xs
xsm
sm
md
lg

ฟังชัดๆ ใครผิด? “พริม-ศสา” แฉแหลก “ออม สุชาร์” ดอดซื้อหุ้น 4% ฮุบกิจการ 100 ล้าน “แอมป์ พิธาน” โต้แทนอีกมุม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ออม สุชาร์” โดนแฉ ฮุบกิจการ 100 ล้าน “พริม-อดีตผจก.” ดอดซื้อหุ้นศสา 4 เปอร์เซ็นต์ให้เซ็นสัญญารักษาความลับ ละเมิดปรับ 5 แสน ปลดพริมจากกรรมการไม่เป็นธรรม ให้คนในครอบครัวทำหน้าที่แทน “แอมป์ พิธาน” โต้กลับอีกมุม ร้อนฉ่า พริมแจงปม “น้ำชา” แขวะ แสดงเก่ง เรื่องจบไปนานแล้ว เขาก็ได้เงินไปแล้ว

กรณี “ออม สุชาร์”ถูกกล่าวหาฮุบกิจการ Fleen Beauty มูลค่า 100 ล้านจากหุ้นส่วน คือ “พริม ณัฐชา”และ “ศสา” อดีตผู้จัดการส่วนตัว กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคม ต้นเหตุมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้น และปลดพริมออกจากการเป็นกรรมการบริษัท

รายการ โหนกระแส วันที่ 18 ก.ย.ดำเนินรายการโดย “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.35 น. ทางช่อง 3 กดหมายเลข 33 สัมภาษณ์ พริม ณัฐชา และ ศสา อดีตผู้จัดการส่วนตัวของออม สุชาร์, ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษานักอาชญาวิทยาเชิงพฤติกรรม และผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริการวิชาการ คณะสังคมศาสตร์ ม.มหิดล , ทนายเป้ง ทนายอรรณพ บุญสว่าง ทนายฝ่ายพริม

คุณพริมรู้จักออม สุชาร์ได้ไง?
พริม : รู้จักจากพี่ศสานี่แหละค่ะ เป็นคนแนะนำให้รู้จัก รู้จักกันมานาน มีการพูดคุยกันเรื่อยๆ มีอยู่วันนึง ทางพี่ศสานัดกินข้าวกัน หลังโควิดเราหาอะไรทำ ประมาณนั้นค่ะ

ศสา : รู้จักพริมมาเป็นสิบปีแล้วค่ะ เราก็อัปเดตชีวิตว่าพริมทำอะไรอยู่มั้ย เขาบอกยังทำแบรนด์อยู่ แต่ดร็อปไว้ก่อน ยังไม่ได้สานต่อ เพราะพริมกลับไปอยู่ระยอง

ตอนนั้นพริมมีผลิตภัณฑ์ RAD?
พริม : ก็เป็นแบรนด์เดิม ซึ่งตอนนี้ไม่เกี่ยวกันแล้วนะคะ

ศสา : เราบอกพริมว่ายังไงเรานัดเจอกัน อัปเดตชีวิตกัน ถ้าเผื่อมีอะไรทำร่วมกันก็มาคุยกัน พริมชวนว่าเราทำอะไรร่วมกันดีมั้ย เราบอกว่าอยากทำโปรดักส์ขายในออนไลน์ เรามาทำเครื่องสำอางกันดีมั้ย ก็นัดพริมมาเจอกัน บอกพริมว่าแต่เรามีนักแสดงท่านนึงที่พี่เป็นผู้จัดการอยู่ พี่อยากให้พริมมาทำกับเขาด้วย อยากให้เราสามคนทำร่วมกัน

อาชีพศสาคืออาชีพนักแสดง คุณเป็นผู้จัดการแต้ว ณฐพร , คิมเบอร์ลี่ ใครอีก?
ศสา : มิน พีชญาอยู่พักนึง ,พี่โฬม , น้องยิหวา อีกหลายๆ คน ถ้าพูดถึงมีเป็นสิบกว่า

คุณเป็นผู้จัดการออมนานหรือยัง?
ศสา : ช่วงประมาณปี 2022 ค่ะ

หลังจากนั้นคุณมาหาพริม อยากทำอะไร เพราะโควิดมันเข้า นักแสดงไม่มีงาน ไม่มีเงิน จำเป็นต้องหาอาชีพเสริม เห็นเขาทำผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว?
ศสา : ใช่ค่ะ ศสาอยากมีความมั่นคงในชีวิต การเป็นผู้จัดการดารามายาวนานมีประสบการณ์ที่ดีมาก แต่สุดท้ายเราอยากได้ความมั่นคง อยากทำโปรดักส์ และรู้ว่าพริมเป็นคนที่เก่ง มีความสามารถ เรารู้เสมอ เพราะเขาทำแบรนด์มา ประสบความสำเร็จพอสมควร ก็เลยเชื่อใจและไว้วางใจ อยากชวนนักแสดงที่เราดูแลอยู่มาทำร่วมกัน

คุณชวนออกมารู้จักพริม?
ศสา : ช่วงแรกพริมบอกว่าหนูไม่ทำกับดารานะ หนูขอร้อง หนูอยากสโลว์ไลฟ์ อยากสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อนเยอะ หนูไม่เอาจริงๆ ดารา อันนี้พริมพูดชัดเจนกับเรา เราก็บอกว่าเชื่อพี่เถอะ ไว้ใจพี่ ตอนนั้นน้องนักแสดงก็เป็นคนน่ารักคนนึง ก็เอาตัวเองการันตี ว่าทำแล้วจะไม่มีปัญหา

คุณบอกว่าไม่เอาแล้วดารา คุณเข็ดอะไรกับดาราเหรอ?
พริม : ปกติของการทำธุรกิจค่ะ พริมแค่รู้สึกว่าการที่เรามีอำนาจจัดการ มันมีไดเรกชั่นที่ชัดเจน เราสามารถทำได้ ก็เลยไมได้อยากไปอะไร เราจ้างก็ได้ค่ะ

คุณเคยมีปัญหากับดารามั้ย?
พริม : เราทำธุรกิจมาก่อน เรามีเคสนึงที่เราแยกย้ายกันดีกว่า เราเลยไปซื้อหุ้น

น้ำชา?
พริม : ค่ะ (หัวเราะ)

คุณเคยทำธุรกิจกับน้ำชา มีปัญหาและแยกย้ายกันไป?
พริม : ก็แยกย้ายกันไปเติบโตค่ะ ณ วันนั้นที่มีปัญหา เราก็ไปเคลียร์ สุดท้ายก็ไกล่เกลี่ยจบกันไป แยกย้ายกันไป เขาก็มีแบรนด์ของเขา เราก็เติบโตกันไปคนละทิศทาง พริมมองว่าพ้อยท์นี้ไม่ใช่ประเด็น เรายังอยู่ในเส้นทางการทำธุรกิจของเรา เราก็แค่ปรับให้เข้ากับชีวิตของเรา ณ ปัจจุบัน ว่าเราจะเอายังไง มีดาราหรือไม่มีดาราไม่มีประเด็น เป็นแค่กลยุทธ์ค่ะ

สุดท้ายคุณยอมทำกับออม สุชาร์?
พริม : หนูเชื่อใจเขา การทำธุรกิจก็มาจากการเชื่อใจ พอพี่ศสาให้เราพบปะพูดคุยกับทางดารา ณ ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าพริมสร้างแบรนด์มาใหม่ก็ได้ เพราะพริมคือคนทำแบรนด์อยู่แล้ว พริมมีอาชีพเดียว พริมรู้ว่าจะทำยังไงให้สินค้าขายดี ทำยังไงให้สินค้าโดดเด่น พอพูดคุยกับพี่ศสาและตัวนักแสดง พริมรู้สึกว่าโอเค พริมจะลุยแบรนดิ้งแบรนด์เดิม แต่มันไม่เข้า อะไรไม่เข้าก็ไม่ควรไปฝืน เราก็บอกไม่เป็นไร เราทำขึ้นมาใหม่ก็ได้

คุณจะรี RA?
พริม : ใช่ค่ะ สุดท้ายก็วาง RAD ไว้ก่อน เราเจอพี่ศสาและเจอนักแสดง ก็ตกลงว่างั้นเซ็ตขึ้นมาใหม่ให้ดีกว่า มันจะได้เข้ากับเขาทั้งสองคนด้วย อยากให้เติบโตไปด้วยกัน ไม่ได้ฝืน หรือมองเป็นธุรกิจขนาดนั้น เรามาด้วยใจกันทั้งคู่ค่ะ

คุณตอบตกลงจะให้ออมทำธุรกิจด้วย?
พริม : ใช่ค่ะ เราคุยกัน

ศสา : เรื่องเป็นความจริงอีกอย่าง พริมคุยแล้วยอมที่จะมาทำด้วย แต่ศสาต้องช่วยทำให้สำเร็จ เพราะการทำร่วมกับดารา มีหลายสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ เราไม่อยากมีปัญหา

พูดง่ายๆ คือคุมให้อยู่ ธุรกิจจะได้เดินไปตรงไปตรงมา ประเด็นเรื่องแบ่งหุ้นคือยังไง?
ศสา : พริมก็ชัดเจนมาเลยตั้งแต่เดย์วัน พี่ศสา ถ้าหนูจะทำธุรกิจ หนูขอหุ้นใหญ่กว่าอีกฝั่งนึงนะคะ ส่วนเรา เราน้อมรับหุ้นเล็กกว่าอยู่แล้ว เพราะเราเข้าใจ พริมบอกหนูชัดเจนว่าขอเป็นหุ้นใหญ่ แต่น้องนักแสดงก็เคยบอกศสาเหมือนกันว่าถ้าเขาจะทำ เขาขอเป็นหุ้นใหญ่เหมือนกัน แต่หลังจากที่เราบอกว่ามันไม่ได้จริงๆ ทางนี้มีความชัดเจนก่อนเรานัดให้มาเจอกัน ไม่งั้นเขาขอไม่ทำ ทางนักแสดงก็โอเค ยอมหุ้นน้อยกว่า

พริม : ตอนแรกนะคะที่คุยกัน เป็นการตกลงกันด้วยใจ วาจา แต่พอธุรกิจดำเนินมา ก็กลายเป็น 48-48-4 เพราะตอนเปิดแบรนด์มาแล้ว ทางดาราขอต่อรองขอหุ้นเท่ากันกับทางหนู ซึ่งก่อนแบรนด์นึงจะเปิดตัว เปิดขายได้ ต้องมีการทำงานล่วงหน้า ทั้งการทำแบรนดิ้ง วางโปรดักส์ไลน์ หรือการที่เราต้องเมเนทจัดการต่างๆ เรารู้ว่าเราต้องเตรียมอะไรบ้าง ช่วงก่อนเปิดแบรนด์เกือบปี เป็นหน้าที่พาร์ตหลักที่เป็นหนู ตอนนั้นคุยกันหลายอย่าง เราเซ็นสัญญาหุ้นส่วน ผุ้ถือหุ้น มีคุยกันเรื่องสัดส่วนเรื่อยๆ แต่พอเปิดแบรนด์มา ฝั่งนั้นเรียกเราไปคุย และบอกว่าขอไม่เซ็น เป็นคนไม่เคยเซ็นสัญญากับใคร เขารู้สึกไม่สบายใจ ณ วันนั้นไม่เป็นไร เราคุยกันบนโต๊ะ เขาบอกว่าเขามีความอยากเป็นเจ้าของ เขาอยากได้หุ้นเท่ากันกับเรา

คุณยอมมั้ย?
พริม : คนเราเซ็ตแบรนด์ไปแล้ว ถ่ายงานไปแล้ว สต็อกของไปแล้ว ณ วันนั้นที่ใช้ทั้งหมดคือเครดิตหนู

ตอนขึ้นแบรนด์ไปแล้ว ใครคิดชื่อแบรนด์?
พริม : คิดร่วมกันค่ะ หนูเป็นคนเคาะใช้ชื่อว่า Fleen Beauty โรงงานที่ไปหาคือหนูค่ะ จดลิขสิทธิ์ทางปัญญาก็มอบอำนาจให้น้อง ให้คุณออมไปจดด้วย แต่เราก็ต้องเซ็นด้วย

