตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ผิดจริงๆ ทำไมเขาไม่เดินมาบอกหนูไปเลยว่าขอทำได้มั้ย เอากลับมาทำได้มั้ยพี่ออม
นี่คือหลักฐานที่คุณจะยืนยันว่าคุณไม่รู้มาก่อนว่า RAD ยังมีอยู่ในตลาด เพราะคุณคิดว่าเขาเลิกทำไปแล้ว มีคลิปนี้ยืนยันว่าตัวเขาเองไปแอบจด แอบทำ ไม่ได้บอกคุณ จนคุณไปคุยกับเขา แล้วเขาบอกว่าขอโทษที มีไทม์ไลน์ที่จะบอกอยู่แล้ว ประเด็นไม่ได้ไปถึงจุดพีก จุดพีกคือคุณไปซื้อหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ได้แจ้งคุณพริม และนำเขาออกจากการทำงาน ศสาเขาบอกว่าเขาเหมือนไปหลงเชื่อคุณว่าบริษัทขาดทุน เลยจำเป็นต้องขายหุ้นออกไป เพราะเขาไม่อยากเดือดร้อน เหมือนคุณซื้อห้นเขาโดยมิชอบ เมื่อวานมีความสงสัย พริมบอกว่าเขาเคยบอกด้วยว่าตัวออมเองมีการพูดคุยกันว่าไม่อยากให้ออมรับงานพรีเซ็นเตอร์อื่น แต่ออมบอกว่าไม่ได้สิ เพราะออมก็จำเป็นต้องรับงานพรีเซ็นเตอร์ด้วยเหมือนกัน พริมบอกว่างั้นเขาก็มีสิทธิ์ทำธุรกิจอื่นได้เหมือนกัน มีการตกลงกันมั้ย?
ออม : วันนั้นหนูรู้สึกว่าเราตกลงกันไม่ลงตัว เพราะเขาไม่ต้องการให้หนูไปรับพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นคอสเมติกส์ ส่วนเขาสามารถทำกิจการอื่นได้ หนูรู้สึกว่าสัญญานั้นมันไม่เป็นธรรม
เขาเอาเอกสารให้คุณเพื่อเซ็นว่าห้ามรับงานพรีเซ็นเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับความงาม แล้วคุณไม่เซ็น เขาเลยบอกว่างั้นเขาก็สามารถไปทำธุรกิจอื่นได้ ถูกมั้ย?
ออม : หนูรู้สึกว่า ณ วันนั้นที่เราเริ่มกิจการด้วยกัน เราไม่รู้ว่า fleen บิวตี้จะออกหัวหรือออกก้อย แต่สัญญานี้จะผูกมัดหนูตลอดชีวิต การเป็นดารา มีมูลค่าในตัวเองนะคะ หนูบอกเขาว่างั้นเราเริ่มทำสัญญาใจกันหน่อยได้มั้ย มันไม่รู้จะออกหัวหรือออกก้อยจริงๆ เขาก็เลยบอกหนูว่า พี่ออม มีคนขอซื้อตัวหนู 10 ล้าน ให้ไปทำแบรนด์กับเขา หนูบอกว่าโอ้ 10 ล้าน เอาอย่างนี้น้องพริม เงินเยอะนะ ถ้าเขาให้น้องพริมจริงๆ น้องพริมไปทำเถอะ เงินเยอะเหมือนกัน น้องพริมไปทำเถอะค่ะ เขาก็ตามนั้น หนูจำไม่ค่อยได้ มันนานมากแล้ว แต่จำได้ว่าโอ้ คนซื้อตัวน้องพริม 10 ล้าน โอเค งั้นน้องพริมไปเหอะ fleen บิวตี้ก็หาซีอีโอแล้วกัน
คุณพูดมั้ยว่าเขาไปทำธุรกิจอื่นๆ ได้?
ออม : คำว่าธุรกิจอื่น มันมีเยอะมากเลยนะคะ ที่ไม่ต้องมาทำแข่งกับบริษัท อื่นๆ ที่เป็นครีม อาหารเสริม อะไรก็ได้ หนูขอแค่ไม่มาแข่งกับบริษัทตัวเอง หนูจะไว้ใจได้ยังไงคะ ถ้าคนเป็นหัวเรือใหญ่ของ fleen บิวตี้ ในการตัดสินใจทุกอย่างเข้ามาในโปรดักส์ของในแบรนด์ ก็มีสิทธิ์ตัดสินเลือกอีกแบรนด์นึงที่ขายของเหมือนกัน หนูจะมั่นใจได้ยังไง สมมติโรงงานส่งลิปสติกอันนี้มาอันนึง จะมั่นใจได้ไงว่าเขาจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบริษัทที่เขาถือหุ้น 48 เปอร์เซ็นต์ หรือบริษัทที่เขาถือหุ้น 99 เปอร์เซ็นต์คะ ต้องเห็นใจหนูนะคะ หนูไม่เชื่อใจจริงๆ หนูไม่เชื่อใจเขาอีกแล้ว
ตกลงคลิปเสียงที่คุณอัดไว้ อัดวันที่เท่าไหร่?
อัง : 25 ม.ค. 68 หลังเราพบว่ามีใบโลโก้ และใบเสนอราคาของแบรนด์อื่นอยู่ในไฟล์ของบริษัท
คุณเจอไฟล์นั้นและโลโก้เมื่อไหร่?
อัง : 10 ม.ค. 68 ค่ะ
แสดงว่าคุณเจอก่อน ถึงได้เรียกมาคุย 25?
อัง : ใช่ค่ะ เพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาไปจดทะเบียน RAD2 เมื่อไหร่?
อัง : 24 ก.ย.67 ค่ะ
เขาไปจด RAD2 มาแล้ว 4 เดือน เขาเป็นกรรมการ?
ออม : และสามีเขาซึ่งเป็นพนักงาน fleen
พอวันที่ 10 ม.ค. ถึงได้เจอว่าเขาเอาโลโก้ต่างๆ นานาไปใส่ไว้ในกูเกิ้ลไดร์ฟของ fleen?
อัง : ไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนเอาใส่ แต่หนูเป็นคนไปพบค่ะ
พอพบก็เรียกมาคุยกัน 25 ม.ค. มีการอัดเสียงว่าตกลงคุณทำจริงมั้ย ทำไมไม่บอกเรา เขาบอกว่าใช่ เขาทำจริง เขาหาไทม์ไลน์ที่จะบอกอยู่ นี่คือที่มาที่ไป ที่คุณไม่เชื่อใจเขาแล้ว เลยจำเป็นต้องไปซื้อหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์เหรอ?
ออม : ใช่ค่ะ ความไม่เชื่อใจของหนู หนูเลยโทรหาคนที่เคยร่วมธุรกิจกับเขา เป็นเพื่อนดาราของหนูเหมือนกัน หนูก็ได้รู้ข้อมูลที่หนูไม่เคยถามเขามาก่อนเลยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ว่ามันเกิดปัญหาอะไรเกิดขึ้นเหรอ ทำให้หนูรู้ว่าหนูต้องจัดการหลังจากนี้อย่างไร หนูเลยคิดว่าหนูจะตัดสินใจซื้อหุ้นพี่ศสา 4 เปอร์เซ็นต์ หนูรู้สึกว่าตอนนี้ fleen เหมือนมีกัปตันที่ขับเครื่องบิน 2 ลำพร้อมกัน หนูรู้สึกว่าเฮ้ย กัปตันของ fleen ต้องตั้งใจขับเครื่องบินเพียงลำเดียว หนูรุ้สึกว่าไม่ได้แล้วการทำโปรดักส์นึง ไม่ใช่แค่เราทำออกมาแล้วมันจบ ระหว่างทางปัญหามันมีที่เราต้องแก้ไข คนเป็นกัปตัน ต้องคอนเซนเทรด อยู่ดูแลลูกค้าหรือปัญหาที่เกิดขึ้น สินค้าที่ขายดีของเราบางตัว ก็ไม่ถูกแก้ไขในสิ่งที่หนูอยากให้ทำ
อัง : หลังจากนั้นเราเลยเข้าขอซื้อหุ้นพี่ศสา 24 ม.ค. ปี 68 ค่ะ
คุณซื้อก่อนคุณอัดเสียงเขา 1 วันเหรอ?
อัง : ใช่ค่ะ
แสดงว่าไม่ได้มีการเจรจากับเขาเลยนะ คุณไปซื้อมาก่อนแล้วเหรอ?
อัง : ใช่ค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นเราได้โทรไปสอบถามเขามาก่อนแล้วค่ะ แต่อันนั้นไม่มีคลิปเสียง ซึ่งเขาก็ยอมรับค่ะ
ออม : หนูคุยกับสามีเขา
หลังจากนั้นคุณมาซื้อหุ้น 24 เดือน 1 คุณไม่ได้บอกเขาเลย?
ออม : ไม่ได้บอกค่ะ
วันที่ 25 บอกเขามั้ย?
ออม : ไม่ได้บอกค่ะ
จนเขามารู้เอง?
ออม : ใช่ค่ะ
24 ม.ค. 68 ไปขอซื้อหุ้นจากศสา แต่ไม่ได้บอก วันที่ 25 เรียกเขามาคุยก็ไม่ได้บอก คุณมีอะไรจะแย้งมั้ย?
อัง : จริงๆ เรามีการโทรศัพท์พูดคุยก่อนหน้านั้นแล้ว ตั้งแต่วันที่เราพบว่ามีโลโก้แบรนด์อื่นในของเรา 10 ม.ค. เรามีการยกหูว่าเกิดอะไรขึ้น จะทำใหม่เหรอ แล้วได้รับการยอมรับจากสามีน้องพริมว่าจะทำใหม่จริงๆ ตอนนี้เงินไม่พอ คิดว่าแบรนด์เดียวซัปพอร์ตเขาไมได้ เขาจะทำใหม่อีกแบรนด์นึง เราก็คิดว่า ในเมื่อเขาจะทำใหม่ ก็เลยคิดว่าในเมื่อเขาจะทำแบรนด์ใหม่ ลองปรึกษาพี่ศสาดีมั้ยเพื่อขอซื้อหุ้น พี่ออมก็เริ่มคิดว่าการที่เราจะทำ เราก็ต้องโฟกัสตรงนี้ เลยอยากขอซื้อหุ้นพี่ศสาไปค่ะ
คุณแจ้งศสายังไง คุณบอกเขามั้ยว่าหุ้นขาดทุน จะติดตัวแดงนะ ต่อไปจะลำบาก?
ออม : ไม่มีคำพูดนั้นออกจากปากหนูเลยค่ะ หนูบอกพี่ศสาว่าหนูไม่ไว้ใจน้องแล้ว ในการที่ให้น้องมาบริหาร หนูก็เล่าทุกอย่างแบบที่หนูเล่าวันนี้ให้พี่ศสาฟัง เขาก็เห็นด้วยแบบหนูว่าน้องไม่ควรทำแบบนั้นนะ เขาเลยตกลงขายหุ้นให้กับหนู คำว่าขาดทุนไม่มีแน่นอนค่ะ
ตกลงขายเอง?
ออม : ใช่ค่ะ จริงๆ วันนั้นหนูตั้งใจซื้อเขาในราคา 1 ล้านบาท แต่วันนั้นคุยไปเรื่อยๆ เขาบอกว่าน้องออม พี่ขอ 3 ล้าน จากที่เขาลงทุน 1 แสนบาท หนูก็บอกว่า 3 ล้านมันเยอะไปนะ ก็เลยจบที่ 2.5 ล้านค่ะ ชำระเงินภายในวันนั้นเลยค่ะ และทำสัญญา
ทนายแก้ว : จดทะเบียนเปลี่ยนแปลง บจ5 เรียบร้อย
อัง : เรียบร้อยค่ะ ภายในระยะเวลาปีครึ่ง การที่มีคนๆ นึง ลงทุน 1 แสน ขายหุ้นในราคาที่ซื้อ1 แสนกลับไป ได้มูลค่าเป็น 2.5 ล้าน หนูไม่คิดว่าอันนี้คือการเอาเปรียบ หรือหลอกลวงใดๆ มูลค่าหุ้นตีหุ้นละ 10 บาท ถือ 1 หมื่นหุ้น เป็น 1 แสนบาท
แต่คุณซื้อ 2.5 ล้าน?
ทนายติ่ง : 250 เท่านะ
อัง : ทางพี่ออมไม่เคยพูดเลยว่าเราขาดทุน แค่เล่าความจริงว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในบริษัทเกิดอะไรขึ้น มีผู้บริหารกำลังไปทำอีกแบรนด์นึงนะ พี่ออมอยากเข้ามาเป็นคนดูแลแบรนด์เต็มตัว สามารถตัดสินใจได้เต็มที่ อาจไม่ต้องปรึกษาน้องพริมทุกเรื่องแล้ว เพราะน้องพริมก็มีอีกแบรนด์นึง เรามีหลักฐานทุกอย่างว่าเราไม่เคยพูดแบบนั้น สามารถโชว์หลักฐานได้เลยมั้ยคะ เป็นหลักฐานที่ว่าพี่ศสาทราบอยู่แล้วว่าพี่ศสารู้ว่าบริษัทมีกำไร ไม่ได้ขาดทุน
ศสาบอกว่าตอนซื้อไป ออมบอกว่าบริษัทขาดทุน เปิดแชตที่คุยกัน วันที่เท่าไหร่?
