“อุ๊ ช่อผกา” วิเคราะห์เคสคนดัง มองมุมนักจิตบำบัด ชี้มีสัญญาณป่วยทางจิตใจ แนะต้องถึงมือจิตแพทย์ ควรได้รับการช่วยเหลือ เผยวิธีจัดการความรู้สึกหากคนที่ศรัทธากลายเป็นคนเลว ย้ำอย่าทุกข์เพราะความเลวของคนอื่น ฝึกเมตตา มีต่อมแยกแยะ ใจจะมั่นคง
หายหน้าหายตาไปนาน สำหรับ “อุ๊ ช่อผกา วิริยานนท์”อดีตผู้ประกาศข่าว-พิธีกรชื่อดัง ปัจจุบันผันทำธุรกิจส่วนตัวและมีงานอดิเรกเป็นอาสาสมัครผู้ให้คำปรึกษาแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ทางแชตไลน์ D-chat แชตคลายทุกข์ แบบไม่เสียค่าใช่จ่ายคนละ 45 นาที คร่ำหวอดกับการเป็นที่ปรึกษาทางใจมานานกว่า 20 ปี วันนี้อุ๊ ช่อผกา เผยถึงมุมมองในฐานะนักจิตบำบัด กับเหตุการณ์หลายอย่างตอนนี้ ทั้งเคสคนดังที่เพิ่งเป็นข่าว ซึ่งอายที่จะเจอเพื่อน หรือพบปะใครๆ คนที่ชอบสร้างโปรไฟล์ปลอม รวมทั้งวิธีจัดการความรู้สึกตน หากคนที่ศรัทธากลายเป็นคนเลว
“มันเป็นสัญญาณที่ทำให้รู้ว่าข้างในเขาไม่มั่นคง แต่ไม่รู้ว่าไม่มั่นคงในระดับไหน ไม่มั่นคงระดับมีภาวะของความเจ็บปวดหรือว่าเป็นโรคแล้ว อันนี้ต้องให้คุณหมอเป็นคนวินิจฉัย แต่นั่นแปลว่าเขาไม่ได้อยู่ในสภาวะที่จะพร้อมมีความสุขมากกับคนทั่วไป เป็นภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือ เป็นภาวะที่ต้องการความเข้าใจ และมีสภาวะอ่อนแอ
แบบนี้แล้วพลาดพลั้งไปมีตัวเร่งปฏิกิริยาจนเกิดการกระทำที่คนเห็นแค่แอ็กติ้งตรงนั้น เขาก็จะถูกตัดสินว่าเป็นคนเลวร้าย แล้วมันก็จะวนกลับมา ทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกเศร้าหมอง จริงๆ แล้วถ้าเราเห็นใครทำความผิด โดยเฉพาะการกระทำที่ผิดกฎหมาย ต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมาย ศาลเขายังพิจารณาเหตุ พิจารณาเจตนา มันต้องดูให้ครบองค์รวม ถึงจะไปกระหน่ำลงโทษ
ก่อนจะลงโทษใคร หาเหตุให้เจอก่อน ถ้ายังไม่เห็นเหตุก็ยังไม่ต้องเหมารวม ทุกคนสามารถป่วยใจได้ แล้วถ้าใครบางคนป่วยใจ เขาจะมีพฤติกรรมที่แปลกหากเราพอจะสังเกต คนแปลกๆ เหล่านั้น ไม่พร้อมที่จะโดนด่าค่ะ ซึ่งการที่เราผรุสวาทวาจาของเราออกมาด้วยความสะใจ หรือกระแส หรือเราเห็นปุ๊บแล้วเราตัดสินจากตรงนั้น มันอาจจะเป็นความสะใจเรา แต่มันอาจจะเป็นบาดแผลที่ยาวนานให้ใครคนนึง แล้วถ้ามันเยอะมากในเวลาที่อ่อนแอมากแล้วไม่มีคนดูอย่างใกล้ชิด เจอมาหลายเคสแล้วนะ เขาสามารถทำร้ายตัวเองได้นะ โดยเฉพาะคนดัง นี่พูดเลย เราไม่รู้ว่าเขาเปราะบางแค่ไหน
เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องยุ่งเรื่องชาวบ้านมากนักก็ได้ เรื่องชาวบ้านไม่ใช่งานของเรา เพราะงานของเราก็มากพอแล้ว ยุ่งนิดๆ หน่อยๆ เอาเวลามาฝึกเมตตาต่อกันดีไหม เพราะว่าเวลาเราเห็นใครทำอะไรผิดในโซเชียล เราด่ารุนแรงเลย มันทำให้เรามีพฤติกรรมความรุนแรงนะ การที่เราเขียนว่าอะไรใครรุนแรง มันอาจจะดูเหมือนสะใจ บ่อยๆ เข้ากลายเป็นความเคยชินในการใช้ความรุนแรง มันจะยังอยู่ในตัวคุณ และมันก็จะเป็นผลเสียในตัวคุณ เพราะฉะนั้นเริ่มต้นฝึกด้วยการเบรกดีกรีความรุนแรงลง 1.0 ก็ได้ กลับมาอยู่ในเหตุกับผล
เรายังวิพากษ์สังคมได้แต่เรารุนแรงน้อยลง แล้วสิ่งที่ได้คือ คุณยังพิทักษ์ความยุติธรรมให้กับสังคมได้ โดยที่ตัวคุณไม่ทุกข์ เพราะถ้าเชื้อความรุนแรงอยู่ในหัวใจของใคร คนคนนั้นทุกข์นะ เราอย่าทุกข์เพราะความเลวของคนอื่นนะคะ ซึ่งทุกอย่างที่ทำมันมีผลเสมอ ถ้าเราเรียนรู้ตรงนี้สังคมจะน่าอยู่ และเราจะมีความสุขง่ายขึ้น”
วิเคราะห์เคสคนดัง ในฐานะนักจิตบำบัดมือใหม่ ไม่ใช่มืออาชีพ เผยมีสัญญาณป่วยทางจิต ต้องถึงจิตแพทย์ ควรได้รับการช่วยเหลือ
“ในฐานะนักจิตบำบัดมือใหม่ ไม่ใช่มืออาชีพคิดว่ามันมีสัญญาณหลายตัวที่เห็นจากคลิปว่าน้องน่าจะมีความป่วยทางจิตใจ แต่ไม่รู้ว่าในระดับไหน ถ้าเราเป็นทีมที่ดูแลคิดว่าต้องถึงจิตแพทย์แล้วช่วยพิจารณาว่า ควรได้รับความช่วยเหลืออะไร ส่วนในแง่กฎหมายว่า สมควรไหม ผิดแค่ไหน ก็ว่าไปตามเนื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นใครสถานภาพไหน คุณก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย แต่ก่อนศาลตัดสินศาลก็จะพิจารณาองค์รวม ศาลจะไม่ตัดสินเฉพาะภาพที่เห็น หรือตามกระแสที่คุณพูดถึง หรือตามกระแสที่คนรักมากๆ เพราะไม่ว่ารักมากหรือเกลียดมากก็ไม่ใช่ความจริง ความจริงมันมีอยู่ จะรักหรือจะเกลียดความจริงมันก็อยู่ตรงนี้ เราก็ตัดสินตามความเป็นจริง และอยากให้เพิ่มเมตตากันหน่อยพี่น้องชาวไทย เราอย่าใส่อะไรเยอะเลย สมควรโดนลงโทษได้ แต่ไม่สมควรโดนบูลลี่นะ คนทำผิดติดคุกเรายังให้โอกาสนักโทษ แล้วทำไมใครทำอะไรพลาดนิดนึงเราเอาเขาลงนรกเลยเหรอ
กลับมาเรื่องเดิม ฝึกนะ เพราะถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่เราทำแบบนั้น สุดท้ายต่อมความรุนแรงจะทำลายความสุขของคุณเอง คุณจะมีความสุขได้ยาก และคุณจะทุกข์ง่าย แล้วสุดท้ายคุณจะป่วยค่ะ”
เผยถึงคนที่ชอบสร้างโปรไฟล์ปลอม หลายคนบั่นทอนจิตใจกับวงการศาสนา
“คำ อ.ตฤณห์ โพธิ์รักษาค่ะ ที่อาจารย์เขาวิเคราะห์ก็ถูกนะ ก็มีสองแบบ คือถ้าไม่มีความเจ็บป่วยที่ต้องไปหาหมอ ก็เป็นการแสวงหาผลประโยชน์บางทีเราก็ไม่รู้ พอไม่รู้เราก็ไม่ควรว่าเนอะ แต่จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนมีความดีงามในตัวเอง แต่เหตุการณ์รอบตัวบางอย่างมันอาจจะทำให้หลุดออกจากเส้นทางที่เหมาะสมไปไหม หรือจริงๆ แล้วเข้าใจ เขา ผิด อย่าด่วนตัดสินนะจ๊ะ