มีอื่นๆ อีกมั้ยที่คุณดำเนินการ?
พริม : มีค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องการวางว่าจะขายยังไง ช่องทางไหน เปิดร้านค้ายังไง หนูเอาคอนเนกชั่นทั้งหมด โนฮาวทั้งหมดใส่ลงไปในแบรนด์นี้ เพราะหนูมีอาชีพเดียว พอหนูจะมาทำกับเขา หนูรับปากเขาว่ายังไงการทำธุรกิจเติบโตเป็น 100 ล้าน เราทำได้นะพี่ เราก็มาด้วยความหวัง ทุกอย่างก็ทุ่มเทให้แบรนด์นี้

คุณเองยอมปันหุ้นให้กับทางออม 48 เปอร์เซ็นต์ เลยกลายเป็น 48-48-4?
พริม : หนูก็เห็นหลายคนเมนต์ว่าใครมันจะไปทำให้ตัวเอวงเสียเปรียบ ทั้งที่ตัวเองสร้างมา หนูทำแบรนด์นี้มาด้วยใจ ให้ลองฟังก่อนก็ได้ อย่าเพิ่งตัดสิน

คุณได้ 4 เปอร์เซ็นต์?
ศสา : ตั้งแต่ต้นหนูถือ 10 เปอร์เซ็นต์แต่มีเรื่องราวลงมาเหลือ 4 เป็นเรื่องที่ซับซ้อน ตอนแรกลง 10 เปอร์เซ็นต์

พริม : ตอนนั้นเราตกลงกันว่าเราจะทำแล้ว ก็มีการเปิดหัวบิล เริ่มพัฒนาโปรดักส์ต่างๆ ทุนจดทะเบียนแค่ล้านเดียวก่อน จากนั้นมีจดอีก 2.5 ล้าน แต่ระหว่างทางเราพยายามนัดเขามาคุยกันเรื่อยๆ

คุณถูกทอนจาก 10 เหลือ 4 เปอร์เซ็นต์เพราะใคร?
ศสา : ตอนแรกขอค่ะว่าลงทุนไปเท่าไหร่ มันมีเรื่องของการที่ตอนนั้นน้องทั้งสองทำร่วมกันมา พริมก็ฟังน้องอีกฝั่งนึงด้วย มีการบอกแจ้งว่าจะลงกันคนละมากๆ เลย แจ้งหนูนะคะ เราก็บอกว่าถ้าลงมากๆ 10-20 ล้านต่อคน เราก็คงไม่ไหว เราเชื่อแบบนั้น

มูลค่าในการจดจะไปหลายสิบล้าน ซึ่งต้นทุนเราอาจไม่ได้ลงมากขนาดนั้น คุณจำเป็นต้องทอนหุ้นลงมาเหลือ 4 เปอร์เซ็นต์ แต่ขณะเดียวกัน มันไม่ได้เป็นหลายสิบล้านเหมือนที่เขากล่าวอ้าง เหมือนโดนหลอกส่วนนึง?
ศสา : ไม่รู้ใช้คำนี้ได้มั้ย แต่เรารู้สึกว่าเราเป็นตัวเล็ก

คุณทอนหุ้นลงมา จะโทษออมคนเดียวคงไม่ได้ เพราะต้องเป็นการตกลงระหว่างพริมกับออมด้วย?
ศสา : ที่มาพูดไม่ได้จะมาว่าฝั่งน้องเลย เราบริสุทธิ์ใจ อยากพูดความจริงทั้งหมดตั้งแต่เดย์วัน ว่าอะไรเป็นยังไง รายละเอียดเป็นยังไง

ออมลงเงินมั้ย?
พริม : ลงค่ะ

หลังลงทุนไปเรียบร้อย ดำเนินกิจการได้ไม่นานมาก กลายเป็นว่าศสาเสีย 4 เปอร์เซ็นต์นี้ออกไป ออมบอกว่าเขาซื้อศสามาโดยถูกต้อง แต่ศสาบอกว่า ณ วันนั้นอาจจะใช่ แต่หลังจากทราบเรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่ ตรงนี้เป็นตัวแปรสำคัญด้วยเหมือนกัน สุดท้ายคุณพริมถูกเอาออกจากการทำงาน ลูกน้องเอาออกมาหมด ปัจจุบันคนที่ดำเนินการ กลายเป็นออมถือ 52 เปอร์เซ็นต์ เขาเอาญาติพี่น้อง พ่อมาทำ ตั้งค่าพรีเซ็นเตอร์ให้คนโน้นคนนี้ โดยคุณไม่มีสิทธิ์มีเสียงแล้ว?
พริม : หนูพยายามคัดค้าน แต่มันไม่เป็นผลค่ะ

คุณให้ออมถือ 48 เปอร์เซ็นต์ ลงทุนเหมือนกันหมดเลย แล้วปัญหาเกิดอะไรขึ้น?
พริม : ณ วันนั้นพอเขาไม่อยากเซ็น หนูร้องไห้เลย เพราะไม่เหมือนกับสิ่งที่เราเคยคุยกันไว้ตลอดเกือบปี หนูร้องไห้แล้วบอกว่าถ้าวันนึงหนูไปทำธุรกิจอื่นพี่ออมโอเคมั้ย เขาบอกโอเคสิ คนเราไม่จำเป็นต้องมีธุรกิจเดียว วันนั้นหนูก็ออกมาจากบ้านเขา แล้วค่อยโทรกลับไปบอกว่างั้นก็ตามนั้นแหละค่ะพี่ เราก็ลุยไปด้วยกันเนอะ หนูมองไปข้างหน้าแล้วค่ะ หนูเข้าใจแบบนั้นมาตลอด

ศสา : น้องโทรหาพี่ด้วย ว่าวันนี้ได้พูดคุยกับพรีม พูดคุยกันถึงเรื่องทุกคนมีสิทธิ์ทำโปรดักส์อะไรก็ได้ น้องเองก็มีสิทธิ์รับงานพรีเซ็นเตอร์ใดๆ ก็ได้ พี่ศสาเองก็มีสิทธิ์ทำโปรดักส์อะไรก็ได้ ตัวพริมเองก็มีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้

จะบอกว่าคุณมีผลิตภัณฑ์ตัวนึงคือ RAD ขายเครื่องสำอางเหมือนกับ Fleen ซึ่งคุณจดใหม่?
พริม : ไม่เหมือนกันค่ะ ตอนหนูตัดสินใจมาทำ Fleen หนูก็ไม่ได้ไปยุ่งกับ RAD ระยะเวลาเกือบปี ก็เซ็ตอัป Fleen หาทีมงานทำทุกอย่างขึ้นมา ณ วันที่เรื่องเปอร์เซ็นต์หุ้นส่วน พอเราตัดสินใจจะเดินหน้าต่อ เราก็เดินหน้าต่อตามนั้น อะไรโอเค ไม่โอเค ก็เข้าใจตามนั้น

RAD ก็เป็นของคุณอยู่?
พริม : หนูเป็นผู้ก่อตั้ง RAD ค่ะ

คุณมีชื่ออยู่ใน RAD ใช่มั้ย?
พริม : ณ ตอนนั้นใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ค่ะ

ทางเขาก็ไปฟ้องเหมือนกันว่าคุณค้าแข่ง?
พริม : ใช่ค่ะ

เพราะคุณมี RAD อยู่ แล้วคุณก็มาขึ้น Fleen คุณก็รู้ไส้รู้พุง Fleen และรู้ไส้รู้พุง RAD ถ้า Fleen ออกลิปสติกมาสักแท่งนึงว่าสีนี้ๆ RAD ก็จะรู้เหมือนกัน เพราะคุณอยู่ตรงกลาง ฉะนั้นคุณมีสิทธิ์ออกสีนี้ แบบนี้เหมือน Fleen ในนาม RAD ตรงนี้หรือเปล่าที่ทำให้เขารู้สึกว่า ถ้าทำแบบนี้ไม่เป็นธรรมกับเขา เขาควรถือหุ้นมากกว่า?
พริม : เขารู้ว่าหนูทำ RAD มาตั้งแต่แรก หนูงงว่าทำไมทุกคนถึงหาว่าปิดบัง ต้องเข้าใจก่อนว่าเขารู้ว่าหนูทำ RAD มาตั้งแต่แรก และการที่เราเข้ามาทำธุรกิจกัน คือการเข้ามาใช้ความรู้ความสามารถทำแบรนด์หรือโปรดักส์ออกไป ต้องขอความเป็นธรรมกับหนูด้วย เพราะหนูมีอาชีพเดียวคือคนทำแบรนด์ แล้วต้องบอกว่ามันก็ดูถูกกันเกินไป ใครจะไปก็อปปี้ความคิดตัวเอง การที่เรามีแบรนด์ แบรนดิ้งหรือจุดขายแต่ละโปรดักส์ไม่เหมือนกัน อันนี้คือคนละกลุ่มลูกค้าเลยด้วยซ้ำ แต่อันมาบอกว่าเราจะมาเอาอันนี้ไปใส่อันนั้น อันนี้ดูถูกกันมากเกินไป เพราะทุกอันที่วางไลน์โปรดักส์หรือแบรนด์ ก็มาจากความคิดของหนู มาจากโนฮาวของหนู จะบอกว่าค้าแข่งมันไม่ใช่ อย่างหนูวางสินค้านี้ มันก็เป็นความคิดของหนู การที่เราจะคิดอย่างอื่นมันไม่ได้เลยเหรอ หนูมีอยู่อาชีพเดียวนะ

ตฤณห์ : ความรู้ความสามารถไม่มีใครเอาจากเราไปได้ การดูว่าใครเป็นไพโอเนียร์ง่ายมาก เอาสองคนมานั่งตั้งคำถามให้ตอบทั้งคู่ง่ายที่สุด แต่เรื่องกระดาษไม่สามารถแสดงออกได้ชัดเจนว่าใครไพโอเนียร์ เพราะมันมีวิธีการฉ้อฉลอย่างอื่น ให้เอกสารดูไปในแนวทางใดแนวทางหนึ่งได้ถ้ามาด้วยมิชอบ แต่ความเป็นต้นรับ ไม่มีใครแย่งจากคุณพริมไปได้ อย่างแบรนด์ RAD มาก่อนตั้งแต่แรก เขาเข้ามาขอให้ทำด้วย เพราะคุณทำแบรนด์มาก่อน ดังนั้นเขาต้องรู้เรื่องแบรนด์ดีกว่าคนที่มาทีหลังอยู่แล้ว

พริม : ถ้าหนูไม่ได้ทำแบรนด์หรืออยู่ในอาชีพนี้ ถามหน่อยว่าทำไมพี่ศสาถึงอยากจะพาหนูไปทำโปรดักส์แล้วสร้างเงินกัน

ทนายเป้ง : มุมกฎหมายค้าแข่ง จริงๆ ผู้ถือหุ้น RAD ควรเป็นคนที่อ้างว่าคุณพริมไปทำ Fleen แล้วค้าแข่ง RAD ไม่ใช่ Fleen ซึ่งเกิดทีหลังด้วยการรู้กันทุกฝ่ายของผู้ถือหุ้นว่าเขามี RAD มาก่อนแล้วถึงมาอ้าง จริงๆ RAD ต้องเป็นคนอ้างว่า Fleen มาค้าแข่ง

พริม : เหมือนรู้อยู่แล้วว่าหนูชอบกินทุเรียน เลือกซื้อบ้านร่วมกันกับหนู แล้วอยู่ดีๆ มาบอกว่าทำไมเรอเหม็นจังเลย พอเราออกไปอยู่นอกบ้าน ยึดกุญแจบ้าน ไม่ให้หนูเข้าบ้านแล้ว อันนี้หนูผิดเหรอคะ