อัง : เข้าวันที่ 25 ค่ะ
เรื่องการปันผลวันที่ 24 ถ้าออมทราบแล้ว ฝากดูแลให้พี่ด้วยนะ ได้ยินพี่ม่อนพูดว่าจะปันผลปี 67 ประมาณก.พ.ปีนี้ พี่ไม่ทราบยอด ไม่ทราบจำนวนเลย ตอนปีใหม่เคยถามเขาไปแล้ว เขาบอกว่าจะปันผล น่าจะยอดมากกว่าเดิมที่เคยปันครั้งแรก พี่ขายหุ้นให้น้องออม ปี 25 แต่การปันผลปี 24 พี่ยังคงได้อยู่ ฝากออมดูให้ด้วยนะลูก ออมบอกว่าเดี๋ยวจะดูให้ ไม่เสียเปรียบแน่นอน?
อัง : การที่พี่เขาทราบแล้วว่ามีเงินปันผลต้องได้ปี 67 แปลว่าพี่เขาทราบว่าปี 67 มีกำไร เพราะปันผลเกิดจากกำไรที่เรามาแบ่งผู้ถือหุ้นทุกคนค่ะ ถ้าพี่เขาทราบแบบนี้แล้ว เขาจะพูดได้ยังบไงว่าพี่ออมไปพูดว่าบริษัทขาดทุน ถ้าบริษัทขาดทุน หนูก็ไม่ทราบว่าพี่ออมจะลงทุนซื้อหุ้นที่มูลค่าแค่ 1 แสนในราคา 2.5 ล้านไปทำไม ถ้าขาดทุน เราก็อยากจะขายหุ้นด้วยค่ะ
ทนายแก้ว : มีเหตุผลครับ ส่วนการซื้อหุ้นเป็นเรื่องความสมัครใจ มันเป็นความพอใจ แต่เรื่องการซื้อหุ้นเท่าไหร่ จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับความความพอใจของทั้งสองฝ่าย
บางทีก็อยากกลับไปทำเรื่องผัวเมียเหมือนเดิม เรื่องธุรกิจโคตรฟังยาก ปวดหัวจริงๆ เมื่อวานทำไปกระแสดีมาก แต่เรตติ้งไม่ดี เหมือนคนไม่อินกับธุรกิจ?
ทนายแก้ว : มันฟังยากครับ
แต่ก็ยังแนะนำว่าฟังไปเถอะ วันนึงคุณจะได้รู้ว่าทางออกคือทางไหน มีวิธีรัดกุมแบบไหน เอาตรงๆ ครั้งนึงผมก็เคยเกิดเรื่องแบบนี้ในชีวิต ไปเสิร์จหาดูได้ เรื่องไอติมยี่ห้อนึงที่ผมทำ เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้เหมือนกัน เอาตรงๆ เข้าใจทั้งสองมุม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องมานั่งไล่ไทม์ไลน์กัน เรื่องราวข้อกฎหมายในเชิงธุรกิจเป็นอีกเรื่องนึง เรื่องจริยธรรมในการทำงานร่วมกันเป็นอีกเรื่องนึง สุดท้ายวันนี้ตัวน้องเองข้อกฎหมายอาจไปได้ แต่มุมจริยธรรม อาจทำให้สังคมเคลือบแคลงใจได้?
อัง : จะมีคลิปเสียงพี่ศสาหลังขายหุ้นแล้วได้โทรมาสอบถามอีกทีค่ะ อันนี้เป็นเหตุผลเลยว่าทำไมเราต้องมีสัญญารักษาความลับกับพี่ศสา มีสองคลิปค่ะ
คุณเอามาหมดเลย ออม สุชาร์ เรคคอร์ด คลิปเสียงบอกอะไร?
อัง : พี่ศสาโทรหาพี่แอมป์ มีการแจ้งว่าหลังจากที่พี่ศสาได้ขายหุ้น เขามีการมาร้องขอเพิกถอนการเพิกถอนการซื้อขายหุ้น บอกว่าพี่ออมไปฉ้อฉลเขา หลอกลวงเขา เขาบอกว่าเขาจะจบทุกอย่างให้เลย เขาจบเอกสารได้เลย เขาขอแค่อย่างเดียว จ่ายเขาได้มั้ย
เปิดฟังอีกรอบ ยับ?
ออม : หนูจ่ายเขาไปแล้ว 2.5 ล้านนะคะ
พูดง่ายๆ ศสาขอเงินเพิ่ม แล้วจะเอาตัวเองออกไป ไม่เป็นพยานให้ฝ่ายไหนเลย ถูกมั้ย?
ออม : ใช่ค่ะ
อัง : ตามที่ได้ยินเลยค่ะ คำพูดของคนเราบิดเบือนไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ทราบพี่ศสาอยากให้ช่วยอะไร อยากให้เมตตาอะไร อยากให้จ่ายอะไร หนูก็ไม่ทราบ ถ้าถาม่วาจำนวนเงินที่ศสาพูดมาเท่าไหร่ มีด้วยค่ะ แต่เราไม่อยากเปิด
มีด้วยว่าจะขอเท่าไหร่?
อัง : แต่เราไม่ได้อยากเปิดค่ะ
เขียนตัวเลขที่ขอได้มั้ย?
อัง : (เขียนตัวเลข) ไม่ได้มากมาย แต่ก็ทำให้รวมๆ กันแล้วเยอะค่ะ
นี่มุมตัวศสา คุณเอาตัวนี้มาหักล้างว่า ศสารู้ทุกอย่างว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้บอกศสาว่าบริษัทขาดทุน เพราะศสาขอปันผลต่างๆ นานา ถ้าปันผลแสดงว่าไม่ได้ขาดทุนหรอก สองคุณจะบอกว่าศสาคือตัวแปรอีกตัว ถ้าไม่ได้เงินเขาจะเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้ แล้วพอเขาไม่ได้ เขาก็เข้ามามีบทบาทจริงๆ แต่จะเป็นเรื่องไหน ไปคิดเอาเอง?
อัง : เขามีบทบาทเรียบร้อยแล้วค่ะ เขาบอกว่าถ้าอยากให้พี่ถอนบทบาทนี้ พี่จะเซ็นกลับไปให้
คุณมีคลิปทั้งหมด?
อัง : ใช่ค่ะ ตอนนี้วันนี้เราขอแค่พูดในเรื่องจริงแค่นั้นพอค่ะ
ทนายแก้ว : ทนายฟ้องค้าแข่งไปแล้ว
ทนายติ่ง : เราฟ้องเขา 2-3 คดี เขาฟ้องเรากลับมา 5-6 คดี ไล่โดยสรุปนะครับ เรื่องแรกเขาฟ้องเพิกถอนการที่เราประชุมเปลี่ยนกรรมการ ว่าเปลี่ยนกรรมการโดยไม่ชอบ คัดชื่อออก โดยใช้เหตุผลว่าต้องใช้เสียงศสาในการโหวต แต่เราถือว่าศสาออกไปแล้ว เราซื้อเขาแล้ว นี่คือคดีแรก ต่อมาเราก็ฟ้องคุณศสาว่าเปิดเผยข้อมูลที่ต้องรักษาเป็นความลับ
คุณซื้อวันนั้น 2.5 ล้าน ได้หุ้น 4 เปอร์เซ็นต์ ทวีคูณไป 200 กว่าเท่า ประเด็นถัดมา การซื้อขายหุ้น ทำไมต้องทำสัญญาออกมาด้วย เพื่อให้ศสาปกปิดห้ามบอกเรื่องนี้กับคนอื่นหรือพริม?
อัง : คนทำสัญญาคืออังเอง อังทำสัญญาให้สองฝั่งมาเซ็นกัน อันนี้เป็นข้อคิดเห็นของอัง เนื่องจากอังมีบทบาทหน้าที่ในบริษัทอยู่แล้ว ด้วยการทำหน้าที่อีคอมเมิร์ชเมเนเจอร์ เราทำเกี่ยวกับเรื่องการขายสินค้า เรารู้ทุกอย่างว่าแผนการตลาดบริษัทเรา มีไทม์ไลน์ในการออกสินค้าอะไรบ้างในปีนี้ สิ่งที่เราพบ เราพบม.ค. จริงๆ ก.พ.เรามีแผนการออกสินค้าคือตัวลิปสติกที่เรามีการไปถ่ายแบบไว้แล้ว ตัวนี้เราก็คิดว่าเราไม่อยากให้เกิดปัญหาภายในของหุ้นส่วน ทำให้มันกระทบกับบริษัท แผนไทม์ไลน์การเปิดตัวสินค้าอาจต้องเลื่อนออกหรือเปล่า เราไม่อยากให้มันกระทบ เบื้องต้นเราอาจรู้จักพี่ศสาด้วยว่าเขาเป็นอย่างไร อย่างที่ทุกคนได้ฟังคลิปเสียง เราคิดว่าเราขอปกป้องตัวเองไว้ก่อนได้มั้ย ในการที่ไม่อยากให้พี่ศสาไปพูดเรื่องนี้ แล้วการที่เอ็นดีเอ ไม่ใช่เราจะปกปิดว่าพี่ศสาขายหุ้นให้เรา ตัวนั้นมันเป็นเอกสารที่เปิดเผยอยู่แล้ว ทางกรมพัฒนา ทุกคนสามารถคัดได้ว่าใครเปลี่ยนหุ้นให้ใคร
แล้วจะทำทำไมอีก?
อัง : ข้างในมีข้อมูลความลับ ข้อมูลส่วนตัว ยอดเงินที่เราซื้อค่ะ
ทนายติ่ง : เมื่อวานมีประเด็นว่าสัญญานี้ทำได้เหรอ ใครเป็นผู้ถือหุ้นต้องเปิดเผย ใช่ เซ็นสัญญาโอนหุ้นปุ๊บ หุ้นมาเป็นของคนซื้อปั๊บ แต่จะมีสิทธิ์บริบูรณ์ได้ ต่อเมื่อไปลงทะเบียนในสมุดบัญชีประจำบริษัท ไปยื่นบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่กระทรวงพาณิชย์ อันนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเปิดเผย ถ้าผู้ถือหุ้นอยากมีสิทธิ์สมบูรณ์ก็ไปจัดการตรงนี้ซะ แต่ในส่วนเงื่อนไขสัญญา ยกตัวอย่างราคาซื้อขาย เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย เพราะถ้าเปิดเผยอาจเสียหาย
พี่ทนาย ออม อัง กำลังจะบอกว่าสัญญาฉบับนั้นทำขึ้นมาเพื่อปิดบังมูลค่าตัวเลข บอกด้วยมั้ยห้ามไปบอกคนนั้นคนนี้ว่าขายหุ้นไปแล้ว?
ออม : ตอนนี้ปัญหาในบริษัทมันเยอะมาก หนูไม่อยากให้ประเด็นนี้กลายเป็นปัญหาที่หนูกลัวว่าจะเกิดขึ้นกับบริษัท ซึ่งหนูกำลังจะออกลิปสติก หนูไม่อยากให้บริษัทเสียหาย
ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนี้ คุณสั่งห้ามไม่ให้เขาบอกคู่ค้าด้วยกันเองหรือเปล่า?
ออม : สิ่งที่หนูกลัว ได้เกิดขึ้นจริงๆ ณ วันที่เขารู้ ว่าหนูซื้อหุ้นจากพี่ศสา ไฟล์บริษัทที่เป็นงานบริษัทหายไป โฆษณาลิปสติกที่หนูถ่ายตั้งแต่เดือนธ.ค.หายไป ซึ่งไม่ทราบว่าใครเป็นคนลบไปเหมือนกัน นั่นคือความเสียหายที่เกิดขึ้นในบริษัท หลังจากที่เขารู้ว่าหนูซื้อหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์
ได้ระบุในสัญญาใช่มั้ย ว่าห้ามให้ศสาเอาเรื่องซื้อขายหุ้นไปบอกฝั่งพริม?
อัง : ในสัญญามีระบุว่าทั้งสองฝ่ายห้ามไปบอกใคร ไม่ใช่ศสาห้ามบอกพริม สองฝ่ายห้ามไปบอกใครนะ เป็นช่วงระยะเวลานึงค่ะไม่ใช่ตลอดไป เราไม่อยากเกิดการทะเลาะ ถ้าบอกพริม หรือบอกท่านอื่น ข้อมูลอาจรั่วไหล
ทนายแก้ว : ห้ามเปิดเผยเรื่องมูลค่าซื้อขาย สองห้ามคู่สัญญาสองฝ่ายไปเล่าหรือพูดให้บุคคลที่เป็นผู้ถือหุ้นทราบ ถ้าบอกแล้วจะมีสภาพบังคับอย่างไรครับ
อัง : จะมีค่าปรับค่ะ
ศสาโทรมาขอโฟนอิน มีอะไรอยากชี้แจง?
