เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้จัดงานสัมมนาครั้งสำคัญ ณ โรงแรม Shangri-La Bangkok โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐกว่า 200 หน่วยงานเข้าร่วมงานเพื่อระดมความคิดเห็นในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญในการยกระดับคุณภาพกฎหมายไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล
งานสัมมนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจสำคัญภายใต้โครงการการพัฒนาคุณภาพของระบบกฎหมายของประเทศตามข้อกำหนดว่าด้วยแนวทางในการออกกฎหมาย หรือ Recommendation of the Council on Regulatory Policy and Governance 2012 ของ OECD ประกอบกับมาตรา 77 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้กำหนดให้ รัฐพึงจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุกรอบระยะเวลาที่กำหนดโดยรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบด้วย เพื่อพัฒนากฎหมายทุกฉบับให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 กำหนดให้ดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์อย่างน้อยทุก 5 ปีนับแต่วันที่กฎหมายนั้นมีผลใช้บังคับ
“การประเมินผลสัมฤทธิ์” คืออะไร?
พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายฯ ได้ให้นิยามคำว่า “การประเมินผลสัมฤทธิ์” ไว้ว่าหมายถึงการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมายและกฎว่าได้ผลตรงตามวัตถุประสงค์ของการตรากฎหมายนั้นมากน้อยเพียงใด คุ้มค่ากับภาระที่เกิดขึ้นแก่รัฐและประชาชนหรือไม่ หรือมีผลกระทบอื่นอันก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนหรือไม่เพียงใด
ระดมสมอง 200 หน่วยงานภาครัฐ สู่เป้าหมายกฎหมายคุณภาพ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายฯได้เชิญผู้แทนหน่วยงานภาครัฐกว่า 200 หน่วยงาน ในฐานะ “ผู้เกี่ยวข้อง” ซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้โดยตรงมาเข้าร่วมการสัมมนาดังกล่าวเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสะท้อนปัญหาอุปสรรคข้อดี ข้อเสียและข้อเสนอแนะที่เกิดจากการปฏิบัติตามกฎหมายนี้เพื่อร่วมกันประเมินว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ ได้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้หรือไม่ และมีจุดใดที่ควรปรับปรุงเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3 กลไกหลัก ยกระดับกฎหมายไทย
พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายฯ มีเจตนารมณ์ที่สำคัญในการยกระดับคุณภาพของกฎหมายไทยให้มีความจำเป็น สมเหตุสมผล ทันต่อบริบทที่เปลี่ยนแปลง และไม่เป็นภาระเกินสมควรแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ โดยใช้กลไกหลัก 3 ประการ ได้แก่
1.การคัดกรองกฎหมายที่ไม่จำเป็น โดยกำหนดให้ต้องจัดทำการวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมาย หรือ RIA (Regulatory Impact Assessment) ก่อนเสนอร่างกฎหมาย เพื่อให้แน่ใจว่า การออกกฎหมายใหม่มีความจำเป็นจริง และมีผลได้ผลเสียที่คุ้มค่า
2.การทบทวนกฎหมายที่มีผลบังคับใช้อยู่แล้ว ผ่านกระบวนการ “การประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย” เพื่อประเมินว่ากฎหมายที่ใช้บังคับนั้นยังมีประสิทธิภาพเพียงใด บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งไว้หรือไม่ และมีผลกระทบเชิงลบหรือไม่อย่างไร
3.การส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกฎหมายได้อย่างสะดวก โปร่งใส และเข้าใจง่าย อันจะเป็นรากฐานสำคัญของนิติรัฐ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบกฎหมายไทย
สัมมนาเข้มข้น : ครึ่งวันเช้าภาพรวม ครึ่งวันบ่าย Focus Group
การสัมมนาในช่วงครึ่งวันแรกเป็นการรับฟังความคิดเห็นในภาพรวมของพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายฯโดยแบ่งเนื้อหาการรับฟังความคิดเห็นออกเป็น 5 หัวข้อ ได้แก่ การวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมาย การรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง การประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายการตรวจสอบเนื้อหาของร่างกฎหมาย และการให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายได้โดยสะดวกและมีประสิทธิภาพ โดยผู้เข้าร่วมงานจะได้แสดงความเห็นในแต่ละหัวข้อผ่านแบบสอบถามออนไลน์ ตลอดจนการแสดงความเห็นด้วยวาจาในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากในแบบสอบถาม
ส่วนการสัมมนาในช่วงครึ่งวันบ่ายนั้นเป็นการรับฟังความคิดเห็นแบบกลุ่มย่อย (focus group) โดยแบ่งกลุ่มตามประเด็นที่มีผู้ให้ความสนใจกันมากในช่วงเช้าของงาน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้อย่างเต็มที่
เดินหน้าพัฒนากฎหมายไทยบนฐานข้อมูลจริงและความร่วมมือ
การประเมินผลสัมฤทธิ์ในครั้งนี้มิใช่เป็นเพียงการดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการรวบรวมข้อเท็จจริง เสียงสะท้อนจากการปฏิบัติจริงและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับสถานการณ์ และตอบโจทย์ภารกิจของรัฐและความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริงข้อมูลและข้อเสนอแนะที่ได้จากการสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางการพัฒนากฎหมายของประเทศต่อไป
จากก้าวแรกสู่เป้าหมายระยะยาว
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตระหนักดีว่าการพัฒนาคุณภาพระบบกฎหมายของประเทศเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใช้เวลาในการวางแผน ออกแบบ และดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบการดำเนินภารกิจนี้ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายฯ เป็นเพียงก้าวแรกที่สำคัญบนเส้นทางการยกระดับคุณภาพระบบกฎหมายของประเทศตามแนวปฏิบัติสากลของ OECD ซึ่งเน้นการพัฒนาบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมของประชาชนและการคิดวิเคราะห์จากหลักฐานเชิงประจักษ์สำนักงานฯ จะเร่งดำเนินการด้านการพัฒนากฎหมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว เพื่อให้การพัฒนาระบบกฎหมายของประเทศส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนต่อไป