คุณขายทไม 4 เปอร์เซ็นต์ ทำไมไม่บอกพริมก่อนว่าจะขาย 4 เปอร์เซ็นต์ให้ออม?
ศสา : เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนม.ค. น้องทักมาหลังจากที่ไม่ค่อยได้คุยกันมากเท่าไหร่ ทักมาว่าพี่ศสาน้องมีเรื่องไม่สบายใจ ทุกข์ใจเกี่ยวกับบริษัท เขาจับได้ว่าพริมใช้หัวจดหมายอีเมลไปเช็กเมเทอเรียลในการทำโปรดักส์ เอาหัวกระดาษ RAD ไปเช็กทางเกาหลี เขาไม่สบายใจ เขาว่าเรื่องนี้เขารับไม่ได้ เราบอกว่าจริงๆ เป็นเรื่องเล็กมากเลยนะ ลองสอบถามกันมั้ย ไม่อยากให้ขุ่นข้องหมองใจ อยากให้สอบถามไปเลยว่าเป็นเพราะเหตุใด ลืมเหรอ หรือทำงาน RAD อยู่แล้วไปเช็ก การที่จะไปเช็ก พี่คิดว่าเขาคงเช็กให้แบรนด์เราแหละ ในความรู้สึกเรา พริมไม่มีทางทำให้แบรนด์พัง

ออมเล่าให้คุณฟังว่าพริมเอาแบรนด์ RAD เช็กฝั่งเกาหลี ว่าเป็นอย่างนี้ๆ ทำไมไม่เอา Fleen?
ศสา : ยังไม่ใช่ พริมส่งไปเช็กอะไรบางอย่าง

พริม : หนูมาทราบภายหลัง เราไม่ได้คิดอะไรเลย แล้วอยู่ดีๆ บอกว่าเรากำลังพยายามจะก็อปปี้โน่นนี่นั่น ซึ่งเราฟังจากคนอื่นนะ เราอยู่วงการเครื่องสำอางมานานมาก จะมีการที่เราไปออกเอ็กซ์โปต่างๆ แล้วรอบนั้นพี่สาวเป็นคนไป เขาก็หวังดี ไม่ใช่เรื่องของหนูนะ พี่สาวหวังดี อันนี้มีหลักฐาน เขาบอกว่าเห็นตัวนี้ที่เกาหลีผลิต ราคาเท่าไหร่ เขาก็เช็กเข้ามา ซึ่งถ้าคนมันไม่บริสุทธิ์ใจ มันไม่ส่งเข้าเมล์บริษัทหรอก จริงๆ เรื่องพวกนี้มันคุยกันได้

คุณขายเขาทำไม 4 เปอร์เซ็นต์?
ศสา : น้องนักแสดงมาคุยกับเราว่าเขาขุ่นหมองใจ เขาไม่โอเค ระหว่างนั้นตั้ง่แต่ต้นเดือนม.ค. บางครั้งคุยกันประมาณ 3-4 ชม. เราก็รับฟังมาตลอด เขาขอร้องเราอย่างนึง ว่าขอร้องศสาห้ามโทรไปคุยกับพริม อันนี้ยืนยัน หนูบอกหนูขอโทรไปเคลียร์กับพริมให้ชี้ชัดไปเลยว่าพริมทำอะไรผิด ถ้าพริมทำอะไรผิด พี่จะเคลียร์กับพริม เพราะพริมเป็นน้องพี่ 10 กว่าปีแล้วที่รู้จักกัน ถ้าพริมทำอะไรผิดก็มาพูดดีๆ มันจะไม่วันนี้เกิดขึ้นเลย ถ้าเราคุยกัน แต่เขาเลือกให้ศสาไม่ต้องโทร ห้ามโทรเด็ดขาด ขอให้เป็นหน้าที่เขาในการจัดการเรื่องนี้ เราก็ฟังเรื่อยๆ มาตลอด จนถึงช่วง 20 เขาบอกว่าพี่ศสาว่างมั้ย มาเจอกันที่บ้าน จะทำกับข้าวกินกัน มีหลายสิ่งที่เราเคยปรึกษากัน ว่าเราจะทำแบรนด์เครื่องประดับ อันนี้เป็นเรื่องของหนู น้องก็น่ารัก ช่วยออกไอเดีย มาเจอกันที่บ้าน วันนั้นอาจมีปัญหาของ Fleen ด้วยแต่เราไปแบบบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ไปว่าเราต้องถูกขอซื้อหุ้น เราไปแบบไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย เราไปกับแฟน ไปกินส้มตำที่บ้านเขาทำให้ นั่งตั้งแต่ทุ่มนึง ฟังปัญหาทุกอย่าง มันฟังมาเยอะแล้วค่ะ พอฟังมาเยอะ เหมือนปัญหาที่เขามี เขากล่าวหาพริมและสามีพริม ซึ่งเยอะมาก นอกจากเรื่องอีเมล ก็เป็นเรื่องของพริมที่ไม่เก่ง จะทำให้บริษัทขาดทุน ถ้าปล่อยเอาไว้บริษัทจะพัง พริมไม่เก่งพอ บริหารงานผิดพลาด ไม่ว่าสต็อก สั่งมาเยอะเกินไป ล้นไปหมด เรื่องการเมเนทกับความเก่ง พริมไม่ใช่คนเก่ง

เขาบอกคุณหรือเปล่าว่าบริษัทนี้มันจะพัง?
ศสา : บอกค่ะ

บริษัทจะพัง ถ้าพริมบริหารต่อไป มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนมือให้คนอื่นเข้าไปบริหารแทน?
ศสา : ถูกค่ะ พอฟังแล้วก็รู้สึกว่าสร้างมาด้วยกัน อย่าทะเลาะกัน มาเคลียร์กันดีกว่า ถ้าพริมมีจุดไหนที่พลาด ก็มาปรับกัน แค่นั้นเอง อย่าทะเลาะกัน แต่ใจเขาไม่ได้แล้ว เขาอยากจัดการ อยากบริหาร เขาพูดถึงเรื่องราวอีกเยอะแยะมากมาย เช่นพี่ม่อน สามีพริม ซึ่งอยู่เคียงข้างตั้งแต่เดย์วันในการทำแบรนด์ เราเคารพพี่ม่อนตลอด เรารับฟังปัญหาเยอะมาก มีปัญหาหลายเรื่องมาก เช่น พี่ม่อนกับพริมใช้เงินบริษัทในทางมิชอบ เช่นนั่งบิสิเนสคลาส เฟิร์สคลาส เราก็เอ๊ะ การนั่งแบบนี้ไม่ใช่นิสัยเขานี่หว่า

ตฤณห์ : เขามีหลักฐานมั้ย วันที่เขาพูด

ศสา : ทุกอย่างเป็นคำพูดหมดเลยค่ะ มันมีหลายเรื่อง อีกจุดนึงเลยที่สำคัญมาก วันนั้นมีคุณพ่อ มีหลายคนเลยค่ะ ช่วยกันพูด

จะบอกว่าคุณโดนหว่านล้อมเพื่อให้ขายหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์?
ศสา : ใช่ค่ะ มันก็เข้าปัญหาหลายๆ อย่าง ที่พริมทำผิดโน่นนี่นั่น ที่เขากล่าวหา แล้วก็เข้าเรื่องเขาอยากขอซื้อหุ้น เราก็บอกว่าเราขออยู่ยาวๆ ไม่ขอขาย เพราะสร้างมาด้วยกัน ก็รักแบรนด์นี้ ถึงแม้เราถือแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ แต่เราก็อยากอยู่ไปยาวๆ เพื่อให้บริษัทซัคเซส เราอยากเห็นวันนั้น เราอยากให้บริษัทมีความมั่นคง น้องทั้งสองสัญญากับพี่เสมอว่าจะทำให้บริษัทมันไปได้ไกลๆ มากๆ พี่มีอยู่ 4 เปอร์เซ็นต์ ถ้าซัคเซสมากก็โอเคแล้วนะ

คุณขายไปเท่าไหร่?
ศสา : ตอนแรกเขาขอซื้อที่ 1 ล้านบาท

พริม : ทุนจดทะเบียน 2.5 ล้าน เป็นธุรกิจค่อนข้างลีน แต่ละคนเอาจุดแข็งมารวมกัน หนูเองเอาเครดิตคู่ค้าต่างๆ มาเป็นเครดิตหนู เอาง่ายๆ ขายก่อนแล้วจ่ายทีหลัง สองสามเดือนก็ยังได้ อันนี้คือเครดิตฝั่งหนู มูลค่าเยอะ ส่วนพี่ศสาอยู่วงการมานาน ก็ส่วนพีอาร์อินฟลูฯ ส่วนของดาราด้วย

ศสา : ตอนแรกน้องแจ้งเราว่าน้องไม่ได้มีเงินเยอะ พอเราได้ยินว่าขอซื้อหุ้น อันดับแรกเลยคือขอดูผลประกอบการบริษัทได้มั้ย พี่ไม่เคยรู้เลยที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2023-2025 พี่ไม่เคยรับทราบว่าบริษัทมีกี่บาท แต่ละเดือนขายได้เท่าไหร่ อันนี้ถามไปชัดเจน เขาบอกว่าเขาไม่รู้เหมือนกัน เราบอกว่าจะเป็นไปได้ยังไง น้องถืออยู่ 48 เปอร์เซ็นต์

พริม : เขาจะไม่รู้ได้ยังไง เพราะบัญชีบุ๊กแบงก์อยู่ที่บ้านเขา ตราประทับอยู่ที่บ้านเขา เขาสามารถเข้าถึงระบบการเงินของบริษัท

ใครดูแลบัญชี?
พริม : บัญชีอยู่ที่บ้านเขา แต่การโอนเงินหนูเป็นคนทำธุรกรรม และอัปลงกูเกิ้ลไดร์ฟทุกอัน มีหลักฐานเขาเข้าถึงโฟลเดอร์นี้ทุกคน ได้ตลอดเวลาค่ะ เราทำธุรกิจเราทำด้วยใจ ทำด้วยความจริงใจ

ตฤณห์ : ทุกอย่างเช็กได้ตลอดเวลา แต่เขาบอกว่าไม่รู้เรื่องผลประกอบการ แสดงว่าไม่จริงแล้วหนึ่งเรื่อง

ศสา : ถูกต้อง เขาบอกเลยว่าเขาเองไม่เคยรู้ หนูจำคำพูดเขาได้ทุกอย่าง เขาบอกไม่เคยรู้เหมือนกัน ต้องไปบวกเอาเองในติ๊กต๊อก ช้อปปี้ ลาซาด้า ฟังแล้วเราก็อึ้ง ทำไมฝั่งนี้ทำอย่างนี้ เขาบอกฝั่งนี้ทำบัญชีอยู่

คุณโดนปั่น?
ศสา : ก็ต้องบอกอย่างนั้นค่ะ ชัดเจน เพราะพอเขาบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน เราเองก็บอกว่าพี่เข้าใจได้นะว่า 4 เปอร์เซ็นต์พี่ไม่เคยรับทราบ

เขาแจ้งคุณหรือเปล่าว่าบริษัทขาดทุน?
ศสา : แจ้งค่ะ เราถามว่าก่อนซื้อหุ้นพี่ไป พี่ขอดูหน่อยได้มั้ย ขอความชัดเจนจากน้อง ช่วยไปคุยกับใครก็ได้ที่มาตีค่าแวลู่บริษัทก่อน ถึงพี่มีแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ แต่พี่อยากได้ความถูกต้องและความชัดเจน เพราะก่อนเราขาย 4 เปอร์เซ็นต์นี้ไป มันเป็นความฝันของเรา

ตฤณห์ : ทางงนี้อยากทราบมูลค่า ว่าขายได้ล้านนึงจริงมั้ย อาจขายได้มากกว่านี้ก็ได้ ถ้ามีกำไร

ศสา : ถูกต้อง เราบอกชัดเจนว่าถ้าล้านนึงขอไม่ขายค่ะ หนูก็รักแบรนด์หนู อยากอยู่แบบนี้ไป ผู้ใหญ่อีกท่านก็บอกว่าขอให้ 1.3 ล้าน