ศสา : จริงๆ แล้วเรื่องคลิปเสียง มันเกิดขึ้นหลังจากเราเจอปัญหาเยอะมาก เราเลยโทรไปปรึกษาพี่แอมป์ จริงๆ พอจะรู้จักกันมานานแล้วโทรไปปรึกษาว่าเจอเรื่องราวแบบนี้ ตัวพี่เอง ก็ถูกซื้อหุ้นไป ตอนนั้นไม่รู้ว่าราคาควรเป็นเท่าไหร่ เพราะไม่เคยเห็นว่าแวลู่บริษัทมีเท่าไหร่ แล้วการที่ซื้อหุ้นพี่ไป 2.5 ล้าน พี่ตกลงไปชัดเจน แต่หลังจากรู้ว่าบริษัทไม่ได้เหลือ 3 ล้าน ไม่ได้แย่ บริษัทมีกำไรด้วยซ้ำ ก็เลยมาปรึกาาปลายทางกับพี่แอมป์ว่าถ้าเป็นไปได้ อยากขอเอกสารใบนึงที่สำคัญมาก เอกสารใบนี้คือตราสารการโอนหุ้นที่พี่ยังไม่ได้ส่งให้เขา เพราะมีเรื่องราวว่าเขาให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง บริษัทไม่ได้เหลือเงิน 3 ล้านตามที่น้องเคยพูด พี่เลยบอกว่าถ้าพี่ต้องเซ็นเอกสารใบนี้ แต่ขอให้จ่ายเงินพี่เพิ่มได้มั้ย เพราะพี่ไม่รู้แวลู่บริษัทเลย มารู้ทีหลังว่าบริษัทขายได้ 46.9
ล้าน พี่เลยบอกเขาว่าบริษัทมีกำไรนะ ให้พี่เพิ่มได้มั้ย แล้วพี่จะเซ็นเอกสารใบนี้ให้
จะแย้งอะไรมั้ย?
อัง : ตอนนั้นไม่มีใครทราบงบการเงินบริษัทนะคะ งบการเงินของบริษัทส่วนใหญ่จะปิดเมื่อปีที่แล้วคือเม.ย. ตอนนั้นที่เราซื้อขายเป็นม.ค. ไม่มีใครรู้งบการเงิน และบริษัทของ fleen ที่น้องพริมเป็นผู้บริหาร ไม่เคยมีการสรุปว่าเรามีกำไรต่อเดือนเท่าไหร่ เรารู้รายได้นะ แต่ว่ารายได้ไม่ได้บอกทุกอย่าง เพราะบริษัทมีรายจ่ายเยอะมาก ไม่ได้บอกว่าเราเหลือเงินเท่าไหร่ ส่วนนี้ไม่มีใครทราบเลยค่ะ แต่ถ้าพี่ศสาและน้องพริมอยากทราบ น้องพริมตอนนี้ได้รับงบการเงินของปีที่แล้วเรียบร้อยแล้ว ได้ไปตั้งแต่ส.ค.แล้วค่ะ ถ้าน้องพริมไม่ได้พูด เดี๋ยวทางนี้พูดให้ค่ะ ว่ากำไรเหลือเท่าไหร่
ทนายแก้ว : คำถามเขาคือตอนที่คุณมาเสนอขาย 2.5 ล้าน เขาไม่ทราบงบการเงิน
อัง : เราก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ทนายแก้ว : แต่คุณเป็นผู้บริหารฝั่งสินค้าใหญ่ น้องอังต้องรู้รายได้ดีกว่าฝั่งนี้สิครับ
อัง : แต่คนที่ทำเรื่องรายได้หลังบ้านเป็นน้องพริม พี่ออมอยู่ในพาร์ตมาเก็ตติ้ง ไม่ได้ดูตัวเลข ไม่ได้เข้ากูเกิ้ลไดร์ฟของบริษัทด้วยซ้ำ คนที่เจอคืออังด้วยซ้ำค่ะ เราไม่เคยมีการสรุปรายเดือนกันเลย
งบการเงินคุณไม่รู้ คนรู้คนเดียวคือพริม?
อัง : พริมเป็นคนบริหารเรื่องนี้
ออม : ณ ตอนนั้นคิดว่าทั้งออมและพริมไม่มีใครรู้ว่าได้กำไรจริงๆ เท่าไหร่ เพราะยังไม่ได้ปิดงบค่ะ มันเป็นการคุยในช่วงที่ยังไม่ได้ปิดงบค่ะ
ทนายแก้ว : แต่ปี 66 67 เราประเมินไม่ได้เลยเหรอ
อัง : 66 ประเมินได้อยู่แล้วค่ะ เพราะ 66 มีงบการเงิน แต่พอสิ้นปี 67 ม.ค.-ธ.ค. 67 ช่วงเวลาของบัญชีที่เขาจะทำยอดตรงนี้ ต้องมีช่วงเวลาตามกฎหมาย การส่งงบของปีที่แล้ว ต้องส่งภายในเม.ย.ปีหน้า ก็เลยยังไม่มีใครทำตรงนี้
ทนายแก้ว : เรากะไม่ได้เลยเหรอ
อัง : ไม่ได้ค่ะ ถ้าลองดูตัวเลขดู หนูอาจกะผิดด้วยซ้ำ ลองไปดูตัวเลขค่ะ
ออม : หนูไม่รู้ว่าหนูซื้อถูกหรือซื้อแพง ณ ตอนนั้น
อัง : งบกำไรขาดทุนของปี 67 ได้กำไร 6 ล้าน ไม่ทราบว่าเป็นบริษัท 100 ล้านอย่างไร ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ
คุณตั้งคุณเป็นพรีเซ็นเตอร์ 9.5 ล้านนะ?
ออม : การจัดทำพรีเซ็นเตอร์ขึ้นมา หนูอยากให้เขาได้รู้มูลค่าในตัวศิลปินดาราที่ชื่อออม สุชาร์ สินค้า fleen บิวตี้ มีทั้งหมด 6-7 ตัวนะคะ อยากให้รู้ว่ามูลค่าของหนูมีมูลค่าเท่าไหร่
9.5 ล้านนี่กี่ตัว บางคนตัวเดียว 10 ล้าน บางคนตัวเดียว 15 ล้าน บางคนตัวเดียว 3 ล้าน ของคุณ 9.5 ล้าน กี่ตัว?
ออม : 7 ตัวค่ะ 7 สินค้าค่ะ 7 โปรดักส์ค่ะ เฉลี่ยทั้งหมดคือ 9.5 ล้านค่ะ
เท่ากับค่าตัวคุณคือ 1 ผลิตภัณฑ์ 1.5 ล้าน?
ออม : สำหรับ fleen บิวตี้ นะคะ สำหรับบริษัทอื่น ออม สุชาร์ ไม่ได้รับราคานี้
ศสา : ตอนที่ตกลงกันตั้งแต่แรกเลย ตอนชวนออมมาทำ พี่ศสาเป็นคนบอกไปด้วยว่าเรามาทำด้วยกัน เราจะไม่มีค่าตัวพรีเซ็นเตอร์นะ เราคุยกันชัดเจนตั้งแต่วันแรกเลยนะน้องออม มาลงหุ้นกัน ออมกลงทุนด้วย ร่วมกันทำ ถ้าเราต้องมาจ่ายค่าตัวพรีเซ็นเตอร์ พี่กับพริมคงไม่ได้มาทำด้วย เพราะตอนแรกที่เราเลือกหนูให้มาทำด้วย เราจะต้องไม่มีค่าตัวพรีเซ็นเตอร์กัน นี่คือตกลงกันตั้งแต่เดย์วันเลย
อัง : เมื่อกี้เรายังคุยเรื่องเงินไม่จบ พี่ศสาขอเรียกเพิ่ม เพราะเห็นว่าบริษัทมีกำไรเยอะ ก็เลยอยากขอเพิ่ม นี่คือกำไรที่หนูโชว์ไปค่ะ
ศสา : พี่ไม่เคยรู้เรื่องตัวเลข เพราะพี่เข้าไปดูไม่ได้ พี่ได้ข้อมูลจากอีกฝั่งว่าบริษัทได้รายได้ เพราะเดือนที่อังกับออมซื้อหุ้นพี่ เป็นเดือนม.ค. ซึ่งขายได้ไป 10 กว่าล้านแล้ว พอได้รับข้อมูลตรงนี้ ก็เลยคิดว่าถ้าจะเอาใบหุ้นตราสารการโอนหุ้นที่มีค่ามากไป ก็ขอให้เพิ่มให้พี่หน่อยได้มั้ย เพราะถ้าพี่ออกจากธุรกิจนี้ไป มันเป็นธุรกิจที่พี่ก็อยากมีส่วนร่วม ถ้าพี่ต้องออกจากภาพนี้ไป เพิ่มเงินให้พี่หน่อยได้มั้ย พี่ไมได้โลภหรืออะไร แต่พี่ไม่รู้ตัวเลขจริงๆ พี่แค่อยากปกป้องตัวเองว่าบริษัทมีแวลู่
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ การที่ศสาไปอยู่ฝั่งโน้น เพราะศสาไม่ได้เงินจำนวนนึงที่ศสาไปขอเขาหรือเปล่า?
ศสา : ไม่ใช่ค่ะ หนูอยากจบเรื่องนี้ เพราะหนูปวดหัว หนูเป็นตัวกลางที่คุยกับคุณแอมป์ น้องออม คุยกันหลายๆ เรื่อง ก็บอกว่าถ้าอยากให้พี่ออกจากตรงนี้ เพราะตอนนั้นมันเหนื่อยล้าแล้ว ไม่รู้จะตกลงกันยังไง แล้วหนูยืนยันว่าหนูไม่ใช่คนที่จะมามีเหลี่ยมหรืออะไรค่ะ หนูอยากให้เรื่องนี้ผ่านไปด้วยดี พอเกิดปัญหาเกิดขึ้น หนูคิดว่าออกจากตรงนี้ดีกว่า ไปทำมาหากินอย่างอื่นเถอะ หนูก็บอกว่าให้พี่มาได้มั้ย หนูไม่ได้เป็นคนจะไปโลภมากหรืออะไรนะคะ แต่ไม่รู้ว่าภาพรวมคืออะไร เพราะเช็กเงินสดบริษัทไม่ได้ รู้แค่ว่าม.ค. ขายไปได้ 10 กว่าล้านแล้วค่ะ า
ออม : พี่ศสาคิดว่า 2.5 ล้านมันน้อยไปใช่มั้ยคะ
ศสา : ไม่ได้คิดว่ามันน้อยไป แต่คิดว่าบริษัทมีแวลู่ มีคุณค่าของมัน ถ้าพี่จะออกจากตรงนี้่ ที่พี่มองไว้ว่าพี่จะอยู่ยาวๆ หลายปี เหมือนที่ออมบอกพี่ว่าเราจะอยู่ด้วยกันนานๆ จนกว่าจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้
ออม : แต่พี่ศสาบอกว่าหนูพูดว่าขาดทุน
ศสา : พี่ไม่ได้บอกว่าขาดทุน คำว่าขาดทุนเป็นเรื่องที่เราคุยกันว่า ถ้าเหลือเงินอยู่ 3 ล้าน ถ้าปล่อยให้พริมบริหารต่อ บริษัทอาจถึงวันขาดทุนได้ ประมาณนี้
อัง : แต่ในคำฟ้องที่พี่ศสาฟ้องพี่ออมมา เขียนชัดเจนว่าพี่ออมแจ้งว่าขาดทุน ขอแจ้งตรงนี้นะคะ
ศสา : จะยังไงก็แล้วแต่ พี่ไมได้เก่งเรื่องการใช้คำพูด หมายถึงว่าบริษัทจะขาดทุน ถ้าพริมดูแลต่อ ถ้าขายหุ้นพี่ไป บริษัทจะได้ดีขึ้น
ศสายืนยันว่าวันที่เราขายหุ้น เจตนาเราฟังมาว่าบริษัทขาดทุน?
ศสา : เหมือนบอกว่ามีเงินเหลือในบัญชี 3 ล้าน หนูก็ถามน้องออมกลับไปว่าน้องออมไม่รู้เลยเหรอว่ารายได้ปี 2024 มันเท่าไหร่
ถามง่ายๆ เลย ขายหุ้น 2.5 ล้าน ขายทำไม?
ศสา : ตอนนั้นเจตนาเรากลัวด้วย ถ้าบริษัทจะไปไม่รอด เราเป็นหนี้อีก เราขายไปก่อนก็ได้ อยากให้น้องออมแก้ปัญหาเคลียร์ไปได้ อีกใจนึงถ้าบริษัทไปได้ไม่ดีแล้วก็ขายไปเถอะ อย่างนี้ค่ะ ขายไปก่อน ถ้าบริษัทไปไม่รอด หนูต้องมาแบกรับภาระหนี้สินอีก ในเปอร์เซ็นต์ที่หนูถืออยู่
การที่คุณเข้าใจว่าบริษัทน่าจะไปไม่รอด ก็เลยจำเป็นต้องขาย คุณรู้ได้ไงว่าไม่รอด คำว่าไม่รอด คุณรู้จากใคร?