ส่วนที่หลายคนบั่นทอนจิตใจกับวงการศาสนา กรณีเหล่านี้มันคือตัววัดความแข็งแกร่งจิตใจของเรา วัดต่อมแยกแยะในตัวเรา มันไม่มีใครดีที่สุดในโลกใบนี้หรอก ทุกวงการมันก็มีดีมีแย่ แต่มนุษย์อย่างเราต้องมีต่อมแยกแยะพอโลกมันเปิดกว้างมากๆ ต่อมแยกแยะเราเริ่มผิดเพี้ยนเพราะเรามัวแต่ไปเสพเพียงด้านใดด้านหนึ่งแล้วอิน ทำให้เรากรองไม่ได้ พอเป็นโซเชียลมีเดียการกรองมันหายไป มันเลยกลายเป็นสมองและใจของเราค่ะที่เป็นตัวกรอง ก็คือต่อมแยกแยะ
พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนว่าทุกคนเป็นคนดี ศาสนาไม่ได้บอกว่าผู้ชายที่โกนหัวบวชเป็นพระจะบรรลุธรรม แต่ผู้ชายที่บวชเป็นพระคือคนที่เข้าไปอยู่ในระหว่างทาง มีเป้าหมายคือการบรรลุธรรม เหมือนเรียนหนังสือ บางคนมีเป้าหมายเกียรตินิยม บางคนสักๆ แต่ว่าเรียน บางคนเอาให้รอดก็พอ พระก็เหมือนกัน เขามีเป้าหมายแบบไหนเขาก็จะสร้างผลผลิตแบบนั้น ถ้าเรารู้ทันเราจะไม่เศร้าหมองกับสิ่งที่เกิดขึ้น จะมองเห็นว่ามันเป็นเช่นนี้เอง
สำหรับเรานะ เราจะเอาเรื่องร้ายๆ สอนตัวเองให้มีพลัง ถ้าเขาเคยเป็นพระที่ตั้งใจดี ขนาดเขาตั้งใจดีเขายังพลาดเลย แล้วเราที่ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติเลย ฉะนั้นคนเรามันก็พลาดกันได้เนอะ แต่ไม่ได้หมายความว่าการให้อภัยเราจะไม่ทำอะไรนะ เราลงโทษเขาไป แต่เราอย่าเหมารวมทั้งองค์กร เราอย่าเหมารวมทั้งศาสนา เราต้องกลับมาเตือนตัวเองว่าฉันจะต้องเฝ้าระวังให้มากขึ้น ขนาดคนที่เขาตั้งใจเขายังพลาดได้เลย
ความศรัทธาอยู่ที่เราไม่ได้อยู่ที่คนอื่น อยู่ที่จิตใจของเราว่ายังจะรักษาความศรัทธาไว้อย่างมีปัญญา เราเข้าใจว่าสรรพสิ่งเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าเราไปยึดว่าคนนี้ต้องเป็นแบบที่ฉันอยากให้เป็น พอไม่เป็นปุ๊บก็จะเสียศรัทธา แต่ถ้าเสียศรัทธาไปแล้วก็ไม่เป็นไรนะคะ เราเพียงรื้อฟื้นโครงสร้างบางอย่างในวิธีคิดของเรา เราจะมีความสุข เราจะแข็งแรง เมื่อเราเจอข่าวร้ายเรื่องพระ ซึ่งในอนาคตน่าจะเจออีก”
เผยหากมีต่อมแยกแยะ ใจก็จะมั่นคง
“กลับมาที่ต่อมแยกแยะ ถ้าเรามีต่อมแยกแยะเราจะมั่นคง ใจสั่นน้อยลงและจะมองเห็นทุกอย่าง และเรียนรู้ ย้ำอย่ามีความทุกข์เพราะความเลวของคนอื่น ใครที่มันทำเลวก็ให้มันทุกข์ไป ถ้าเราทุกข์เพราะความเลวของคนอื่นคุณมีปัญหาแล้ว หากยังเลือกเชื่อใจ ปกป้อง อันดับแรกเราต้องไม่ด่ากันคนที่มีความรักมั่นคงแม้คนที่เรารักจะทำเลวเป็นคนที่น่าชื่นชม ถ้าเขารักและศรัทธาใครสักคนเขาก็พร้อมที่จะเชื่อมั่นในคนๆ นั้น เป็นคุณสมบัติที่ดี แต่โชคร้ายที่เขารักคนผิดและเขาโชคร้ายที่ไม่บอกตัวเองว่าคนเรารักคนผิดได้นะ เอาใจกลับมาอยู่ที่ตัวเรา อะไรไม่ดีก็ปล่อยไป เหมือนมีแฟนแล้วเขาไม่โอเค ต้องเลิกนะคะ ไม่งั้นคนใหม่เข้าไม่ได้”