ประเด็นหลักสำคัญ คุณขายเขาโดยชอบหรือมิชอบ คุณโดนเขาหลอกให้ขาย หรือคุณขายโดยสมัครใจ?
ศสา : พอเรารู้ความจริงทั้งหมดแล้ว มันคือมิชอบ ถูกฉ้อฉล ปกปิดข้อมูลความจริงค่ะว่าบริษัทเหลือเงิน 6 ล้าน และมีหนี้โรงงานเต็มไปหมด ตอนนี้บริษัทเหลืออยู่ 3 ล้านบาท

ซึ่งจริงๆ เป็นหรือไม่เป็น?
พริม : ไม่เป็นค่ะ ที่จ่ายโรงงานมันน้อยมาก เพราะ ณ วันนั้นที่เขาคุยกับพี่ศสา 24 ม.ค. บริษัทมีเงินมากกว่าที่เขาบอกนะคะ

ศสา : ตอนแรกน้องบอกว่ามี 6 ล้าน มีค้างจ่ายอีกเยอะ เหลืออยู่ในบัญชี 3 ล้าน

พริม : เอาแค่ยอดขายเดือนม.ค. ปี 68 คือ 10 กว่าล้าน

คุณเข้าใจว่าบริษัทติดตัวแดง แต่จริงๆ มีกำไร?
ศสา : ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าเอาไว้ก่อน ดีกว่าไม่ได้ หนูคิดด้วยความบริสุทธิ์ใจเลย ตอนนั้นคิดว่าพริมผิด เพราะฟังมาเยอะ อยากให้น้องได้ไปบริหาร นี่คือจากใจจริง สาบานเลยค่ะ ตอนแรกน้องไม่ได้จะให้ราคานี้ด้วย

กลายเป็นว่าสุดท้ายพริมและสามีถูกถอดออก และลูกน้องอีกส่วนนึง ออมไปตั้งคุณพ่อและพี่น้องให้มาทำงานในนี้ ในฐานะถือหุ้น 52 เปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้พลิกหรือไม่พลิกอยู่ที่ตัวศสา ว่าขายหุ้นให้เขาชอบหรือไม่ชอบ เจตนาที่รับทราบและขายหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์ นอกเหนือจากเขามาบอกว่าทางนี้ไม่ดี มีเจตนาอื่นอีกมั้ยที่ยอมขายเขาไป?
ศสา : ที่ต้องยอมขายเลย เพราะข้อมูลคือบริษัทขาดทุน จะพังแล้ว จะเจ๊งแล้ว ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป จะพังไปกันใหญ่

ตฤณห์ : เราต้องร่วมจ่ายหนี้ด้วย ถ้าขาดทุน

ศสา : ตอนนั้นก็คิดอยู่ค่ะว่าโห ถ้าขาดทุนก็เรื่องใหญ่เลย

ทนายเป้ง : ขาดทุนแล้วขอลงทุนเพิ่มมีลงต่อจากเขามั้ย จะหดไปจาก 4 เปอร์เซ็นต์เท่าไหร่

ศสา : ตอนนั้นคิดเยอะมาก ก็เลยขายดีกว่า เพื่อให้ไม่เสี่ยงต่อตัวเอง เพราะมันเสี่ยงมาก เราไม่สามารถแบกรับตรงนั้นได้

จากข้อมูลที่เขาให้มา คุณฟังเป็นแบบนั้น แล้วคุณทราบได้ไงว่าบริษัทไม่ได้ขาดทุนจริงนี่หว่า?
ศสา : หลังจากนั้นปล่อยช่วงว่างมานานเลย วันนั้นหนูมีการเซ็นเอกสารด้วยนะคะ สัญญาซื้อขาย และสัญญารักษาความลับ ให้เก็บเรื่องการขายหุ้นเป็นความลับ

ห้ามคุณเอาเรื่องนี้ไปพูดที่อื่น หรือห้ามพูดให้พริมฟัง?
ศสา : เรื่องไม่ต้องพูดกับพริมนี่ห้ามมาตลอดอยู่แล้ว แต่สัญญารักษาความลับต้องห้ามเปิดเผยเลย ต้องเก็บไว้คนเดียว ห้ามให้ใครรู้เรื่องการซื้อหุ้น

ทนายเป้ง : จริงๆ มันปิดบังไม่ได้อยู่แล้ว มันเป็นสาธารณะ

ศสา : ตอนนั้นเราดูเอกสารแล้วบอกทางเขาว่า อันนี้ขอเอาออกได้มั้ย ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายที่อื่นที่ไม่ใช่พี่ พี่ต้องโดนปรับ 5 แสนเหรอ เขาบอกว่าไม่ปรับๆ

ถ้าพูดเรื่องนี้คุณโดนปรับ 5 แสน จริงๆ การโอนหุ้นไม่เป็นความลับนะ?
ทนายเป้ง : ไม่เป็นความลับ ต้องจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์

ตฤณห์ : ยกเว้นคนขอซื้อต้องการให้เป็นความลับเพราะมันไม่ตรงไปตรงมาครับ เขาเลยขู่คุณ จริงๆ สัญญาไม่มีผลอะไร เขาเอาไว้ขู่คุณเฉยๆ ไม่ให้คุณพูด ไม่ได้มีผลอะไร มีผลกับคุณคนเดียว

ทนายเป้ง : ที่นั่งตะกุกตะกักมาทั้งรายการ คือไอ้สัญญารักษาความลับ

ศสา : ใช่ค่ะ

ตฤณห์ : ฟังดูแล้วกลัวกระบวนการทางกฎหมายซึ่งคุณไม่รู้ มันไม่มีผลครับ

ก็ว่าทำไมตะกุกตะกักตั้งแต่แรก คุณไปทำสัญญากับเขา ไม่ต้องกลัวเลย ไม่ได้เป็นความลับ ใครเช็กก็ได้?
ศสา : เราก็ตะกุกตะกักมาตลอด เพราะมีอะไรตรงนี้ (หัวเราะ) แต่เรามีการบอกกับทางนั้นว่าขอเอาข้อนี้ออก เพราะมันไม่จำเป็นต้องมี

ตฤณห์ : ตอนแรกพูดด้วยวาจา ฝ่ายนั้นเขาไม่เซ็นสัญญาใดๆ เพราะพูดกันด้วยวาจา พูดกันด้วยใจ แต่พอเขาแอบทำธุรกรรมข้างหลัง เขาขอให้คุณเซ็นหมดเลยนะ แต่การรับปากด้วยวาจาเขาไม่ยอมเซ็น แต่เขาให้คุณเซ็น ฉะนั้นคุณไม่มีหลักฐานว่าคุณตกลงอะไรกับเขา แต่เขามีหลักฐานเวลาคุณทำอะไรกับเขา อันนี้เราเรียกว่าเหลี่ยมครับ

จะบอกว่าคุณโดนให้ขายหุ้นโดยมิชอบ เพราะหลงเชื่อที่บอกว่าบริษัทขาดทุน ต่อไปคุณอาจลำบากได้ คุณเลยจำเป็นต้องขาย?
ศสา : ใช่ค่ะ อีกเรื่องเขาบอกว่าถ้าซื้อหุ้นไปแล้ว เดี๋ยวให้กลับมาซื้อคืนได้นะในวันที่เขาครอบครองไปแล้ว

มีหลักฐานมั้ย?
ศสา : ไม่มีค่ะ เป็นคำพูด

ตฤณห์ : เขาจะเลือกเก็บหลักฐานเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณต่อฝั่งเขา อีกอย่างเวลาทำสัญญา มีเรื่องธุรกิจ เรื่องกฎหมายกับเรื่องมารยาท ศีลธรรมอีกเรื่องนึงนะ เพราะบางครั้งซื้อหุ้นทำได้ แต่ทางมารยาทแล้ว คุณทำธุรกิจด้วยกัน ทำแบบนี้ลับหลังกัน มันคือการแอบทำ แล้วคุณจะเชื่อใจได้ไง ไปแอบซื้อหุ้นแบบนี้ ผมใช้คำว่าแอบเพราะเขาไม่ให้คุณพูด ถูกกฎหมายแต่ผิดศีลธรรม ส่วนใหญ่คนทำธุรกิจไม่มีศีลธรรมก็เยอะครับ เพราะมุ่งหวังกำไรอย่างเดียว

มีคลิปที่คุณไปทำสัญญา เขาส่งมาให้ผม ล่าสุดคุณน้ำชาขึ้นสตอรี่ไอจีถี่ๆ เลย ไม่รู้พูดถึงคุณหรือเปล่า มีข่าวว่าทางเขาเคยเสนอขายหุ้นคืนคุณ 52 เปอร์เซ็นต์ 30 กว่าล้านเอามั้ย?
พริม : ใครเสนอคะ ทางโน้นเหรอ งั้นต้องถามทางบ้านแล้วว่าเอามั้ย ตอนนี้เราถูกออกจากบริษัทตัวเอง เงินปันผลก็ไม่ได้ จากที่เคยมีเงินเดือนกลายเป็นไม่มีเงินเดือน อยู่ดีๆ มาเสนอขายเราอีก ทางบ้านเอามั้ยคะ ตอนนี้หนูไม่มีอำนาจอะไรเลยนะ บัญชีขอไปก็ไม่ได้ดูนะ

น้ำชาเขาถ่ายลงกับออม ทำตัวเป็นเหยื่อทุกเรื่อง มองตัวเองบ้างนะคะ?
พริม : เขาหมายถึงใครคะ

แสดงเก่งขึ้นเยอะ หลังจากฝึกมาหลายปี?
พริม : (ตบมือ) ไม่ได้เป็นนักแสดงด้วยสิ นักแสดงก็มา

งูเขียวแลบลิ้น ไม่รู้หมายถึงใครนะ แต่เขาถ่ายรูปกับออมมา?
พริม : ไม่เกี่ยวกับหนูนะคะ หนูกับเขาจบไปนานแล้วค่ะ จบที่ศาล เขาได้รับเงินไปแล้วด้วย

ใคร?
พริม : ดาราท่านนึง (หัวเราะ) ก็ไม่เข้าใจว่าไม่จบเหรอ

ดูคลิปที่ฝั่งคุณออมส่งมา ศสาขายหุ้นให้ออม ได้เงินทั้งหมด 1.5 ล้าน โอนเข้าบัญชีอีก 1 ล้าน รวมเป็น 2.5 ล้าน คุณเองรับทราบทุกอย่าง ยอมขายเขาโดยดี?
ศสา : การถูกข้อซื้อหุ้นจากข้อมูลฉ้อฉลทุกอย่าง เราไม่ได้ตั้งตัวว่าเขาจะอัดวิดีโอไว้ แต่เราก็ยินดีให้เขาอัดวิดีโอ เพราะเป็นสิ่งที่เขาร้องขอมา หนูก็ยินดีเซ็นเอกสารทุกอย่าง เพราะวันนั้นรู้ไม่ทันจริงๆ

ทนายเป้ง : อึดอัดขอแทรก จะบอกว่าทำไมเขาไม่อัดเวลาเขาเจรจาหว่านล้อม แต่ตอนจ่ายเงินเขาอัด ถ้าเดานะจะได้เอามายืนยันว่าเจตนาขายจริงๆ ตั้งใจ สติสัมปชัญญะครบ เงินจ่ายจริง เขาเตรียมตัวมาถ่าย ถูกมั้ย เตรียมเงินมาจ่าย ถูกมั้ย ตอนให้ข้อมูลที่คุณเล่าทั้งหมด เขาถ่ายมั้ย ทั้งหมดทั้งมวลคิดว่าเกิดจากการวางแผนหรือไม่ ทำไมฝ่ายเขาเก็บหลักฐานเป็นขั้นเป็นตอน เป็นแผนงาน