ศสา : ตอนคุยกัน น้องออมขอซื้อหุ้นหนู 4 ม.ค. มีข้อมูลมากมายค่ะ ตั้งแต่ทุ่มนึงจนเกือบตีสอง หนูฟังอะไรมาเยอะมากในวันนั้น มันเหมือนยังไงเราก็ต้องขายหุ้น มันถูกลากยาวมา แล้วเราก็ต้องขายไป ถ้าบริษัทไปไม่รอด เราก็มีความเสี่ยงด้วย เพราะเขาเองเป็นคนบอกว่าถ้าปล่อยให้พริมบริหารต่อมันไม่ได้แล้ว พี่ศสาต้องขายหุ้นให้ออม เพราะพี่แอมป์จะไปคุยกับพริม ต้องไปเจรจากับฝั่งโน้น ออมต้องได้หุ้นพี่ศสาไป ตอนนั้นบริษัทดูท่าทางไม่ดีแล้ว ถ้าขาดทุนมาเราจะแบกรับยังไง
ทนายแก้ว : ต้องแบกรับยังไง บริษัทจะล้มก็ล้มในนาม ไม่เกี่ยวกับกรรมการอยู่แล้วนี่ครับ
ศสา : ตอนนั้นคิดแค่ว่าถ้าบริษัทขาดทุน เราต้องมารับภาระเรื่องหนี้สินด้วยหรือเปล่า ประมาณนี้ค่ะ
อัง : ถ้าบริษัทขาดทุนก็ไม่อยากยุ่งแล้ว แต่ตอนนี้บริษัทมีกำไร ก็อยากได้เงินเพิ่มเหรอคะ
ศสา : มันไม่ใช่อย่างนั้น ตอนที่พี่คุย พี่ถือหุ้นอยู่ พี่อยากอยู่ยาวๆ พี่อยากมีธุรกิจที่อยู่ไปได้ยาวๆ อยากมีส่วนร่วมในการทำธุรกิจไปยาวๆ แค่นั้น ไม่ใช่ขายไปแล้วจบไปแบบตัวเลขที่ไม่รู้ความจริงว่ารายได้คือเท่าไหร่ วันนั้นพี่เลยต้องขอไปว่าขอให้เพิ่มได้บ้างมั้ย และเกริ่นไปเรื่องปันผล ถ้าอยากให้ออกจากตรงนี้จริงๆ หรือให้จบจริงๆ ขอให้เอาปันผลมาแบ่งได้มั้ย
ทนายแก้ว : คุณศสาเคยได้เงินปันผลมาก่อนมั้ย
ศสา : เคยได้ครั้งแรก เป็นเงินปันผลของปี 23 แต่เอามาปันกลางปี 24 ค่ะ ตอนนั้นได้มาแสนนิดๆ ค่ะ
ศสาต้องการชี้แจงว่าอะไร?
ศสา : การที่หนูโทรไปหา เอาคลิปเสียงออกมา เรามองแค่ว่าเจตนาตอนนั้นเราไม่รู้ข้อเท็จจริงเรื่องรายได้ เราแค่ถามเขาไปว่าพอให้พี่เพิ่มได้มั้ย อยากชี้แจงว่าเราไม่ใช่คนโลภจะเอาเงินเพิ่มหรืออะไร เราอยากปกป้องสิทธิ์ตัวเองแค่นั้น ชาวเน็ตบอกว่าเราเป็นนกสองหัว ลิ้นสองแฉก จริงๆ มันไม่ใช่ค่ะ เจตนาอยากให้ทุกอย่างออกมาด้วยดี แค่นั้นเอง
อัง : ถ้าพี่ศสาทราบแล้วว่างบการเงินออกมา มีกำไร 6 ลาน พี่ศสาได้รับเงินไป 2.5 ล้าน พี่ศสาคิดว่าพอใจหรือเหมาะสมมั้ยคะ พี่ออมให้น้อยไปมั้ยคะ
ศสา : มันไม่ใช่น้อยไปหรืออะไร พี่ก็โอเคแหละ ตอนนี้พี่ไม่รู้งบที่ถูกต้อง พี่เคยถามพริมไปแล้ว พริมบอกว่างบยังไม่เสร็จ ไม่ใช่ๆ พี่ไม่รู้เรื่องบัญชี ไม่รู้ว่ารายได้ที่ผ่านมามีเท่าไหร่ แต่ถ้าตอนนี้มีอยู่ 6 ล้าน สิ่งที่พี่ได้มา พี่ไม่รู้ว่าจะเหลือ 6 ล้านจริงมั้ย พี่ไม่รู้รายละเอียดตรงนั้น
อัง : อันนี้เป็นงบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบจากออดิดแล้วค่ะ ตอนนั้นโอเคไม่มีใครรู้ แต่ตอนนี้ทุกคนรู้แล้ว ประเมินว่าเงินที่ได้แล้ว 2.5 ล้าน และงบที่เปิดเผย ที่ทุกคนทราบแล้ว ไม่ทราบว่าโอเคมั้ยคะ
ศสา : ถ้างบที่เปิดเผยและเป็นความจริง เป็นงบจากเงิน 46.9 ล้าน แล้วเหลือ 6 ล้าน พี่ก็พอที่จะเข้าใจได้ค่ะ พี่ไม่ได้มองว่าพี่ได้น้อยไปหรืออะไร แต่สิ่งที่เคยขอไป เพราะพี่ไม่รู้เลยว่างบมันเท่าไหร่ รู้แค่ว่าขายได้ 46.9 ล้าน เดือนม.ค.ขายได้ 10 กว่าล้าน ตอนนั้นที่หนูขอไปเพราะได้ข้อมูลมาว่าบริษัทได้กำไรเยอะมาก
ออม : ได้ข้อมูลจากใครคะ
ศสา : จากฝั่งทางนี้แหละค่ะ เขาให้ข้อมูลว่าบริษัทขายได้หลายสิบล้านะคะ
ออม : แล้วสิ่งที่พี่ได้ พี่มองว่าถูกไปเหรอคะ
ศสา : พี่ไม่ได้มองว่าพี่ถูกไปแต่ตอนนั้นตัวเลขพี่ไม่รู้
ออม : หมายถึงว่าฝั่งนั้นเขามองว่าราคานี้ไม่เหมาะสมกับพี่เหรอคะ
ศสา : ไม่มีใครมองอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ สรุปง่ายๆ คือว่าตัวพี่เอง พี่ไม่รู้เรื่องการเงินใดๆ เลย ไม่รู้ว่าแต่ละเดือนขายได้เท่าไหร่ พี่แค่มารู้ปลายทาง รู้ข้อมูลแค่ว่า ขายได้ 46.9 ล้าน ณ ตอนนั้น พี่เลยมองว่าการที่พี่จะเสียหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์ไป มันขายได้เยอะขนาดนี้ พี่ควรได้เพิ่มบ้าง พี่ก็ไม่ได้ขออะไรที่มันน่าเกลียด ถ้าจะออกจากธุรกิจนี้ไปเลยค่ะ ถ้าธุรกิจนี้ขายได้ดี พี่ก็จะได้อยู่ได้เรื่อยๆ
อัง : ก็โอเคแหละค่ะ พี่ออม ตอนนั้นพี่ศสาอาจไม่เข้าใจ ถ้าตอนนี้พี่ศสาเข้าใจแล้วก็โอเคแล้วค่ะ
ศสา : ค่ะ อยากบอกว่าพี่ไม่ได้ต้องมาโลภ หรืออะไร ไม่ใช่ ตอนนั้นแค่อยากปกป้องสิทธิ์ตัวเองว่าถ้าจะเอาตราสารการโอนหุ้นไป 4 เปอร์เซ็นต์ ควรมีเพิ่มให้พี่ได้มั้ยค่ะ
ทนายติ่ง : แสดงว่าคุณไม่ติดใจจะเรียกเงินพิ่มแล้วใช่มั้ย
ศสา : จริงๆ แล้วหนูไม่ได้จะติดใจอะไรตรงนั้น หนูขอแค่ความถูกต้อง ความจริงทุกอย่าง ต่างคนต่างมีเหตุผลของแต่ละฝ่าย หนูไม่มีเจตนาให้สองฝั่งต้องมาเป็นแบบนี้กันค่ะ ถ้าเรื่องบานปลายมาถึงทุกวันนี้ เพราะความที่เราคุยแล้วมันไม่ลงตัว
ทนายติ่งบอกว่า ณ วันนี้คุณไม่ติดใจที่จะเอาเงินแล้วใช่มั้ย?
ศสา : หนูขอปรึกษาก่อนค่ะ ณ วันนี้หนูไม่รู้เรื่องตัวเลข แต่ถ้าหนูรู้เรื่องตัวเลขเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มาจากออดิด 6 ล้าน หนูก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่ถ้าดำเนินการทางกฎหมายไปในหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์นี้ หนูก็ยังยืนหยัดอยู่ว่า ยังไงแล้วก็อยากได้ 4 เปอร์เซ็นต์คืน และคืนเงิน 2.5 ล้านให้น้องออม
เมื่อวานศสาบอกว่าพอขายหุ้นไปแล้ว มารู้ทีหลังว่ามันไม่ได้ขาดทุน เลยเสนอเงิน 2.5 ล้านคืนออม?
ศสา : ใช่ค่ะ พอรู้ว่าบริษัทไม่ได้ขาดทุน ก็ทำเรื่องไปว่า ขอคืนเงิน 2.5 ล้าน และขอเปอร์เซ็นต์กลับ มาและขอปันผล เพราะเรารู้สึกว่าเราขายหุ้นไปปี 2025 ทำไมในปี 2024 เราจะไม่ได้ปันผล ทีนี้ก็เลยโทรไปคุยกับคุณแอมป์ คุณแอมป์บอกให้ไปดูผู้ถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่มีสิทธิ์ได้ปันผล เราก็แจ้งคุณแอมป์ไปว่า น้องออมกับพริมเปิดบริษัทเป็นบริษัทธรรมดาไม่ใช่เหรอ ทำไมพี่ถึงไม่มีสิทธิ์ได้ปันผล เรามองในมุมความถูกต้องว่าเราขายหุ้นไปปี 2025 ทำไมปันผลปี 2024 เราถึงไม่ควรได้รับ พอคุยกับพี่แอมป์ พี่แอมป์ก็บอกว่าขอกลับไปคุยกับออมก่อน แล้วก็โทรกลับมาว่า พี่ควรได้ปันผล เพราะออมก็ตกลงกับพี่ไปแล้ว แต่ก่อนได้ปันผล พี่ต้องมาเซ็นเอกสารตราสารโอนหุ้นให้กับทางเรา วันนั้นพี่ไปถ่ายงานตั้งแต่ตีห้า วันนั้นพี่ลื่นล้มด้วย พี่เลยไปไม่ได้
ประเด็นหลักๆ คุณซื้อ 4 เปอร์เซ็นต์ ศสาก็เป็นตัวแปรสำคัญ ทำไมไม่คิดบอกพรีม?
ออม : เพราะคิดว่าอาจเกิดความเสียหายกับบริษัทได้ค่ะ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ พอเขารู้
เขารู้เอง?
ออม : หนูไม่ทราบ เขาอาจรู้จากพี่ศสา
มีคลิปนึงที่ออมบอกว่าไม่ต้องโทรหรอก เพราะซื้อมาแล้ว?
ออม : ค่ะ เป็นบทสนทนานึงในการมีตติ้งนั้นค่ะ
อัง : ถ้าอยากโชว์ โชว์เต็มๆ ได้เลย
ออม : 9.5 ล้าน เป็นราคาพรีเซ็นเตอร์หนู ซึ่งหนูไม่ได้ทำจ่ายตัวเอง หนูไม่ได้เงินตรงนี้ แต่หนูอยากทำขึ้นมาเพื่อให้บริษัทเห็นว่าจริงๆ แล้วบริษัทมีต้นทุนแฝงอะไรบ้าง ก่อนที่บริษัทจะได้กำไรเท่านี้ เข้าใจมั้ยคะ เพราะมันอยู่ในขั้นตอนประเมินมูลค่าบริษัท เวลาเขาประเมิน เขาต้องรู้ว่าบริษัทมีต้นทุนอะไรบ้างจริงๆ ถ้าไม่เป็นหนู บริษัทก็ต้องไปจ้างพรีเซ็นเตอร์ หรือมาร์เก็ตติ้งต่างๆ ในการเอาไปบริหารบริษัทเหมือนกัน
รับเงินจริงมั้ย?
ออม : ไม่ได้รับจริงค่ะ ตั้งเป็นตัวเลขให้เห็นว่ามูลค่าของเราคือเท่าไหร่
ทนายแก้ว : บริษัททำรายจ่ายขึ้นมาจ่ายเรายังไง
ออม : ไม่ได้จ่ายค่ะ ทุกวันนี้หนูไม่เคยได้เงิน หนูไม่มีเงินค่าตัวพรีเซ็นเตอร์นะคะ
ทนายติ่ง : เขานำเรื่องเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทให้รับทราบ ให้สัตตาบรรณในสิ่งที่คุณออมทำงานไปแล้ว ไปเล่นติ๊กต๊อกอะไรไปแล้ว ส่วนเรื่องการทำสัญญา การจ่ายเงิน ยังไม่มีการเกิดขึ้น เพราะว่ายังไม่ได้ทำสัญญากัน ในสัญญาเรากำหนดเงื่อนไขว่าต้องให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติเท่านั้น เราถึงจะยอมทำสัญญาได้ เพราะเราก็กังวลเหมือนกันว่าทำสัญญากับเขา เดี๋ยวโดนฟ้องอีกว่าทุจริต ฉะนั้นเรายังไม่ทำอะไรทั้งนั้น
คุณไม่บอกฝั่งพริมเรื่อง 4 เปอร์เซ็นต์ จนเขามารู้เอง จากนั้นเริ่มเป็นเรื่องใหญ่ คุณเอาคุณแอมป์มาเกี่ยว?