ทางโน้นแย้งมาอีกข้อ พอคุณบอกว่าคุณคิดว่าขาดทุน แต่วันรุ่งขึ้นคุณไปขอปันผลเขานะ?
ศสา : ต้องบอกว่าในความรู้สึกหนู มันอยู่ในใจตลอดว่าเขาขายหุ้นปี 2025 แล้วปี 2024 ผลประกอบการเท่าไหร่ วันรุ่งขึ้นไม่ได้ขอนะคะ ไม่ได้คุยกันเลย เราขอปันผลจากปี 2024 หนูขายปี 2025 เราบอกว่าปันผลปี 2024 จะแบ่งมั้ย บริษัทมีอยู่เท่าไหร่ มาถามหลังจากนั้นนานแล้วนะคะ

คุณขาย 4 เปอร์เซ็นต์ไป รู้สึกว่าขายมิชอบ ทำให้คุณหลงเชื่อ แต่ 4 เปอร์เซ็นต์ มีผลต่อเนื่อง คุณออมถือ 52 เปอร์เซ็นต์ มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณ?
พริม : เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น หนูไม่ได้ทราบตั้งแต่ต้น เพราะศสาก็ไม่ได้บอกหนู

ศสา : มันบอกไม่ได้ เพราะโดนปรับ 5 แสน

พริม : มารู้อีกทีเดือน 3 เดือน 4 แล้ว มารู้ในที่ประชุม ที่ทางดาราพูดออกจากปากเอง ปัญหามันเต็มไปหมด เราก็ต้องแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบ พอเราจะโทรหาเขาเท่านั้นแหละ เขาก็บอกว่าไม่ต้องโทร ซื้อไปแล้ว 4 เปอร์เซ็นต์ หนูก็เฮ้ย ไม่คิดว่าการที่เราทำธุรกิจด้วยกันมาด้วยหัวใจ การที่เราเชื่อใจ เขาจะไปซื้อ 4 เปอร์เซ็นต์ แต่มีผิดแปลกคือช่วงเดือนก.พ. เขาบอกว่าจะปลดหนูออกจากกรรมการ ซึ่งมันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อหุ้นเราเท่ากัน แต่เขามั่นใจมากว่าเขาจะปลดหนูให้ได้ ตอนนั้นหนูติดต่อพี่ศสาตลอด แต่เขากระอึกกระอักทำตัวไม่ถูก จนหนูรู้จากดารานั่นแหละว่าเขาซื้อ 4 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว หนูเลยบอกเขาไปว่าหนูรู้แล้ว จากปากดาราว่าถูกซื้อไป แล้วหนูก็รู้แล้วว่า กลายเป็นว่าหนังสือที่ส่งมาจะปลดกรรมการ เปลี่ยนแปลงกรรมการ เปลี่ยนแปลงการโอนเงิน กำลังจะเกิดขึ้นกับหนู ทั้งที่หนูทำบริษัทนี้มาด้วยน้ำพักน้ำแรง มันช็อกนะ ตอนเห็นจดหมาย กำลังจะโดนจัดประชุมเพื่อวาระเหล่านี้ ช่วงปลายๆ มี.ค.แล้วค่ะ แล้วเขาเองก็ไปทำการจัดประชุมช่วงเม.ย. ในการนำหุ้นคุณศสามานับรวม และปลดหนูออกจากกรรมการ กรรมการใหม่แต่งตั้งเข้าไปเป็นครอบครัว มีบิดา และลูกพี่ลูกน้อง นำหนูออก และมีการเปลี่ยนแปลง เซ็นคนเดียวพร้อมตราประทับ รู้ไม่กี่วันก่อนตัวเองเจอสิ่งนี้ค่ะ ซึ่งก่อนหน้านั้น หนูทำงานตามปกติ หนูมีทีมงานที่ต้องดูแล ทั้งหมดนั่งอยู่ในออฟฟิศเดียวกัน เราก็ดูแลน้องๆ ทุกคน เป็นสิ่งที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจะเกิดสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเราค่ะ

ทนายเป้ง : เขาเข้ามาทำงานในออฟฟิศมั้ย

พริม : ช่วงแรกเราลีนมากๆ เราประหยัดใช้ออฟฟิศที่ระยอง คือออฟฟิศของสามีค่าเน็ตค่าแอร์เราไม่คิดเลย เพราะเรามาด้วยกัน เราต้องช่วยกัน ช่วยกันสร้างสิ่งนี้ไปด้วยกัน ไม่งั้นหนูก็คิดหมดแล้วถูกเปล่า น้องๆ หนูก็ดูแลเป็นอย่างดี

คุณได้ประสาน สอบถามมั้ย?
พริม : พอเราทราบเรื่อง เขาจัดประชุม เขาปลดหนู หนูก็เหมือนคนถูกตัดสิทธิ์ไปเรื่อยๆ เราคุยกันไม่ได้หนูพยายามติดต่อ หนูยินดีคุยตลอด ขอคุยเฉพาะตัวบุคคล แต่ไม่มีการพูดคุยกันแบบตรงไปตรงมา

ไม่ได้คุยกับออมคนเดียว?
พริม : ไม่เคยได้คุยคนเดียว จะมีคนอื่นรอบๆ ค่ะ

หมายถึงคุณแอมป์ พิธานหรือเปล่า?
พริม : อันนี้หนูขอไม่เอ่ยดีกว่าค่ะ ไม่ได้กลัวเขาฟ้อง แต่ในที่ประชุมก็มีบุคคลอื่นๆ ด้วยค่ะ

หนึ่งในนั้นคือคุณแอมป์ เพราะเป็นคนสนิทคุณออม มันไม่จบเหรอ?
พริม : มันไม่จบ หลังจากที่หนูถูกปลด ก็เริ่มมีการถูกตัดสิทธิ์หลายๆ อย่างตามมา หนูไม่สามารถเข้าถึงโซเชียลมีเดีย เขาถึงระบบหลังบ้าน ไม่สามารถเห็นยอดขายขอข้อมูล โดนทวงสิทธิ์คืน ก็มีการให้เบอร์โทร พาสเวิร์ดต่าง ๆ หนูหลุดออกจากทุกระบบหลังบ้าน ยอดขายเท่าไหร่ สต็อกยังไง หรืออีเมลบริษัท หรือโซเชียลมีเดีย ขนาดแบรนด์ยังบล็อกหนูเลย น่าสงสารมั้ย (หัวเราะ)

แต่คุณมีหุ้นอยู่ไม่ใช่เหรอ?
พริม : แต่แบรนด์ยังบล็อกหนูเลย (หัวเราะ) หนูเป็นคนสมัครอีเมลกับมือ ทุกอย่างที่เราทำมา เซ็ตไว้ กรุ๊ปไลน์ที่คุยกับคู่ค้าโดนเตะออกทุกกรุ๊ปค่ะ 30 กว่ากรุ๊ปค่ะ

ตฤณห์ : นี่ไม่ใช่ปกติของคนทำธุรกิจร่วมกัน เหมือนคนเกลียดกันและทำร้ายกันมากกว่า

ทนายเป้ง : ทำไมผู้ถือหุ้นดูไม่ได้เหรอ

พริม : หุ้นเท่าเดิม แต่สิทธิ์ไม่เหลือเลย มีการขอดูยอดขาย ก็ไม่มีการชี้แจงใดๆ แล้วจะมีหุ้นไว้ทำไมคะ

ตฤณห์ : แปลก คุณมีหุ้น 48 เปอร์เซ็นต์แต่ทำอะไรไม่ได้เลย เท่ากับศูนย์ ได้เงินเดือนมั้ย

พริม : ไม่ได้ค่ะ

ตฤณห์ : เหมือนฟรีซไว้ เขาขอซื้อหุ้นคุณมั้ย

พริม : เขาบอกว่าให้รับไป 10 ล้านค่ะ แต่เรื่องนี้ก็อยู่ในกระบวนการกฎหมาย ถ้าคุณอยากได้อะไร คุณควรมีบริษัทที่เป็นมืออาชีพมาประเมินราคา หรือมาคุยกันดีๆ เรื่องแรกคือเรื่องเล็กมากค่ะ ตอนเราคุยธุรกิจเรายังคุยกันได้เลย ทำไมตอนเราไม่พอใจ จะแยกย้าย ทำไมเราไม่มาคุยกันดีๆ ทำไมต้องมีขั้นตอนอะไร หนูไม่ได้เก่งกฎหมายขนาดนั้น หนูไม่ได้ทันขนาดนัน หนูอาจเก่งเรื่องทำแบรนด์ แต่ระบบบริษัทหนูไม่ได้เก่ง หนูไม่รู้หรอกค่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตหนู

ทนายเป้ง : โดยประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 1129 เขาบอกว่าการจะขายหุ้นผู้ถือหุ้นไม่ต้องขอความยินยอมจากบริษัท จะขายก็ขายได้เลย เว้นแต่ข้อบังคับบริษัท จะบังคับไว้เป็นอย่างอื่น ทีนี้พอคุณไม่ได้จดสัญญาระหว่างหุ้นส่วน ไม่ได้มีจดข้อบังคับให้ชัดเจนว่าขายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นด้วยกัน หรือบุคคลภายนอกต้องยินยอมหรือไม่ มันเลยเปิดช่องว่าทำได้ แต่ถูกกฎหมาย มันก็ไม่ได้บอกว่าถูกคุณธรรมหรือเปล่า อีกอย่างพอไม่จดข้อบังคับ ไม่ทำสัญญากันเอาไว้เลยว่าหุ้น 48 ลงเงินเท่าไหร่ ลงความรู้ความสามารถประสบการณ์ ลงไปเท่าไหร่ แล้วก็ต้องให้เครดิตอีกฝ่ายว่าเขามีหน้าที่ต้องทำอะไร เขาถึงได้ถือ 48 ไม่ใช่แค่เงินไง ถ้ามองแค่เงินอย่างเดียว มันไม่ทั้งหมด ทำไมพี่ศสาถึงถือหุ้นแค่ 4 เพราะเขาอาจเป็นผู้ถือหุ้นคนนึงที่รอปันผลไม่ต้องทำงาน ทีนี้ความวางแผนมาทั้งหมด ผมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำไมต้องเอาข้อมูลอะไรบางอย่างไปกดดันซื้อหุ้นพี่ศสาให้จบในดีลคืนนั้น ไม่ดีลไม่กลับ แต่ข้อมูลที่ให้ไป เริ่มมีปัญหา เพราะมารู้ทีหลัง แต่ข้อมูลนั้นทำให้คุณศสาตัดสินใจจะจริงจะเท็จไปว่ากันในศาล เพราะฟ้องกันแล้ว ผมไม่ก้าวล่วง แต่ถ้าสิ่งนั้นมีความฉ้อฉล เพื่อการซื้อหุ้นนั้นเริ่มจากการฉ้อฉล อาจนำไปสู่ความฉ้อโกงก็ได้ รู้สึกว่าเป็นขั้นเป็นตอน ได้สิ่งหนึ่งมาก็เขี่ยสิ่งหนึ่งออกไป มันยังไม่หมดแค่นั้น ได้ยินว่ามีการเปลี่ยนกรรมการใหม่ กรรมการใหม่มีประสบการณ์ความรู้ในธุรกิจนี้มั้ย ผู้ถือหุ้นเป็นผู้ไม่ต้องทำงานนะครับ ถือหุ้นเฉยๆ แล้วก็รอ แต่โดยธรรมชาติ เรามักเอาผู้ถือหุ้นเป็นกรรมการ เพื่อรักษาประโยชน์ของตัวเองด้วย ทีนี้ผู้ถือหุ้นคนนี้ห้ามทำงานแล้ว เขี่ยออกไป เปิดช่องให้ทำธุรกรรม นิติกรรม ไม่ได้ตัดสินใจอะไรแล้ว

พริม : หนูไม่ได้ทำงานแล้ว หลังถูกปลดต่างๆ เมื่อเร็วๆ นี้ ล่าสุดวาระในการประชุม กรรมการที่เข้าใหม่ เป็นครอบครัวของเขา ก็มีการโหวตตั้งตัวเองเป็นพรีเซ็นเตอร์ 9.5 ล้าน กรรมการก็มีเงินเดือนด้วย แต่คนก่อตั้งมาตอนนี้ตกงานนะ ออมให้ครอบครัวที่เป็นกรรมการโหวตให้เขาได้รับสิ่งนี้

เขาถอดคุณออกไปจากการเป็นกรรมการ ตอนนั้นคุณเซ็นออกมั้ย?
พริม : หนูแย้งทุกอันค่ะ เพราะนำ 4 เปอร์เซ็นต์มาใช้ในการโหวต ซึ่ง 4 เปอร์เซ็นต์ก็ฟ้องอยู่

ศสา : เขาฟ้องหนูมาก่อน พอรับทราบเรื่องว่าไม่ใช่ข้อเท็จจริง ก็เลยส่งเรื่องไปว่าขอคืนเงินจำนวน 2.5 ล้าน ไม่เอาแล้ว หลังเรารู้ว่าบริษัทไม่ได้ขาดทุน มีกำไรด้วยซ้ำ มันไม่ได้แย่ อย่างที่เขาบอกมาแม้แต่นิดเดียว และขอหุ้นเรากลับคืนมา ก็ถูกปฏิเสธ แล้วถูกฟ้องกลับมา รวมกัน 10.5 ล้าน หนูถูกฟ้องละเมิดการเก็บความลับ น้องดาราฟ้องก่อนคนแรก 5.5 ล้าน แล้วน้องสาวเขาฟ้องหนูอีก 5 ล้านบาท นอกจากละเมิด อีกข้อนึงคือทำให้เขาถือครองหุ้นโดยไม่ปกติสุข คำนี้เลยค่ะ เพราะหนูไม่ได้เซ็นตราสารโอนหุ้น มันขาดไปอีกอย่างนึง เราไม่ได้เซ็นมาเรื่อยๆ ไม่อยากเซ็นเพราะมีกลิ่นอายความแปลก มันรู้สึกไม่สบายใจ ก็อย่าเพิ่งเซ็นเลย รอให้ทุกอย่างกระจ่างก่อนดีกว่า

ทนายเป้ง : ตายแล้ว

คุณฟ้องเขามั้ย?
ศสา : พอเขาฟ้องมา หลังจากนั้นก็ทำเรื่องฟ้องกลับ การที่เราถูกซื้อหุ้นไปแบบฉ้อฉล ถูกปกปิดข้อมูลที่เป็นความจริง ตอนนี้รอชี้สองสถานะวันที่ 20 ต.ค. และรอไปอีกนาน

ตฤณห์ : เทปนี้มีประโยชน์จะตาย ได้ยินอะไรที่ไม่เคยได้ยินด้วย ถือหุ้นโดยไม่ปกติสุข

ศสา : เราอ่านหลายรอบมากค่ะ

พริม : หนูเลยแย้งทุกกรณี แย้งทุกประชุม แย้งทุกวาระ เพราะเจ้าตัวเองยังพิพาทกันอยู่เลย เอาเปอร์เซ็นต์เขาไปไม่พอ หนูมีวาระให้ปลดหนูออกมาบ้าง แต่งตั้งกรรมการใหม่บ้าง จริงๆ แล้วมันไม่สามารถทำได้เลย ถ้าเรื่องหุ้นยังพิพาทกันอยู่

ทนายเป้ง : ตอนคุณไม่โอนหุ้น ไม่เกิดเรื่อง ประชุมไม่บ่อยขนาดนี้เลย

พริม : ทุกอย่างเกิดขึ้น หลังจากเขาพูดในจอ 24 ม.ค. หลังจากนั้นทั้งหมดที่ชีวิตหนูพลิกผัน คือ 26 ม.ค. เขาคุยกับทางศสาไปเรียบร้อยแล้ว แต่หนูไม่ได้ทราบ แล้วมีจดหมายวาระต่างๆ ตามมาเรื่อยๆ แต่ละเดือน ปลดหนูบ้างเปลี่ยนแปลงแต่งตั้งใหม่บ้างต่างๆ นานา มันตามมาหลังจากนั้นค่ะ

ทนายเป้ง : ยังมีอีก มีมั้ยใครเป็นผู้ก่อตั้ง ใครเป็นคนเริ่มต้น คลิปโปรโมตแบรนด์นี้ เคยมีคุณ ปัจจุบันหายไปไหน

พริม : ตั้งแต่หนูโดนปลด นอกจากเข้าถึงโซเชียลมีเดียไม่ได้ คลิปหนูที่เคยลงคลิปไปว่าหนูก่อตั้งแบรนด์มายังไง มีจุดแข็งยังไง โปรดักส์แต่ละตัวพัฒนามาด้วยคอนเซ็ปต์อะไร โดนเอาออกจากโซเชียลมีเดียของแบรนด์ที่เราสร้างมาเองกับมือ ทีมงานหนูเป็นคนตัดคลิป เราทำเพื่อมูลค่าบริษัท บริษัทจะแข็งแรงได้ ไม่ได้มีพาร์ตแค่ขายของ มันก็ต้องมีเล่าว่าแบรนดิ้งมายังไง คอนเซ็ปต์ความเป็นมายังไง

ทนายเป้ง : เพื่อให้เชื่อมั่นสินค้าและแบรนด์ว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ

พริม : ค่ะ แล้วมันหายไปกว่า 100 คลิปค่ะ เราเห็นแล้วว่านอกจากการเข้าถึงบริษัทแล้ว โซเชียลมีเดียด้านหน้าก็เอาออกหมด กว่าร้อยคลิป ไม่แน่ใจว่ากิดอะไรขึ้น ทำไมเอาเราและน้องๆ ออกไปด้วย จากนั้นเริ่มมีการโปรโมตสินค้าออกมา จัดอีเวนต์ต่างๆ โดยข้อมูลที่อยู่ในสำนักข่าวต่างๆ พูดถึงสินค้าเก่า แต่บอกว่าเปิดตัวสินค้าใหม่ด้วย มีการพูดถึงซีอีโอใหม่ เป็นเจ้าของแบรนด์ แต่ไม่มีการเชิญหนูไปงานอีเวนต์เลย ทั้งที่หนูถือหุ้นอยู่ 48 เปอร์เซ็นต์เท่าเดิม

เขาฟ้องอะไรคุณ?
พริม : ค้าแข่งอย่างเดียวค่ะ

คุณฟ้องอะไรเขา?
พริม : หนูฟ้องตามสเต็ปว่าการเอาหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์มาจัดประชุม หนูฟ้องว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หนูฟ้องไปตามวาระค่ะ เพราะว่าหนูไม่ได้จะมาค้าคดีความอะไรกัน หนูอยากให้บริษัทไปต่อได้ จริงๆ เราพร้อมคุยกันตลอด

คุณยังจะไปต่ออีกเหรอ?
พริม : ณ ตอนนั้นค่ะ

แล้วตอนนี้ล่ะ ธงคุณต้องการอะไร?
พริม : หนูต้องการความเป็นธรรม หนูเป็นคนธรรมดาคนนึง ไม่ใช่นักแสดงหรือคนมีชื่อเสียงอะไร วันนี้ที่หนูออกมาพูดเรื่องนี้ เชื่อว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นได้ ถ้าเราเชื่อใจ ไว้ใจ หรือไม่มีความรู้ด้านกฎหมายมากพอ ถ้าเราเริ่มก่อตั้งบริษัทขึ้นมา ไม่มีการเคลียร์คัตตั้งแต่แรก คุณทำไปเถอะ ร้อยล้านพันล้าน สุดท้ายคุณอาจกลับมาติดลบก็ได้ หนูอยากให้ประชาชนทราบ ไม่ต้องมาเจ็บเองนะคะ

ทนายเป้ง : ตอนเขาขอร้องให้ผมเข้ามาช่วย ผมถามเขาตั้งแต่วันนั้น ว่าคุณจะทำไปทำไมจะเหนื่อยไปทำไม ในเมื่อเขาก็วางงานมาแบบถูกกฎหมายทุกประการ ทำทุกอย่างถูกไปหมด คิดเหรอว่าประเทศนี้จะช่วยอะไรคุณได้ สังคมนี้ที่เขาก็ทำกันแบบนี้ คุณจะออกมาทำทำไม สุดท้ายคุณก็แพ้ เพราะเขาทำถูกกฎหมาย แต่เขาบอกผมว่ามันไม่ใช่ ต่อไปมาตรฐานของการทำธุรกิจในประเทศควรมีความจริงใจ ไม่ว่าจริงใจกับลูกค้าหรือหุ้นส่วนด้วยกัน ทำไมคนมีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่นิดเดียว เขาถึงแบ่งหุ้นให้ จะว่าโง่ก็โง่

พริม : หนูอาจไม่ฉลาดเรื่องหุ้นส่วนก็ได้ค่ะ แต่ในหน้าที่หนูเต็มที่เสมอ ทีมงานหนูรับรู้ พาร์ตเนอร์หนูรับรู้ แล้วที่ผ่านมาเป้าหมายหนูอย่างเดียวคือหนูอยากให้บริษัทเติบโตไปข้างหน้าด้วยกันนั่นคือภารกิจที่หนูต้องทำ

ทนายเป้ง : เราก็เตือนเขาแล้วว่ากระบวนการถูกกฎหมายหมดนะ แต่ก็เริ่มส่อๆ นั่นแหละการต่อสู้แบบนี้เสียเปรียบ เพราะคุณไม่ได้หยิบจับเอกสารอะไรเลย ในขณะที่เขาทำครบหมด เขาเข้าครองหุ้นปุ๊บ ผู้ถือหุ้นไล่กรรมการออก ไม่ต้องทำงานแล้ว รอรับไปสิ 48 เปอร์เซ็นต์

พริม : แล้วจะได้เมื่อไหร่ละคะ

ทนายเป้ง : แต่กรรมการคนใหม่เก่งเท่ากรรมการคนเก่าที่ไล่ออกหรือเปล่า อันนี้ไม่รู้ ไปแตกหุ้นใหม่ในของตัวเอง กฎหมายไม่ได้ห้ามครับ คนชมรายการควรรู้ว่าทำได้น่าทางกฎหมาย แต่แตกหุ้นปุ๊บ มีการนัดผู้ถือหุ้นเพื่อจ้างพรีเซ็นเตอร์ ผมตั้งข้อสงสัยว่าตายแล้ว ผู้ถือหุ้นเดิมที่ถือ 48 เท่ากัน ตอนนี้ถอยมาถือนิดเดียว แต่นั่นกลายเป็นผู้ถือหุ้นเดิมกลายเป็นพรีเซ็นเตอร์แบรนด์ ไอ้ 48 ที่เคยมีหุ้นและหน้าที่ ตอนนี้ลดตัวเองมาเป็นลูกจ้าง เป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่อาศัยหุ้นที่ให้คนใกล้ชิดโหวตจ้างเขา เจตนาเหล่านั้นทางกฎหมายทำได้ เพราะบรรดาผู้ถือหุ้นจะโหวตให้ตัวเองได้รับผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าที่เขาลดจำนวนหุ้น แล้วออกไปเป็นลูกจ้างบริษัท เขามีเจตนาอะไรผมไม่รู้เลย แต่พอกลับมารับเป็นพรีเซ็นเตอร์ มูลค่าเท่าไหร่นะ

พริม : เขาเรียกมา 9.5 ล้าน เงินบริษัทไม่ปันผลนะ ปี 67 ปิดยอดไปแล้ว แต่มาตั้งค่าพรีเซ็นเตอร์ 9.5 ล้าน มันเข้าใจไม่ได้ค่ะ

ทนายเป้ง : เอาเงินไหนไปจ้าง

ตฤณห์ : เป็นวิธีการเอาเงินออกจากบริษัทหรือเปล่า

ทนายเป้ง : ไม่รู้เขาจ่ายค่าจ้างหรือยัง แต่บริษัทเป็นหนี้ 9.5 ล้านแล้วนะค
ตฤณห์ : การลดจำนวนหุ้นของตัวเองเพื่อให้คนอื่นโหวตได้ ไม่ทับซ้อนนะ แต่จริงๆ คือเขาลดหุ้นตัวเองเพื่อไปเป็นปรีเซ็นเตอร์แทน