ออม : พี่แอมป์เขาเป็นแฟนหนู ดาราไม่ค่อยรู้เรื่องธุรกิจมากมายอะไรหรอกค่ะ เราก็ต้องมีที่ปรึกษา เขาเป็นแฟนหนู ทางน้องพริมเขาก็มีสามีเขาเป็นที่ปรึกษา หนูคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติมากเลย ที่หนูจะมีที่ปรึกษา และเขาก็เป็นแฟนหนู
แต่มีอยู่อันนึง อยากให้ออมกับคุณแอมป์ช่วยตอบ มีประเด็นที่คุณแอมป์เอง พูดในคลิปของศสาว่าผมไม่เกี่ยวเลย พี่มาขอผมได้ยังไง แต่มีคลิปนึง ซึ่งก็หักล้างได้เหมือนกัน เพราะการที่เอาตัวพริมออกจากกรรมการ คนที่สั่งกลายเป็นคุณแอมป์ ปรากฎเสียงตามนี้ คุณแอมป์บอกว่าเขาเป็นคนปลดคุณพริมออกเอง?
อัง : คลิปนี้่มีคนนั่งอยู่ประมาณ 10 คน เราแบ่งเป็นสองฝั่งแล้วค่ะ ว่าเรื่องเกิดขึ้นแล้ว จะเอายังไง คุณจะขายหุ้นซื้อหุ้น เป็นการดีลซื้อขายหุ้นกันในที่ประชุม คำว่าผม หมายถึงฝั่งเรา สามารถทำแบบนี้ได้นะ คลิปเสียงนี้ 30 มี.ค.ค่ะ หนูก็มีเหมือนกัน คลิปเต็ม
ทำไมคุณแอมป์พูดแบบนี้?
ออม : ตั้งแต่เขารู้ว่าเราซื้อหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์ มันเกิดความเสียหายขึ้นในบริษัทเยอะมากๆ จริงๆ แม้กระทั่งไฟล์ลิปสติกที่เราถ่ายก็หายไปจากบริษัท หลังจากนี้เป็นกระบวนการที่เราจะใช้ 4 เปอร์เซ็นต์ เพื่อปลดเขาออกจากการเป็นกรรมการ เพราะสร้างความเสียหายให้บริษัท
อัง : เราไม่รู้ว่าเป็นใคร เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ก่อนเกิดคลิปนี้ น้องในทีมได้เข้าไปในกูเกิ้ลไดร์ฟ เพื่อหาข้อมูล เอาไปทำคลิปคอนเทนต์ น้องไม่พบไฟล์ที่ใช้อยู่ปัจจุุบัน น้องก็เลยถามไปในกรุ๊ปไลน์ว่าไฟล์ตัวนั้นหายไปไหนคะพี่พริม พิมพ์ไปในกรุ๊ปคนทำงาน เราถึงงเพิ่งทราบว่าไฟล์หายไป 470 ไฟล์ ในกูเกิ้ลไดร์ฟ หายไปหมดเลย ในวันเดียวกัน ถูกลบไปวันที่ 18 มี.ค. เราสามารถเช็กได้ว่าไฟล์ถูกลบไปวันไหน
ทนายแก้ว : ระบบฟ้องอยู่ว่าใครเป็นคนเข้าไปด้วย ถูกมั้ยครับ
ออม : ค่ะ
อัง : ซึ่งคนที่เข้าไปลบได้ คือเจ้าของไฟล์ที่เป็น fleen บิวตี้ แต่เจ้าของแอ็กเคานต์มีพนักงานที่เข้าได้ทั้งหมด 4 ท่าน มีหนู น้องอีกคนนึง น้องพริม และก็น้องกราฟฟิกอีกคน ซึ่งหนูไปให้ปากคำกับตร.แล้วว่าไม่ใช่หนู
ออม : ตอนนี้อยู่ในกระบวนการของตร.ค่ะ
อัง : ตอนนี้มีการแจ้งความเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วนะคะ
ทนายแก้ว : อันนี้คดีอาญา คุกครับ ทำลายเอกสาร
อัง : เป็นการทำลายเอกสาร ทำลายข้อมูล ไฟล์ทั้งหมดที่เราไว้ใช้ทำงาน ทำไมเราถึงต้องดีเลย์การทำงานของเราไปตั้งเยอะ
ณ วันนี้ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนลบ?
อัง : เราไม่สามารถพูดได้ว่าใครเป็นคนลบค่ะ
น้องกราฟฟิกอยู่ฝั่งไหน?
อัง : ฝั่งน้องพริม ทำงานในบริษัท ออฟฟิศที่ระยองของน้องพริม
อีกคนคือพริม อีกคนคือคุณ อีกคนคือ?
อัง : น้องคอนเทนต์ฝั่งหนู เป็นคนทำคลิปให้พี่ออมลงติ๊กต๊อก น้องเราเป็นคนพบว่าหายไป ตอนที่เราพบว่าหายไป เราได้สอบถามเข้าไปว่าพี่พริมคะ พี่พริมมีไลฟ์นี้มั้ยคะ มันหายไป
เรื่องพลิกไปพลิกมา ไม่รุ้ยังไง?
ออม : หนูอยากได้ไฟล์โฆษณาลิปสติกมากค่ะ เพราะหนูต้องออกสินค้า
อัง : ตอนนี้หายไปแล้ว
ออม : ลิปสติกเป็นสินค้าตัวใหม่ ทั้งปี fleen บิวตี้ ไมได้ออกของใหม่เลย เพราะโฆษณาหายไป หนูก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายต้องถ่ายขึ้นมาใหม่ทุกอย่าง ทั้งภาพนิ่ง วิดีโอ ความเสียหายเกิดขึ้นเยอะมาก ทั้งหมดทั้งมวล หนูได้เรียกคืนทรัพย์สินจากเขา
อัง : ขอเพื่อให้เราได้กลับมาทำงาน หุ้น 4 เปอร์เซ็นต์เป็นม.ค. ข้อมูลหาย 25 มี.ค. ค่ะ คลิปเสียงนี้ 30 มี.ค. นี่เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่ไว้ใจแล้วให้อีกคนเป็นกรรมการ เพราะเราไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนให้ลบไฟล์ ซึ่งทำให้บริษัทเสียหาย
เป็นไปได้มั้ย ขอคิดแบบในหนัง สมมติฝั่งคุณทำลายเอาเอง แล้วใส่ความเขาเพื่อให้เขาได้รับโทษอาญา?
อัง : ก็แล้วแต่จะคิด แต่ว่าหนูบริสุทธิ์ใจมาก หนูเอาคอมพิวเตอร์หนูไปให้ตร.ตรวจสอบ เอาไอพีไปตรวจสอบ
คุณแอมป์พูดว่าเดี๋ยวจะให้คุณพริมโดนโทษอาญา?
อัง : เพราะว่าอันนี้เกิดขึ้น 30 มี.ค. เราได้ไปแจ้งความแล้วเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ว่ามีคนลบไฟล์ เราได้แจ้งทุกท่านแล้วที่เกี่ยวข้อง ว่าเดี๋ยวตร.จะสอบปากคำ ซึ่งตร.ได้สอบปากคำหนูไปแล้ว สอบปากคำน้องที่ทำงานด้วยกันไปแล้ว
เปิดคลิปเสียงแอมป์ อันนี้เกิดวันที่?
อัง : 30 มี.ค.
ถูกนะ มีบุคคลปริศนาที่ล่องลอยอยู่แล้วผมได้มา ตรงกับของคุณ แอมป์พูดแบบนี้ แต่สิ่งที่คุณไปเจอ คุณเจอเมื่อไหร่?
อัง : 25 มี.ค. ค่ะ
คุณเจอก่อนแล้วแอมป์ถึงมาพูดเรื่องนี้?
อัง : เรามีบันทึกจากแจ้งความตร. ตั้งแต่ 25 มี.ค. แล้วค่ะ เรื่องราวเยอะมากค่ะ
แล้วเอาไงดี ต้องเป็นยังไงต่อไป?
อัง : เดี๋ยวก็เป็นกระบวนการของตร.ค่ะ ตร.ต้องสอบปากคำทุกคน ให้การว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เป็นไปตามกระบวนการค่ะ
เรื่องไม่ปันผล ที่แอมป์พูดล่ะ?
ออม : เรายังไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้นะคะ เพราะบริษัทเพิ่งดำเนินงานตั้งแต่เป็นชุดออม มิ.ย.-ส.ค. เราเพิ่งดำเนินการแค่นี้เองค่ะ
อัง : ที่เริ่มเปลี่ยนกรรมการแล้วมาทำแบ็กออฟฟิศเอง เริ่มมิ.ย. ก่อนหน้านั้นเป็นออฟฟิศที่จังหวัดระยองของน้องพริมค่ะ เราก็เพิ่งเริ่มทำงานได้ 3 เดือนค่ะ
คุณรู้สึกยังไงกับคำพูดที่ว่ามุมจริยธรรมการค้ากับพาร์ตเนอร์ อาจรู้สึกว่าไม่ค่อยโปร่งใส ในการที่คุณเองไม่ได้บอกผู้ถือหุ้น ว่ามีการช้อนซื้อหุ้นตรงนี้มา แล้วสุดท้ายคุณปลดเขาออกจากการทำงานต่างๆ นานา มันเลยทำให้สังคมมองว่าออมเหมือนไปเอาบริษัทเขามา?
ออม : การทำงานร่วมกัน ออมคิดว่าต้องมีความซื่อสัตย์ ความจริงใจต่อพาร์ตเนอร์ ถ้าวันนั้นเขาเดินมาบอกหนูตรงๆ พี่ออมคะ หนูจะทำสิ่งนี้นะคะ เรื่องราวจะไม่เป็นอย่างนี้เลย แต่พอเขาไม่บอก แล้วหนูมารู้เองทีหลัง ก่อนเขาทำลิปสติกแค่ 2-3 เดือน มันมีศีลธรรมและมีมารยาทกับพาร์ตเนอร์มากเหรอคะ หนูเสียความรู้สึกตรงนี้มาก พอคนเราไม่เชื่อใจกันแล้ว มันหมดสิ้นทุกอย่างเลยค่ะ เราจะเดินต่อไปด้วยกันอย่างไร หนูก็พยายามหาทางออกที่ดีที่สุด พยายามหาทางออกอย่างสันติ หาทางบิดดิ้งราคา เขาก็ล้มบิดดิ้ง ไม่ยอมบิดดิ้งต่อ บอกให้หนูใส่ซอง หนูพยายามหาทางออกที่สันติ เพราะหนูไม่อยากให้เกิดความเสียชื่อเสียงกับแบรนด์ fleen บิวตี้ หนูไม่อยากให้เกิดภาพวันนี้ ที่เป็นดิจิทัลฟุตปริ้นท์กับ fleen บิวตี้ เขารักแบรนด์ หนูก็รักแบรนด์ หนูไม่อยากให้เกิดดราม่าในโซเชียลเลย ไม่อยากให้ใครรู้ปัญหาภายในของบริษัท เพราะไม่อยากให้มีผลกระทบต่อแบรนด์
ทำไมทุกสิ่งทุกอย่าง จะทำข้อตกลงคุณจับเขาทำสัญญาหมด แต่ขณะเดียวกัน เวลาเขาพูด คณไม่เคยให้เขาทำสัญญากับคุณเลย?
อัง : สัญญาที่เขาพูดถึงคือสัญญาผู้ถือหุ้น ที่เราแจ้งพี่หนุ่มกับทนายแก้วว่าสัญญานั้นไม่เป็นธรรมกับเรา เราเลยไม่เซ็น แค่สองฝ่ายไม่ตกลงเซ็นก็จบ แต่อันนี้ถ้าเขาไม่ตกลงซื้อขายกับเรา เขาไม่ตกลงเซ็นก็จบเหมือนกัน การทำสัญญาคือการที่สองฝ่ายสมัครใจค่ะ ไม่งั้นเราบังคับให้เขาเซ็นไม่ได้ เขาก็สมัครใจทั้งเซ็นและการถ่ายคลิปวิดีโอ
ออม : แล้วในสัญญา ห้ามหนูไปรับพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นคอสเมติกส์ ถึงหนูจะไม่ได้เซ็นสัญญาในนั้น แต่สัญญาใจที่หนูทำกับพาร์ตเนอร์ หนูก็ไม่ได้ไปรับจริงๆ นะคะ หนูไม่เคยรับพรีเซ็นเตอร์อื่นๆ ที่ทำให้มีผลกระทบต่อแบรนด์
ให้เขาคืนไปได้มั้ยล่ะ 4 เปอร์เซ็นต์?