พริม : จริงๆ หนูก็แย้งไปว่าไม่ควรเป็นแบบนั้น ทุกคนมีแวลู่ในตัวเอง

ตฤณห์ : คุณไม่มีหลักฐานใช่มั้ย คุณสัญญาด้วยวาจา แต่ฝั่งนั้นจับคุณเซ็นทุกอย่างเลยที่เป็นเอกสารตามกฎหมาย ดังนั้นในแง่กฎหมาย เขาไม่ผิด แต่แง่ศีลธรรม เชื่อใจเป็นเพื่อนกันหุ้นส่วนทางธุรกิจ เป็นผม ผมไม่คบ

ทนายเป้ง : ไม่ผิดแพ่ง แต่อาญาเริ่มไม่แน่ เพราะเริ่มแบ่งหน้าที่กันเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าผมตั้งข้อสงสัย ทำไมขั้นตอนถึงได้หุ้นนี้มาก่อน ถึงจัดการอย่างนี้ออกไป เรื่องราวน่าสงสัยว่าจะนำไปสู่การทำให้บริษัทนี้เหลือแต่ซากหรือเปล่า แล้วคุณก็ไม่ได้อะไร เพราะมี 6 ล้านไปจ้าง 9 ล้าน ปีนี้จะเอาอะไรไปปันผล สัญญานั้นทำให้พรีเซ็นเตอร์รับไปก่อนแล้วกี่บาท ของจะขายได้มั้ยไม่รู้

พริม : มีการประชุมกันในกรรมการ ซึ่งไม่เปิดเผยให้หนูรู้ด้วย

ทนายเป้ง : พูดง่ายๆ ชนะคดีนี้ ได้หุ้นกลับไปกันหมด บริษัทเหลือแต่ซาก ฉะนั้นในดีลนี้ต่อให้คุณชนะในศาล ก็เหลือแต่ซากกลับไป
ตฤณห์ : คุณเอาความสามารถคุณไปบริหาร ส่วนดาราเอาชื่อเสียงดารา ความถนัดวิชาชีพเขามาร่วมงานกัน มันสมส่วนกัน แต่ไปๆ มาๆ หน้าที่ของเขา เราต้องจ่ายเงิน

พริม : แล้วหน้าที่ของหนูล่ะ

ตฤณห์ : เคสนี้ดีนะ ทุกอย่างมีหลักฐานในทางกฎหมาย แต่เรื่องศีลธรรม มันรับไม่ได้นะครับ และจะมีหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อ นี่คือการทำร้ายทั้งความรู้สึก ถือเป็นอาชญากรรม การเงินและเศรษฐกิจได้ ถ้าคุณถูกหลอกลวง ฉ้อฉลมาตั้งแต่แรก ผมว่าเป็นอุทาหรณ์ที่ดี ถึงแม้บริษัทนี้จะเหลือแต่ซากนะ คนดูเทปนี้จะได้รู้ว่าการทำธุรกิจกับใคร ถ้าสัญญาด้วยใจ ต้องใจทั้งคู่สิ แต่ถ้าสัญญาด้วยกระดาษ จะมีกระดาษฝั่งเดียวได้ไง เพราะกระดาษมีกฎหมายคุ้มครองไงครับ

พรุ่งนี้ออมจะมานั่งที่นี่ เขาจะพูดในมุมของเขา ส่วนหนึ่งเมื่อกี้ มีโอกาสติดต่อคุณแอมป์ พิธาน เดี๋ยวต่อสายหาแอมป์ เขาน่าจะรู้เรื่องเป็นอย่างดี เคยได้คุยกับแอมป์มั้ย?
ศสา : คุยค่ะ เพราะรู้จักมานานแล้ว ก่อนเขาเป็นแฟนน้องอีก เห็นกันตลอด เราอยากชี้แจง อยากอธิบายความจริงให้เขาฟัง เพราะเขาเป็นนักธุรกิจแถวหน้าด้วย จริงๆ ไม่อยากให้ทะเลาะกัน อยากให้หาจุดจบให้มันไปได้

อยู่ในสายกับคุณแอมป์ พิธาน มีข้อโต้แย้งแทนน้องออมมั้ย?
แอมป์ : มีสองสามเรื่อง ที่บอกว่าออมโกหกไม่รู้งบ ในกูเกิ้ลคลาวด์ เขาขึ้นเป็นบิล จะรู้ต้องไปบวกลบเอง คนทำบัญชีเป็นญาติคุณม่อน สามีพริม

พริม : ไม่ใช่ค่ะ คุณม่อนไม่ได้ทำบัญชีค่ะ

แอมป์ : ญาติคุณม่อนครับ แล้วไม่ได้ออกงบทุกเดือน ไม่ออกจนเดือน 4 ปีนี้ก็ไม่มีการออกงบนะครับ

พริม : คนส่งข้อมูลให้คุณออฟ ญาติคุณม่อนคือน้องอัง ทุกอย่างทุกเอกสารอยู่ในกรุ๊ปไลน์ทั้งหมด ออมสามารถเข้าระบบได้หมดค่ะ

แอมป์ : มันเป็นบิลทีละใบนะครับ ถ้าให้คุณออมรู้งบ ต้องให้คุณออมไปบวกเลขเอง เอาบิลออกมา เหมือนทำบัญชี ไม่ใช่อยู่ดีๆ คลิกบิลไปแล้วจำตัวเลขได้ บัญชีเงินเดือนก็ไม่ได้อยู่ในกูเกิ้ลคลาวด์ ต้องไปหาอีกที่นึง เหมือนต้องทำบัญชีเองครับ อีกเรื่องที่บอกว่าเราพยายามคุยดี เรียนตรงๆ ว่าเราพยายามคุยกับคุณพริมมาตลอด แต่อยากให้ลองดูทางโซเชียล ว่าใครเริ่มลงโซเชียลโจมตีฝ่ายนึง มันก็เลยคุยกันค่อนข้างยากนิดนึง อีกเรื่องคือเรื่องพรีเซ็นเตอร์ เราอนุมัติแค่ว่าออมทำงานมา ไม่ได้อนุมัติจ่าย และไม่ได้จ่าย บริษัทไม่มีความเสียหายนะครับ แล้วอยากขอพูดอีกเรื่อง ที่บอกว่าฟ้องอยู่ไม่ปกติสุข คือคุณศสามอบอำนาจให้ทนายคุณพริมมาฟ้องเรา โดยที่เราใช้ 4 เปอร์เซ็นต์ที่ซื้อมาถูกกฎหมาย ไปโหวต อันนั้นทำให้เราต้องฟ้องว่าอ้าว แล้วที่เราซื้อมา 4 เปอร์เซ็นต์ มันผิดกฎหมายยังไง แล้วมันทำให้เราอยู่ยาก เพราะเขามาฟ้องเรา พรุ่งนี้คงมีหลักฐานและเอาที่เหลือไปให้พี่หนุ่มดูครับ

ศสาอ้างว่ามีการขอซื้อหุ้นโดยมิชอบ คุณแอมป์รู้เรื่องนี้มั้ย?
แอมป์ : เรามีทั้งไลน์ที่เป็นหลักฐาน ว่าพี่ศสารู้ว่าบริษัทมีกำไร เป็นวิดีโอ คลิปเสียง ไม่มีทางขาดทุนครับ

ไม่เคยพูดว่าบริษัทขาดทุน?
แอมป์ : ผมมั่นใจครับ

เรื่องสัญญาห้ามเผยแพร่เรื่องการขายหุ้น?
แอมป์ : มีจริงครับ เรามีเหตุผลที่ทำ พรุ่งนี้ขอแจกแจงทีเดียวได้มั้ยครับ

ที่ว่าไปขอซื้อหุ้นจากคุณศสา คุณแอมป์อยู่ด้วยหรือเปล่า?
แอมป์ : อันนั้นผมไม่อยู่ครับ

มีอะไรติดใจ?
พริม : จริงๆ มานั่งคุยกันยังได้เลยนะคะ ไม่ได้อยากคุยผ่านหรืออะไร อย่างกรณีคุณแอมป์ ขออนุญาตขอพูด บริษัทจัดตั้งด้วยกันมาจากคน 3 คน คุยกันง่ายๆ ไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร ไม่ได้เซ็นสัญญาอะไรเลยสักอย่าง สุดท้ายเอาทุกอย่างมาครอบหนูหมดเลย แล้วอย่างนั้นอย่างนี้ เรามาคุยกันง่ายๆ มั้ยเอาคนก่อตั้ง 3 คนมาเจอหน้ากันจริงๆ โดยไม่มีบุคคลอื่นหน่อยดีมั้ย มันเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ หาว่าหนูโจมตีบ้างล่ะ พรีเซ็นเตอร์จ่ายก่อนหน้าทำมาบ้างล่ะ จะบอกว่าการที่ทุกคนทำอาชีพอะไร ทุกคนมีค่าตัวนะคะ ทุกคนทำอาชีพอะไร ทุกคนมีมูลค่าในตัวเอง คุณไม่มีสิทธิ์บอกว่าคุณมีค่าตัวคนเดียว เพราะทุกคนมีความรู้ความสามารถ มีสิ่งที่เราสั่งสมมา จะบอกว่าจ่ายตัวเองมันไม่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรก แล้วเริ่มกันมาด้วยความจริงใจต่อกัน ทำไมอยู่ดีๆ เอกสารอะไรเต็มไปหมด อยู่ดีๆ หนูหลุดจากบริษัทตัวเอง หาว่าหนูโจมตีอะไร ลองกลับกันมั้ย ถ้าคุณมานั่งตรงนี้แล้วคุณเป็นเรา หนูว่าเขาทำมากกว่านี้อีก

ตอนนี้บริษัทไม่ได้บริหารโดยคุณแล้ว?
พริม : ทุกคนมีอาชีพของเขา บัญชีก็มีความซื่อตรงในบัญชี เขามีอาชีพต้องมีความซื่อสัตย์ มันไม่เกี่ยวว่าใคร จริงๆ คุณหาบัญชีมาเปลี่ยนก็ได้ เราก็ถามในที่ประชุม หนูก็มีหลักฐาน แต่เขาไม่เปลี่ยน เราไม่ควรกล่าวโทษใคร ไม่ควรตัดสินใคร แต่หนูแค่จะออกมาพูดว่าหนูเจออะไร จากสิ่งที่หนูตั้งใจทำมาตลอดที่ผ่านมา

ธงคุณคืออะไร ต้องการอะไร?
พริม : หนูอยากให้ทุกอย่างอยู่ในความถูกต้อง อย่างเป็นธรรม คุยกันตรงไปตรงมา

มันต้องมีจุดจบ จุดจบคุณคืออะไร?
ทนายเป้ง : มีอยู่แค่ 3 ทาง ขาย ซื้อ หรือกลับไปอยู่เหมือนเดิม
พริม : ธงหนูการซื้อการขายหนูยินดีอยู่แล้ว หนูเปิดให้พูดคุยตลอด แต่หนูขอความเป็นธรรม ให้มีบริษัทประเมินมูลค่าบริษัทจริงๆ ซึ่งหนูเคยขอไปแล้ว แต่มันไม่ได้ ตอนนี้สิ่งที่ต้องการคืออยากให้การเจรจาจบแบบตรงไปตรงมาอย่างถูกต้อง

ให้นั่งคุยกันเรื่องอะไร คุณต้องมีธงในใจ หนึ่งขายหุ้นให้คุณ สองซื้อหุ้นคุณคืนมาในราคาเท่าไหร่ สามกลับมาเป็นเหมือนเดิม คุณ 48 ออม 48 ศสา 4 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม คุณต้องการแบบไหน?
พริม : จริงๆ แล้วตอนนี้ต้องการซื้อขายให้จบไปดีกว่า เพราะไดเรกชั่นตอนนี้ไม่ตรงกันแล้ว