อัง : ถ้าจะซื้อก็มาคุยราคากัน เราคิดว่าเราขอถือหุ้นตรงนี้ต่อไปดีกว่า
เหตุผลเพราะศสาไว้ใจไม่ได้?
ออม : พี่หนุ่มพูดนะคะ (หัวเราะ)
อัง : หุ้นส่วนก็ต้องมีความเชื่อใจกันระดับนึง เราถึงมาทำธุรกิจร่วมกัน ถ้าเราไม่ไว้ใจกันแล้ว ต่างคนต่างทำดีกว่าค่ะ
คุณเสนอขายหุ้นเขา 52 เปอร์เซ็นต์ ในราคา 32.5 ล้าน จริงมั้ย?
ออม : ตัวเลขนี้มีที่มาที่ไปค่ะ
คุณประเมินเขา 10 ล้าน 48 เปอร์เซ็นต์ แต่คุณกลับตั้งของคุณมาเอง 32.5 ล้าน ผมพยายามถามเรื่องนี้จนผมโดนด่าเมื่อวานนี้ ยังแค้นอยู่ที่มาด่ากูเนี่ย?
อัง : ไม่ได้เป็นการที่เราเสนอขาย อันนี้เป็นบทสนทนาเต็มที่พี่ศสาโทรหาพี่แอมป์นะคะ สรุปคือพี่ศสาคิดว่าการที่พี่ศสาซื้อหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์ด้วยเงิน 2.5 ล้าน เป็นราคาที่ถูกไป ไม่พอใจ และคิดว่าเราไปโกง ซึ่งเราไม่เคยโกงเลย 2.5 ล้านเป็นราคาที่แพงกว่าความเป็นจริงด้วยซ้ำ
ออม : ในความรู้สึกเรา แต่ในความรู้สึกเขา มันไม่ใช่
อัง : เราเลยพูดว่าถ้าพี่ศสาคิดว่ามันถูกไป พี่ศสาลองถามน้องพริมก็ได้นะคะว่าหุ้น 48 เปอร์เซ็นต์ของน้องพริม ถ้าน้องพริมอยากมาซื้อหุ้นเรา เพราะเราซื้อหุ้นพี่ศสามาแล้ว รวมเป็น 52 เปอร์เซ็นต์ ถ้าน้องพริมอยากซื้อหุ้นเราคืน น้องพริมลองคำนวณหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์นั้นเป็น 52 เปอร์เซ็นต์
คุณตีราคาจากมูลค่าหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์ของศสาเป็นตัวตั้ง?
ออม : ใช่ค่ะ ในเมื่อเขาบอกว่าราคานี้ถูกไป หนูก็บอกว่างั้นหนูก็ขายในราคาที่ถูกนั่นแหละ
ทำไมไปตีเขา 10 ล้าน?
อัง : ตัวเลข 32.5 ล้าน เป็นการคำนวณเทียบบัญญัติไตรยางศ์ค่ะ 4 เปอร์เซ็นต์ 2.5 ล้าน 52 เปอร์เซ็นต์ 32.5 ล้าน แล้วเราไม่เคยพูดว่าเราจะขายราคานี้ เราพูดว่าเป็นราคาขนาดนี้เลย จะมีใครมาซื้อเหรอ แปลว่าเราซื้อเขาแพงมากๆ แล้ว อันนี้เราเทียบให้เขาฟัง มันแพงขนาดนี้เลยนะพี่ แสดงว่าหนูซื้อพี่สูงแล้ว ไม่งั้นน้องพริมก็มาซื้อหนูแล้ว ถ้าน้องพริมคิดว่าถูก มูลค่าบริษัท 100 ล้านเขามาซื้อหนูแล้ว 32 ล้าน
ทนายแก้ว : พูดง่ายๆ ฝั่งศสาขายหุ้นฝั่งนี้ 4 เปอร์เซ็นต์เท่ากับ 25 เท่า จากหุ้นมูลค่า 10 บาท เป็นหุ้นมูลค่า 250 บาท 25 เท่า
ทางนี้เลยตีมูลค่า 52 เปอร์เซ็นต์ 25 เท่า เลยกลายเป็น 32.5 ล้าน?
อัง : ค่ะ ก็บอกพี่ศสาไปว่า ลองคิดดู อันนี้ไม่ใช่ราคาที่ถูกนะ
วันนี้ถ้าจะขายหุ้น ให้กับพริมหรือศสา ก็จะขายราคาที่ซื้อมาจากศสา เอาเป็นสารตั้งต้น เพราะฉะนั้นมีทั้งหมด 52 เปอร์เซ็นต์ เขาก็จะขาย 32.5 ล้าน?
อัง : เป็นการเทียบบัญญัติไตรยางศ์ค่ะ เพื่อแจ้งให้เขาทราบว่าหุ้นที่เราซื้อ ไม่ได้ถูกค่ะ
ทนายติ่ง : ไม่ได้เอาไปเสนอขายคุณพริมนะ เปรียบเปรยให้ฟังว่ามันแพงมากนะ
ออม : ในเมื่อฝั่งนั้นบอกพี่ศสาว่ามันถูก พี่ศสาก็บอกเขาสิ ถ้ามันถูก งั้นก็มาซื้อของถูกเท่าพี่มั้ยล่ะ
เอาง่ายๆ คุณตีไป 32.5 ล้าน ตามมูลค่าที่จ่ายเงินให้ศสาไป ขณะเดียวกัน คุณบอกจะซื้อของเขา ทำไมไม่ตีมูลค่าเท่าเท่าศสา?
อัง : วันที่ 10 ก.พ. เราคุยดีลแรกกันในการซื้อขายหุ้น คุยกันออนไลน์ว่าเราจะประมูลซื้อขายหุ้นแต่ละฝั่ง วันนี้น้องพริมกับสามียังไม่ทราบเลยว่าเรามีหุ้น 52 เปอร์เซ็นต์มากกว่าเขา จริงๆ คนจะมาประมูลซื้อขายในราคาเท่ากัน มันต้องมีหุ้นเท่ากัน อันนี้เราก็ยอมจะซื้อจะขายไม่เป็นไร ซื้อด้วยความเป็นธรรมเลย สามีเขาเสนอหุ้นอยู่ที่ 10 ล้านบาท ซื้อหุ้นเรา
ออม : เขาจะขอซื้อหนูในราคา 10 ล้านบาทค่ะ
อัง : เขาพูดเองค่ะ เป็นประชุม เขาก็เสนอตัวเลขนี้มา โอเค ถ้าใครจะซื้อจะขายก็บิดกันไปบิดกันมา แล้วแต่ใครจะพอใจที่เท่าไหร่ หนูก็เสนอไปว่างั้นหนูขอเสนอหุ้นพี่ 48 เปอร์เซ็นต์ ที่ 11 ล้านนะคะ แทนที่จะบิดกันต่อ เขาอาจจะ 12 13 ว่าไป หลังจากหนูบอก 11 ล้านได้มั้ยคะ เขาบอกว่าถ้าอังจะมาแบบนี้ ไม่คุยแล้วนะคะ ให้บอกมาราคาเดียวเลยว่าจะซื้อหุ้นพี่ที่เท่าไหร่
ออม : ให้เราใส่ซองแล้วเขาจะซื้อหรือจะขาย เขาจะตัดสินใจเอง
อัง : เขาต้องการซื้อหุ้นเรา 10 ล้าน เราก็บอกว่าไม่เป็นไร งั้นนี่ขอเสนอซื้อหุ้นพริมกลับที่ 11 ล้าน ถ้าเขาไม่พอใจจะขายไม่เป็นไร หรือเขาพอใจซื้อมากกว่าก็บอกมา แต่เขาบอกว่าไม่เอาแล้วค่ะ จะขอให้พี่ออมเสนอมาครั้งเดียวเลย แล้วเขาจะตัดสินใจว่าเขาจะเอาหรือไม่เอา เราตกลงจะแข่งราคากัน
ทนายติ่ง : เราบอก 10 ล้านไม่เอา เราจะเสนอซื้อคุณเอามั้ย 11 ล้าน
ออม : สรุปมันล้มค่ะ
ทนายแก้ว : วันที่บิดดิ้งกัน ฝั่งพริมไม่ทราบว่าหุ้นคุณเป็น 52 แล้ว
อัง : ไม่ทราบค่ะ ซึ่งเราแฟร์มากเลย ถ้าหุ้น 52 ไม่สามารถบิดในราคาเดียวกับ 48 ได้
ต่อสายหาพริม จะได้ไม่ต้องพูดข้ามกันไปข้ามกันมา คุณมีข้อโต้แย้งตรงไหน?
พริม : ขออนุญาตสั้นๆ ว่าเซอร์ไพรส์เหมือนกัน กลายเป็นว่าโดนอัดเสียงเฉยเลย เพิ่งทราบว่าจริงๆ แล้วมีการไปดำเนินการซื้อหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์มาก่อน แล้วค่อยดำเนินการเรื่องอื่นๆ ตามมา อันนี้เซอร์ไพรส์เลย คนเราถ้าไม่พอใจอะไร พริมโทรหาพี่ออมหลายรอบมากนะ แต่พี่ออมไม่รับ และไม่เคยได้คุยกันจริงๆ ตัวต่อตัว หลายๆ อย่างที่พี่บอกว่าพริมไม่บอก มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ จะบอกว่าพริมไม่คิดว่าการที่น้อยใจ หรืองอน จะมาดำเนินการนำบริษัทไปเป็นสัดส่วนใหญ่ 52 เปอร์เซ็นต์แบบนี้ พริมไม่แน่ใจว่า 48 พริมจะมีมูลค่า ยังจะได้อะไรอยู่มั้ยคะ
อัง : น้องพริมยังเป็นผู้ถือหุ้นอยู่นะคะ
พริม : พี่ออมเองก็เป็นผู้ถือหุ้น เราเองก็ตกลงกันว่า เราจะร่วมแรงร่วมใจกัน ค่าพรีเซ็นเตอร์ไม่มีนะคะ พี่ออมมีเงินเดือนเหมือนกันอยู่ที่ 1 แสนบาทก่อนหน้านี้ เราตกลงกันว่าจะมองไปที่เรื่องผลกำไรบริษัท เรื่องประเด็นอื่นๆ เหตุเกิดจาก fleen ไปได้ดี ถูกมั้ยคะ
อัง : เหตุเกิดจากการที่น้องพริมแอบไปทำอีกแบรนด์นึงค่ะ
พริม : พริมไม่ได้แอบค่ะ เพราะพี่ออมกับพี่อังรู้อยู่แล้วว่าพริมมี RAD มาตั้งแต่แรก
อัง : ถ้าพริมไม่ได้แอบ ทำไมโลโก้ที่พี่เห็นในไฟล์ ไปแจ้งแล้ว ทำไมน้องพริมต้องไปลบออกคะ
พริม : ขอชี้แจงประเด็นนี้ จริงๆ พริมส่งข้อมูลให้แล้วนะคะ มีสองประเด็นที่หาว่าพริมเอาโลโก้ไปอยู่ในกูเกิ้ลไดร์ฟของ fleen จริงๆ แล้วที่โชว์หลักฐานอยู่ไม่ได้อัปโหลดลงไดร์ฟของ fleen นะคะ เครื่องคอมพิวเตอร์มันลิงก์เข้ากับเครื่องคอมพ์ของพริม มันกดตรงแชร์กับฉัน ไม่ได้อัปโหลดลงไปนะคะ
อัง : แปลว่าน้องพริมอัปในเครื่องน้องพริมแต่บังเอิญเข้ามาเห็นใน fleen แล้วทำให้บังเอิญรู้ ใช่มั้คะ
ออม : แปลว่าน้องพริมก็ตั้งใจจะทำแบรนด์ RAD จริงๆ ใช่มั้ยคะ
พริม : ไม่เคยปิดบังนะคะ ตอนนี้เหมือนทุกอย่างถูกจัดมาให้พริมรู้สึกเหมือนพริมต้องรับหลายอย่างที่เกิดขึ้น
ตอนนี้ประเด็นที่เกิดขึ้น มีดริ๊ฟกันอยู่นิดเดียว พริมบอกว่าออมกับอังรู้แต่แรกว่าเราเปิด RAD ฝั่งนี้บอกว่าเขารู้ว่าคุณเปิด RAD และรู้ว่าคุณปิดแล้ว หลังจากนั้นพอช่วงปี 66 67 คุณไปจดอีกแล้ว โดยเขาไม่รู้ คุณมารู้ทีหลัง ตรงนี้จะชี้แจงยังไง?
พริม : แบรนด์ RAD ไม่ได้ปิดค่ะ ถ้าจะเล่นเรื่องเอกสาร บริษัทคุณออมก็ขึ้นร้างหลายๆ ตัวเหมือนกัน เราขอไม่พูดถึงเอกสาร ขอพูดว่าจริงๆ คุณรับทราบอยู่แล้วว่ามี RAD ตามโซเชียลต่างๆ คุณยังรีวิว RAD อยู่เลย ในเดือนที่เปิดตัว fleen เราไปออกงานของกรมพาณิชย์ พี่ออมก็ไป พริมก็พูดถึง RAD อยู่เลย
ออม : เรื่อง RAD ทราบค่ะว่าเป็นเครดิตที่น้องพริมเคยทำมาก่อน
อัง : แต่น้องพริมไม่ได้ขายแล้ว น้องพริมไม่ได้มีช่องทางการขายในโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ใช่เหรอคะ
พริม : อย่าเพิ่งใส่ความนะคะ เรามีหลักฐานทั้งหมด
อัง : ถ้าน้องพริมยังขายอยู่ ทำไมบริษัท RAD ถึงไม่ส่งงบการเงินเลยตั้งแต่ปี 62-68 มันทำให้เราคิดได้ว่าน้องพริมไม่ได้ทำแล้ว
พริม : ทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากความคิดของเขา คิดไปเอง หรืออะไรต่างๆ นานา จนสุดท้ายพริมต้องหลุดจากบริษัทตัวเองเหรอคะ พริมถามแค่นี้
อัง : เราไม่ได้มีความคิดนะคะ เราอิงตามหลักฐานและเอกสารทั้งหมด
พริม : ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตพริมเหรอคะ
อัง : น้องพริมก็ดำเนินไป น้องพริมก็ทำธุรกิจใหม่ไป
พริม : ธุรกิจใหม่ไม่เกี่ยวกับพริมนะคะ RAD ไม่ได้เกี่ยวกับพริมนะคะ
อัง : ทราบค่ะ เพราะเราเห็นในเอกสารทะเบียนแล้ว
พริม : ทำไมคุณถึงกล่าวอ้างอยู่อย่างนี้ล่ะคะ ขอพูดสั้นๆ แล้วกัน พริมไม่ได้อยากโทรเข้ามาทะเลาะ แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในรายการมันกระทบกับชีวิตพริม พริมหลุดออกจากตำแหน่งทุกอย่าง ไม่สามารถเห็นข้อมูลอะไรได้เลย ไม่ได้รับการปันผลเลย แต่ในรายการ ณ วันนี้พูดถึงแต่มูลค่าตัวเอง ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังจาก fleen ไปได้ดี พริมแค่จะโทรมาชี้แจงว่าพริมได้รับข้อมูลหลายๆ ด้านในรายการเช่นกัน แต่ก็อยากถามว่าความเป็นธรรมหรือศีลธรรมจริงๆ แล้วตอนนี้พริมเป็นคนก่อตั้งร่วมกันมา พริมควรไม่ได้อะไรเลยแบบนี้หรือเปล่า ฝากไว้แค่นี้ค่ะ
อัง : ที่น้องพริมก่อตั้งมา คำว่าผู้ก่อตั้งอยู่กับน้องพริมไปตลอดนะคะ สิ่งที่น้องพริมมีอยู่คือหุ้น 48 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่มีใครเอาไปจากน้องพริมได้ หุ้นน้องพริมยังมีมูลค่าอยู่ เพราะทุกวันนี้ที่พี่ออมเข้ามาบริหาร พี่ออมทำเต็มที่มากๆ ค่ะ ทำเต็มที่เพื่อบริษัททุกอย่าง หุ้น 48 เปอร์เซ็นต์นี้ เมื่อมีกำไรน้องพริมก็ได้เงินนะคะ โดยที่น้องพริมไม่ต้องทำงานด้วยค่ะ แล้วตอนแรกที่น้องพริมบอกว่าน้องพริมก็แปลกใจที่มีการอัดเสียง ที่น้องพริมบอกว่าต้องหลุดจากตำแหน่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เกิดเพราะความไม่ไว้วางใจกันค่ะ จากสิ่งที่น้องพริมทำ และไม่เคยบอกเลยว่าน้องพริมจะทำ ถ้าคนจะทำแล้วเราเป็นเพื่อนกัน ถ้าบอกว่าจะเอาแบรนด์เก่ากลับเข้ามาทำนะ โลโก้สวยมั้ย มันอาจจะปรึกษากันได้ แต่อันนี้เรายืนยันว่าทางเราไม่รู้เลยค่ะ
พริม : 48 เปอร์เซ็นต์ถืออยู่ แต่ไม่มีอำนาจเลย ไม่ทราบว่าการซื้อ 4 เปอร์เซ็นต์นั้นต้องการอะไร ต้องการอำนาจบริหารจัดการแล้วเปลี่ยนแปลงเราออก ถูกต้องหรือไม่
ออม : ใช่ค่ะ ขอถามกลับน้องพริมหน่อย ไฟล์ 470 กว่าไฟล์ น้องพริมเป็นคนลบหรือเปล่า
พริม : อันนี้ไม่ทราบนะคะ เพราะไฟล์นี้มีบุคคลเข้ามากกว่า 4 คนนะคะ ในไดร์ฟมีบุคคลเข้าถึงไม่ต่ำกว่า 8-10 คนนะคะ เราเริ่มต้นแบรนด์มา ทุกคนสามารถเข้าถึงไดร์ฟ สามารถทำงานได้ ฉะนั้นการอยู่ดีๆ จะมาหาเหตุหรืออะไรเพื่อเอาพริมออก หรือดำเนินการซื้อ 4 เปอร์เซ็นต์โดยไม่แจ้งให้พริมทราบ อันนี้พริมเชื่อว่าประชาชนน่าจะเห็นหมดแล้วค่ะ ว่าไทม์ไลน์เป็นยังไง แต่ก็ไม่ได้ตรงซะทีเดียว แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะซื้อ 4 เปอร์เซ็นต์ปิดบังพริม หลังจากนั้นมีการพยายามยื่นปลดพริมออกจากกรรมการ จากนั้นแต่งตั้งตัวเองเข้ามา รวมถึง บิดา และลูกพี่ลูกน้องเข้ามา ทุกคนมีเงินเดือน แต่ปลดพริมออก พริมไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงใดๆ ทั้งสิ้นในบริษัทอีกเลย พนักงานเอย ตัวบุคคลข้างๆ พริมก็ตกงาน การถือ 48 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่มีอำนาจ ไม่สามารถปันผลได้ มันถูกต้องแล้วหรือเปล่าคะ ทางครอบครัวคุณหรือกรรมการคุณมีเงินเดือน เข้ามาอยู่บริษัทเราได้ แบบนี้ถูกต้องแล้วจริงๆ ใช่มั้ยคะ
ตัวคุณ ณ วันนี้ ถามคำเดิม ตกลงธงของคุณเอาไง ณ เวลานี้?
พริม : ตามที่คุยกับพี่หนุ่มแหละค่ะ หนูกลับมานั่งคิดว่าถ้าจะวุ่นวายขนาดนี้ เราแยกย้ายกันไปเติบโตเถอะ ปิดมันไปเถอะ ไม่ต้องมาทำอะไรให้ซับซ้อนขนาดนี้หรอกค่ะ เราเริ่มมาจากหัวใจ เราคุยกันเลยว่าเราไม่ไปต่อ แยกย้ายกันไปดีมั้ย แยกย้ายกันไปเติบโต ไม่ต้องมาทำร้ายจิตใจกัน
ปิดแบรนด์ fleen ไปเลย?
พริม : ดีมั้ยคะ ไม่มีอะไรต้องล็อกกัน ไม่ต้องมาอ้างสิทธิ์ทั้งสิ้น เราใจๆ กันเลยดีกว่า ตอนนี้เกิดขึ้นแล้ว แล้วคุณอยากจะได้ยังไง
เอาไง ธงคุณ?
อัง : ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะ 4 เปอร์เซ็นต์ที่น้องพริมแจ้งแบบนี้ แต่อยากบอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะน้องพริมแอบทำลับหลังก่อนนะคะ เรื่องเปิด RAD ทุกอย่างก็เลยเกิดขึ้น เลยไปซื้อ 4 เปอร์เซ็นต์ ปลดน้องพริมเพราะมีความเสียหายเกิดขึ้นกับบริษัท ไม่รู้ว่าใครมาลบไฟล์ อันนี้เราไม่รู้ แต่การปลดกรรมการเป็นอำนาจผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นเขาต้องการปลดเราก็ปลดตามกฎหมาย แต่งตั้งกรรมการใหม่ แล้วก็จ่ายเงินเดือน ต้องบอกว่าตอนน้องพริมและพี่ออมเป็นกรรมการบริษัท เงินเดือนแต่ละท่านอยู่ที่ 1 แสนบาท มีกรรมการเข้ามาใหม่ 2 ท่าน รวมเป็น 3 ท่าน เงินเดือนกรรมการลดลงครึ่งนึงเหลือ 5 หมื่น รวมทั้งพี่ออมมีแค่ 5 หมื่นต่อเดือนจากหนึ่งแสน ลดลงครึ่งนึงตอนน้องพริมบริหาร หลังจากนั้นน้องพริมก็อยากปิดบริษัท ถามว่าบริษัทที่มีกำไร มีรายได้ และมีลูกค้าขนาดนี้ มีบริษัทไหนที่เขาปิดบ้างคะ ถ้าน้องพริมไม่พอใจน้องพริมสามารถเสนอขายได้ แต่น้องพริมไม่เคยเสนอขายเลย น้องพริมปฏิเสธทุกอย่าง ตอนนี้เราอยู่ในกระบวนการหาผู้ประเมินที่เมื่อวานพี่พริมบอกว่าเราต้องหาผู้ประเมินตัวกลางเพื่อรู้ราคาจริงๆ บริษัท เพราะผู้ซื้ออยากได้ราคาถูกที่สุด ผู้ขายอยากได้ราคาที่แพงที่สุด เราต้องมีคนกลาง เพื่อมาประเมิน ตอนนี้เรามีกระบวนการไกล่เกลี่ยทางศาล ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. ให้สองฝ่ายไปหาบริษัทประเมินมา ฝ่ายละ 2-3 เจ้าแล้วแชร์ค่าประเมินกัน ตอนนี้ทางฝ่ายอังได้ส่งผู้ประเมินให้ทางน้องพริมและทางทนายแล้ว เมื่อวันที่ 26 ส.ค. จวบจน ณ เวลาปัจจุบัน เกือบ 1 เดือนแล้ว น้องพริมยังไม่ตอบรับผู้ประเมินที่เราเสนอไป และยังไม่เสนอฝั่งตัวเองมา คือยังหาผู้ประเมินไม่ได้เพราะน้องพริมไม่ส่ง
พริม : ส่งไปแล้วนะคะ ลองคุยกับทนายดูนะคะ ในกรุ๊ปทนายส่งไปแล้ว ตอนนี้กลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ จริงๆ แค่ง่ายๆ เลยค่ะ ว่าผู้ถือหุ้นคือครอบครัวของคุณ คุณออมกับครอบครัวตั้งใจปลดพริมจริงหรือเปล่า แล้วอีกประเด็น พริมมีหลักฐานนะคะ พี่ออมเอาสินค้า มาไลฟ์ในไลฟ์สดของ fleen ด้วยเหมือนกัน เรารู้แต่ละคนเป็นยังไง เราไม่จำเป็นต้องหาพ้อยท์ ประดิษฐ์คำ หรือใช้เอกสารมากมายอะไร เพื่อหว่านล้อม เพื่อมีอำนาจมากกว่าอีกคน แล้วอีกคนไม่ได้อะไรเลยจากสิ่งที่ตัวเองสร้างมา พริมถามแค่นี้ค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกฎหมาย ศีลธรรมเขาทำกันแบบนี้เหรอคะ
ออม : พี่เป็นหุ้นส่วนที่ไม่น่ารักเหรอน้องพริม พี่ไม่ได้ตั้งใจทำงานในบริษัท fleen บิวตี้เหรอ ทำไมน้องพริมต้องไปทำอีกแบรนด์นึง พี่เป็นหุ้นส่วนที่ไม่ดีเหรอ ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้น พี่ทำอะไรผิด
พริม : เราไม่พูดถึงว่าน่ารักหรือไม่น่ารักนะคะ พี่ออมก็คงเห็นถึงความตั้งใจทำตั้งแต่เริ่มต้นมา ประเด็นคือไม่ได้คุยกันเลย เพราะพริมติดต่อพี่ออมไปหลายครั้งมาก เพื่อคุยส่วนตัว แต่กลายเป็นว่าพี่ออมไม่คุยกับพริมเลย แล้วหลังจากนั้นพริมก็โดนปลด มีการไปซื้อ 4 เปอร์เซ็นต์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเราเริ่มจากการคุยกันง่ายๆ ตรงไปตรงมา
ธงของออมคืออะไร?