คุณจะซื้อหรือคุณจะขาย?
พริม : จริงๆ อันนี้อยู่ในกระบวนการ จะซื้อจะขายเรายินดี ให้บริษัทมาประเมินมูลค่าอีกที ซึ่งเขาบอกว่าเขาไม่ขาย ล่าสุดนะคะ เขาจะซื้ออย่างเดียว แต่เขาบอกหนูว่าให้รับ 10 ล้านแล้วให้จบไป ซึ่งไม่ตรงกับสิ่งที่หนูบอกไป หนูบอกว่าหนูยินดีขาย แต่ต้องเป็นราคาที่เป็นธรรม

คุณจะขายเท่าไหร่?
พริม : หนูไม่รู้ เพราะหนูไม่เห็นข้อมูลอะไรเลย

ถ้าเขาขาย?
พริม : เขาจะรู้ตัวเลขดีกว่าหนู

ตฤณห์ : ผมว่าอันนี้ไม่แฟร์สำหรับคนต้องเลือกโดยไม่มีข้อมูล ฝ่ายที่จะซื้ออย่างเดียว แสดงว่ากำไรเยอะสิครับ เขาเป็นฝ่ายเดียวที่เห็น เขารู้และตัดสินใจได้ว่าจะซื้อหรือขาย แต่คุณตัดสินใจไม่ได้ และตอบตอนนี้ไม่ได้หรอก เพราะคุณไม่เห็นตัวเลข ลองไปค้นประวัติดูนะว่าสองคนนี้เคยทำธุรกิจพวกนี้มั้ย การซื้อหรือขายต้องได้ข้อมูลเท่าๆ กันมันถึงจะยุติธรรม คือให้บริษัทกลางมาประเมินมูลค่า สองคนนี้ถึงตัดสินใจได้ว่าจะซื้อหรือขาย คุณพริมอาจจะอยากขายทั้งหมดก็ได้ หรืออยากซื้อทั้งหมดก็ได้

สุดท้ายก็ตัดสินกันไม่ได้อีก?
ตฤณห์ : ฝั่งโน้นจะมาเสนอ 10 ล้านได้ไง มันอาจมูลค่า 50 ล้านก็ได้นะครับ แบบนี้ก็กดราคาไม่เป็นธรรม

ถ้าเขาขายคุณ 30 ล้านเอามั้ย?
พริม : หนูไม่ได้เห็นว่ายอดเท่าไหร่ ตอนที่หนูบริหารจัดการ หนูเห็นว่ามันไปได้ดี หนูไม่เห็นตั้งแต่เดือนเม.ย.ค่ะที่มีการจัดประชุมปลดหนู ถ้าม.ค. กำลังก้าวกระโดด ยอดขาย 10 กว่าล้านแล้วค่ะต่อเดือน กำไรอยู่ที่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่การจัดการ ไม่รวมอนาคต หนูไม่เห็นอะไรเลย มาบอกให้หนูรับเท่านี้ออกไป เหมือนหนูเลือกอะไรไม่ได้เลยนะ บริหารจัดการก็ไม่ได้ บัญชีก็ไม่เห็น ระบบหลังบ้านก็ไม่เห็น

ตฤณห์ : เขายื่นขอซื้อหุ้น 10 ล้าน คุณยื่น 12 ล้าน ซื้อจากเขา เขาขายมั้ย เอาง่ายๆ

พริม : ได้นะคะ ถ้ารู้สึกว่าคุณเห็นมูลค่าแค่ 10 ล้าน หนูเห็น 12 ล้าน เอาบริษัทหนูคืนมาเหอะ ทำไมต้องเอาความตั้งใจเราไป

ศสาล่ะ?
ศสา : ขอ 4 เปอร์เซ็นต์คืนมา เพื่อให้เราได้ทำต่อในสิ่งที่เราสัญญากับน้องว่าจะจับมือกันไปตลอด เราเป็นแค่คนตัวเล็กๆ คนนึง เป็นคนธรรมดาที่อยากปกป้องสิทธิข้อฉ้อฉลทุกอย่าง อย่างที่คุณแอมป์บอกว่าพี่ศสารู้ว่าได้กำไร ถ้ารู้ว่าได้กำไรจะขายหรือเปล่า ก็ต้องเก็บเอาไว้ เพราะอยากอยู่ยาวๆ ประเด็นคืออยากอยู่บริษัทนี้ไปยาวๆ ขอแค่ให้มีธุรกิจที่มั่นคง อยู่ไปยาวๆ เราก็แฮปปี้แล้ว

พริม : ตอนสร้างมันยาก การเริ่มธุรกิจไม่ได้ง่าย

ตฤณห์ : ทักษะในการพูดและถ่ายทอดของแต่ละครไม่เหมือนกัน คนพูดไม่เก่ง พูดช้า พูดติดๆ ขัดๆ จะดูโกหกตามหลักจิตวิทยา ซึ่งรายการเราเห็นคนดูอยู่ตลอด คนพูดไม่ฉะฉาน ตอบไม่ฉะฉานจะดูเหมือนพูดไม่จริง แต่ก็ไม่แฟร์เหมือนกัน ถ้าเอาระดับอำนาจทางสังคม หรือชื่อเสียง มาตัดสินความน่าเชื่อถือ ฉะนั้นแฟร์ๆ ในแง่คนทำธุรกิจ เอาคนที่ก่อตั้ง 3 คนแรกเท่านั้นมาคุยกัน คนไม่เกี่ยวคือไม่เกี่ยว คุณไม่ควรมีกุนซือบนโต๊ะ ผมว่าแบบนี้แฟร์ คุณตอบคำถามเท่าที่คุณมีความจริงในหัว พอไม่มีคนเตรียม ไม่มีกุนซือ ดูสิว่าคุณรู้อะไรบ้าง นี่จะบอกความเป็นผู้ก่อตั้งตัวจริงได้ ความไม่ชอบมาพากลจะออกมาเอง เสียดายพรุ่งนี้ผมไม่ว่าง ผมมีสอนหนังสือ (หัวเราะ) พี่หนุ่มควรถามจากคุณออม คุณพริม และคุณสา 3 คนเท่านั้นดีกว่า

มีคนบอกว่าผมไม่เป็นกลาง ไปถามเขาได้ยังไงว่าจบยังไง มันเป็นเรื่องต้องถามเปล่าวะ คุณพริมไม่จำเป็นต้องตอบ แต่ผมจำเป็นต้องถาม เพราะผมเป็นพิธีกร จะไม่ให้ถามเหรอ พรุ่งนี้ออมมานั่ง ผมก็ต้องถามว่าออมอยากให้จบแบบไหน มันเป็นสิ่งที่ต้องขมวดไง สุดท้ายก็ต้องมีปลายทาง?
ตฤณห์ : อย่ายืมปากใครพูดเลย ความรู้ความสามารถไม่มีใครแย่งจากเราไปได้ คุณจะมีหนังสือเล่มใหญ่ จะมีผลงานอะไรมาโชว์ว่านั่นของคุณ ถ้าคุณเป็นของจริง คุณจะตอบคำถามเกี่ยวกับมันได้หมด เพราะคุณปั้นขึ้นมาเอง ยกเว้นคุณซื้อมา แล้วคุณบอกว่าคุณทำ อันนั้นคุณจะไม่รู้ จริงๆ ลิสต์คำถามที่บอกว่าใครเป็นตัวจริง ผมทำให้ได้นะ

มีคนบอกว่าถามได้ แต่ไม่ใช่ถามเปิด เอาราคานี้มั้ย ขายมั้ย ทำไมถามไม่ได้ล่ะ?
ตฤณห์ : มึงมาพูดเองมั้ยล่ะ พิธีกรเขาก็มีคนเดียวอยู่ตรงนี้ ชาวเน็ตเอาแต่ใจ ผมก็โดน แน่จริงก็เปิดมาดิ อ้าว มึงอยากรู้ ความเสื-กมันเดือด เราต้องตอบสนองเขาก็ไม่ไหว

เชื่อว่าทุกคนเป็นเจ้าของบริษัท ต่อให้ 3 เดือน 5 เดือน ปีนึง ต่อให้คุณไม่ได้เข้าไปดู คุณต้องประเมินได้อยู่แล้วว่าบริษัทคุณมูลค่าเท่าไหร่ เป็นไปไม่ได้ที่คุณหรือใครก็ตามแต่ไม่ประเมินราคาบริษัทตัวเอง ผมยังประเมินเลย คำถามของผมคือคำว่าสมน้ำสมเนื้ออยู่ตรงไหน ถ้าคุณจะปิดจ๊อบนี้ มันต้องมีราคาที่สมน้ำสมเนื้อ แต่ถ้าจะไม่ให้ถามเลยมันไม่ได้ ทางโน้นขอซื้อทางนี้ 10 ล้าน แล้วทางนี้จะซื้อเขามั้ย 30 กว่าล้าน แล้วมึงจะไม่ให้ถามเหรอ ไม่ใช่ตามไม่ทันแล้วโวยวาย ฟังดีๆ นะ ฝั่งโน้นเสนอซื้อทางนี้ 10 ล้าน ขณะเดียวกัน เขาเสนอว่าเอามั้ย 32.5 ล้าน เอามั้ย ผมก็เลยถามว่าตัวเลขที่เขาเสนอมาคุณเอามั้ย แต่ไม่อยากถามจี้ว่าเอามั้ยราคานี้ ฟังแล้วใช้สติตาม กูล่ะเหนื่อย ต้องมานั่งอธิบายซ้ำซาก ไม่ต้องดูแล้ว?
ตฤณห์ : เป็นเด็กอนุบาล เรียนแล้วไม่เข้าใจจะร้องไห้ แต่พอโตขึ้นเรียนไม่เข้าใจจะด่า โวยวาย

ทนายเป้ง : จริงๆ แล้วการเกิดข้อพิพาทแล้วคุณไปยกคดีให้คนกลางอย่างผู้พิพากษา หรือศาล กระบวนการยุติธรรม พอยกข้อพิพาทให้ศาลตัดสิน ศาลเป็นคนอื่น คนอื่นเลือกไม่ดีหรอกครับ ถ้าพวกคุณกลับไปเลือกกันเอง โดยไม่มีคำปรึกษา ไม่มีนักกฎหมาย ไม่มีเทรนเนอร์ ใช้หัวใจบ้าง ตกลงกันเองเลือกกันเองจะเป็นสิ่งที่คุณพึงพอใจที่สุด

พริม : แต่ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในจุดนั้นค่ะ

ทนายเป้ง : ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ธุรกิจน่าไม่ได้ทำ เพราะคุณต้องขึ้นศาล ไม่รู้จะเหลืออะไร

ตฤณห์ : ไม่เข้าใจว่าฝั่งโน้นเขาคำนวณจากอะไร ทำไมมูลค่าหุ้นเขามีมูลค่ามากกว่าฝั่งนี้

ทางนี้บอกว่าในเมื่อเสนอซื้อหุ้นทางนี้ 48 เปอร์เซ็นต์ในราคา 10 ล้าน แต่ทางโน้นบอกว่าถ้าซื้อของเขา 52 เปอร์เซ็นต์เขาขาย 32.5 ล้าน?
ตฤณห์ : งั้นเอา 4 ล้านไว้ตรงกลางก่อน แสดงว่า 4 เปอร์เซ็นต์นี้ มูลค่า 22 ล้าน ถ้าเขาอยากได้คนละครึ่งกับคุณ เขาต้องจ่าย 11 ล้าน คนละครึ่งให้ทางนี้ ผมว่าการตีมูลค่าด้วยตัวคนพูดเองที่อยากจะได้ไม่เป็นธรรมอยู่แล้ว แปลกมาก

ทนายเป้ง : จะลองเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมเกี่ยวกับเศรษฐกิจฟังดูสิ ว่ามีอะไรสุ่มเสี่ยงหรือเปล่า ดูแปลกๆ

ตฤณห์ : จริงๆ ผมว่าไม่ควรมีใครอยู่บนโต๊ะเลย นอกจากผู้ถือหุ้นเดิม เอาผู้ถือหุ้นเดิม 3 คนมาคุยกับพี่หนุ่ม เท่านั้นพอ



















กำลังโหลดความคิดเห็น