ออม : ธงของออมคือเหมือนที่ศาลพูดไปในศาลไกล่เกลี่ยครั้งที่แล้ว ว่าออมรัก fleen บิวตี้มาก ออมอยากได้ fleen บิวตี้ ออมพอใจที่จะซื้อน้องพริม ในราคาแฟร์เรด
พริม : เท่าไหร่คะ
ออม : ออมไม่รู้ว่ามูลค่าเท่าไหร่ ก็เลยทำการประเมินราคา โดยให้บริษัทกลางมาตีราคา นี่คือเราบันทึกไว้ในศาลเรียบร้อยแล้วค่ะ ซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณา
พริม : ถามนิดนึง ว่าจริงมั้ยคะ ที่พิมพ์มาในกรุ๊ปทนายบอกว่าให้รับ 10 ล้านแล้วจบไป พริมเห็นแชตค่ะ
อัง : ใช่ค่ะ 10 ล้านนั้นเป็นราคาที่สามีน้องพริมเคยเสนอมา แล้วเราก็เลยเสนอราคานี้กลับ
พริม : ตอนนั้นเป็นการคุยกัน ทุกครั้งที่คุย พริมไม่เคยอัดเสียงอะไร อยู่ดีๆ จะมาอัดพิมพ์เลยตั้งแต่วันที่ 26 ที่นัดที่ใบไม้ร่าเริง แต่กลับมาที่ว่า มันไม่เคยมีการคุย วิธีการคืออะไร วิธีการซื้อขายคืออะไร เช่นเปิดครั้งเดียว ใส่ซองมั้ย เห็นมูลค่ามากกว่าก็รับไป อันนี้คุยหลายรอบแล้ว และไม่เคยเกิดขึ้น วันที่ 30 มี.ค. คุณพิธานบอกว่าบริษัทคุณไม่ได้มีมูลค่าอะไร ในคลิปที่พี่หนุ่มเปิดในรายการ มีนิดนึงที่พริมบอกว่ายินดีซื้อ 15 ล้านด้วย แต่คุณพิธานบอกว่าให้รับ 10 ล้าน ให้ไปอาญาอะไรสักอย่าง
ออม : จริงๆ ตอนนี้ทางออกมีนะคะ มันเริ่มลงตัวมากๆ แล้วเพราะศาลเรียกเราทั้งสองฝ่ายไปไกล่เกลี่ยแล้ว และทำบันทึกเรียบร้อยแล้ว เราไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เราต้องเดินมาถึงจุดนี้ จุดที่ต้องมาใส่กันในโซเชียลแบบนี้ เพราะจริงๆ ออมก็ไม่ได้อยากให้แบรนด์เสียชื่อเสียง เพราะออมรักแบรนด์มากๆ ออมมีความตั้งใจจะทำแบรนด์นี้ต่อด้วยการซื้อเขาในราคาที่ศาลบอกว่าให้ไปตีราคามา
พริม : จริงๆ ถ้าพูดถึงความรักแบรนด์ หนูไม่ได้รักน้อยไปกว่าเขาหรอกค่ะ วันที่เขาบอกว่าเขารู้แล้วเขาเสียใจ หนูพิมพ์ไปหาเขาว่าพี่ออมเสียใจหนูก็เสียใจ หนูเลือกยืนข้าง fleen ขายหุ้นของ RAD ทั้งหมดทิ้ง หนูยืนยันในที่ประชุมว่าหนูเลือก fleen หนูทำ fleen มากับมือ หนูปั้นลูกคนนี้ขึ้นมา ทำไมหนูจะไม่รัก ทุกไลน์โปรดักส์หนูเอาชีวิตทุกอย่างมาลงกับ fleen
ทนายแก้ว : พอรับรู้คุยกับออมว่ายอมขายหุ้น RAD ทุกอย่างทิ้งไป หมายถึงตอนนี้คุณยอมรับว่าคุณกำลังค้าแข่งอยู่ใช่มั้ย
พริม : ไม่ได้รับว่าค้าแข่งนะคะ เพราะพี่ออมรู้อยู่แล้วว่าพริมมี RAD มาตั้งแต่แรก วันที่ 26 ที่ถูกอัดเสียง ที่ทุกคนได้ยินทั้งประเทศแล้ว วันนั้นพริมรู้สึกว่ามันไม่โอเคแล้ว ทำไมพาร์ตเนอร์เราถึงมีความรู้สึกแบบนี้ หนูมองว่ายังไงก็คงไปต่อไม่ได้ แต่จะไปทางไหนที่จบได้เร็วที่สุด และดีกับทุกฝ่ายที่สุด
ออม : ที่ขายหุ้น RAD ไป ขายให้ใครคะ
อัง : พอพี่ออมทราบเรื่องก็เลยอยากทำ fleen ต่อก็เลยขายหุ้น RAD ขายให้ใครคะ
พริม : กลายเป็นว่าพยายามมาหาพ้อยท์ผิดว่าตัวเองไม่รู้ ซึ่งมันไม่ใช่ ประเด็นคือคุณรู้อยู่แล้ว เราทำธุรกิจกับคุณเราทำด้วยหัวใจ เอาจริงๆ ที่ตัดสินใจยืนข้าง fleen วันนั้นหนูยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า 4 เปอร์เซ็นต์เป็นของเขาไปแล้ว
อัง : น้องพริมขายให้พี่สาวแท้ๆ น้องพริมไปทำ RAD ต่อค่ะ
พริม : ก็กลับมาเหมือนเดิม ว่า 4 เปอร์เซ็นต์ ถูกซื้อไปโดยปิดบังจริงมั้ย
ออม : ไปว่ากันในศาลก็ได้ค่ะ
พริม : ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นกับหนูคือ 4 เปอร์เซ็นต์ที่เขาซื้อไป มันคืออำนาจการจัดการ บริหาร การเปลี่ยนแปลงระบบภายในค่ะ แล้วมีภาพพรีเซ็นเตอร์ 9.5 ล้านขึ้นมา
ทนายแก้ว : ตอนนี้ฝ่ายหุ้นใหญ่อยู่ฝั่งนี้ เขาก็มีอำนาจจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงได้อยู่แล้วแต่ถ้าฝั่งพริมรู้สึกว่าตัวเองถูกกระทำไม่เป็นธรรม ก็สามารถไปฟ้องต่อศาลแรงงาน หรือฟ้องละเมิดก็ว่ากันไป แต่หลักกฎหมาย อำนาจกรรมการสามารถทำการปลดออกได้
แต่มุมจริยธรรมที่ทำงานร่วมกัน สังคมเขาจะมองว่าออมไม่บอกทางนี้หรือเปล่า วันนี้พริมอยากได้ 4 เปอร์เซ็นต์คืนมาก่อนแล้วเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ถูกใหม่?
พริม : ค่ะ
คุณรู้สึกว่าการทำงานเรื่องศีลธรรม จรรยาบรรณในการทำงานกับหุ้นส่วน ออมทำไม่ถูกต้อง?
พริม : สำหรับการไปซื้อ 4 เปอร์เซ็นต์โดนปิดบัง หนูถือว่าไม่ถูกต้องนะคะ การให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน
ออมบอกว่าที่ไปซื้อ 4 เปอร์เซ็นต์เพราะรู้ว่าคุณทำ RAD เขาเลยไปซื้อหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ไว้ใจพริม โดยออมก็ไม่ได้บอกเขาก่อนว่าไปซื้อมา?
อัง : ใช่ค่ะ เพราะเราไม่ไว้ใจกันแล้ว
พริม : แต่เราควรบอกกัน คุยกันก่อน มีหลายอย่างที่ไม่ถูกต้องในรายการ บางอย่างไม่อยากส่งข้อมูลไปดีแคร์ตอนนี้ แต่เดี๋ยวขออนุญาตส่งให้หลังจากนี้ค่ะ
ออม : หนูคุยกับเพื่อนที่ประสบเหตุแบบนี้
ถ้าวันนั้นคุณโทรศัพท์ไปบอกพริมว่าจะซื้อหุ้นจากศสา คุณทำได้มั้ย?
ออม : ตอนนั้นมันไม่ลงรอยกันมากเลยค่ะ ไม่รู้จะเดินไปทางไหน
อัง : ทางพี่ออม เกรงว่าจะไม่ได้มาทำงานตรงนี้ ถ้าทำงานร่วมกันต่อไป อาจเกิดข้อขัดแย้ง จริงๆ มีประเด็นว่าพี่ออมเข้ามาทำงานต้นเดือนมิ.ย. ก่อนหน้านั้น ระหว่างเดือนเม.ย. การทำงานของบริษัทสะดุดลงไปอย่างมาก มีการโพสต์โซเชียลมีเดียในอินสตาแกรมแค่ครั้งเดียว จากพนักงานจากฝั่งน้องพริมดูแล เหมือนการทำงานก็เริ่มสะดุด ถ้าเกิดเราไม่เข้ามาบริหารหรือทำงานแบรนด์อาจสะดุดก็ได้ค่ะ
ธงคุณเอาไง?
ออม : หนูรู้สึกว่าหนูโดนหักหลังก่อนค่ะ แล้วหนูเจ็บมากๆ เพราะหนูเคยรักเขามากๆ ตอนนี้ทางออกของหนู อยากให้เป็นกระบวนการในชั้นศาล ทุกอย่างศาลจะตัดสินเองว่าหนูผิดหรือไม่ผิด เขาผิดหรือไม่ผิด อันนี้เป็นอะไรที่แฟร์ที่สุดแล้วค่ะ
สองมุมไม่เหมือนกัน?
พริม : ขอทิ้งท้ายว่าทั้งหมดที่ฟังเกิดจากความเข้าใจผิด เหมือนน้อยใจ แต่ไม่มีการพูดคุยกับพริมโดยตรง พริมเลยไม่มีโอกาสอะไรเลยที่จะชี้แจง หรือหาทางออกร่วมกัน จากนั้นพริมก็โดนปิดบังเรื่องซื้อ 4 เปอร์เซ็นต์ กระบวนการตามกฎหมายพริมรับทราบนะคะ แต่ถ้าให้พริมรอก็ค่อนข้างนาน ตอนนี้พริมก็ตกงาน ถูกนำบริษัทไปโดยไม่ได้มีอะไรแล้ว จริงๆ เรามาหาทางที่เราแยกย้ายไปเติบโตน่าจะดีที่สุด ไม่ใช่ว่ามันจะปิดหรือไม่ปิด แต่ประเด็นตอนนี้เหมือนเอากฎหมายมาเล่นกันค่ะ
ออม : หนูก็คิดว่าทุกอย่างอยู่ในกระบวนการอยู่แล้วตั้งแต่แรก ไม่ได้เดินหนีออกไปจากกระบวนการเลย วันที่ 22 ก.ย. หนูก็จะไปเจอเขาอยู่แล้ว
ธงคุณล่ะเอาไง?
ออม : หนูรักแบรนด์ที่หนูสร้างขึ้นมามาก หนูยอมซื้อพี่ศสาในราคาที่แพงมากๆ นั่นคือแพสชั่น หนูอยากซื้อมาเป็นของหนูค่ะ อยากซื้อหุ้นของเขามาเป็นของหนู
ถ้าเขาขายมากกว่า 10 ล้าน?
ออม : ก็เสนอมาค่ะ
อัง : น้องพริมบอกว่าทางบริษัทเอาแฟนสามี เอาลูกน้องออกจากบริษัท ขอดีแคร์ว่าลูกน้องยื่นใบลาออกทุกคน ลูกน้องที่เป็นลูกน้องที่ทำงานที่ระยอง ยื่นใบลาออกทุกคนในบริษัท ออกวันเดียวกัน พร้อมกัน ยื่นวันที่ 9 ขอออกวันที่ 20 นิดๆ ทุกคน แล้วเราต้องเริ่มทำใหม่กันเองหมดเลยค่ะ
อ้าว คุณไม่ได้ให้ออกเหรอ?
อัง : ไม่ได้ให้ออกค่ะ
พริม : ให้ทีมงานมาชี้แจงก็ได้ค่ะว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ที่เขาลาออก เขาได้เงินไม่ครบค่ะ
อัง : เรื่องนี้อยู่ในกระบวนการเหมือนกัน ส่วนสามีน้องพริมต้องออก เพราะสามีน้องพริมเป็นลูกจ้างในบริษัท และสามีน้องพริมไปจดทะเบียนเป็นกรรมการของ RAD ลูกจ้างไม่สามารถจดทะเบียนในบริษัทค้าแข่งได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ค่ะ
พริม : ว่ากันไปตามกฎหมายแล้วกันนะคะ แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันไม่ใช่ค่ะ เดี๋ยวให้เขาไปชี้แจงเอาเอง
มันเป็นเรื่องที่พลิกไปพลิกมา ต่างคนต่างมีเหตุผล พริมก็เป็นผู้บุกเบิกเหมือนกัน แต่โอเค คุณอาจมองว่าเขาทำ RAD ขึ้นมาแล้วค้าแข่งกับคุณ ก็ไปชี้แจงในศาล?
ทนายติ่ง : ทุกคดีต้องรอคำสั่งศาล รอคำพิพากษา
ออม : จริงๆ มันเยอะกว่านี้ แต่ก็หายเครียดขึ้นเยอะ จากที่หนูไม่เคยได้ออกมาพูดอะไรเลย
หลายคนบอกว่าอังพูดอยู่ฝั่งเดียวเลย?
ออม : ถ้าไม่มีน้อง ชีวิตหนูนี่คง...(หัวเราะ)
อัง : เขาพูดมีน้ำไม่มีเนื้อ เลยพูดเนื้อๆ ให้
ตอนแรกคิดในใจว่าออม สุชาร์ร้องไห้แน่?
ออม : หนูร้องมาพอแล้วค่ะ หนูต้องเข้มแข็งค่ะ
อัง : ขอบคุณพี่หนุ่มมากที่ให้โอกาสค่ะ
