“จิ๊ก เนาวรัตน์” เผยชีวิตวัยรุ่นหายไป ทำงานในวงการ 40 ปี เล่นละคร-หนัง 500 กว่าเรื่อง เกือบสิ้นชื่อ พระเอกดังพาขับรถตกเหว อุทิศตนเป็นจิตอาสาแต่งหน้าศพ เล่าวินาทีแต่งหน้าให้ “ปอ ทฤษฎี” ช็อกมากไม่อยากให้จากไป พร้อมแชร์มุมมองคนเป็นแม่ ไม่หวังให้ลูกเลี้ยงดูตอนแก่ อย่าเกลียดสะใภ้ว่าเอาลูกเราไป ให้ลูกไปมีชีวิตของตัวเอง
นางเอกตลอดกาล “จิ๊ก เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์” โลดแล่นในวงการบันเทิงมากว่า 40 ปี ออกมาเปิดใจเรื่องราวในชีวิตแบบเอ็กซ์คลูซีฟในรายการ Podcast น้องใหม่ “ขมคอ Story Podcast” ของพิธีกรอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดัง “เบ็นซ์ จิรายุ จันทรวงศ์” หรือที่รู้จักกันในนาม “เบ็นซ์ตุ๊ดย่อยข่าว” ที่เชิญแขกรับเชิญในวงการบันเทิงมาร่วมพูดคุยแชร์ประสบการณ์ชีวิตขมๆ แล้วผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาได้ยังไง
เทปนี้พิเศษมาก เพราะได้ “จิ๊ก เนาวรัตน์” มาร่วมแชร์เหตุการณ์ ตั้งเต่เริ่มเข้าวงการ จากชื่อเดิมที่พ่อตั้งให้ “ด.ญ.อ่างแก้ว” ชื่อลูกผู้หญิงเห็นว่าจะไม่เหมาะเลยเปลี่ยนเป็น “เจี๊ยบ” ก่อนเจ้าตัวจะเปลี่ยนเองเป็น “จิ๊ก” เพราะมันยาว และเข้าวงการมาจากการประกวดมิสออด๊าซ ได้รับตำแหน่งขวัญใจช่างภาพและสื่อมวลชน และรองมิสออด๊าซอันดับ 1 ที่ รร.อินทรา จากนั้นเข้าสู่วงการภาพยนตร์ โดยรับบทเป็น “ภัคคินี” ในภาพยนตร์เรื่องแรก “แผ่นดินของเรา” ได้รางวัลตุ๊กตาเงิน “ดาวรุ่งพรุ่งนี้”
ยุคที่วงการบันเทิง ไม่ง่ายเลย การเป็นดาราไม่ใช่เรื่องง่าย “จิ๊ก เนาวรัตน์” ย้อนเล่าเรื่องราวในยุคเก่า ช่วยเหลือตัวเอง ยุคที่พึ่งพาตัวเองเป็นหลัก ไม่เหมือนยุคนี้ มีคนดูแล แต่จะสั้น ถ้าจะมีชื่อเสียงยาวนาน สมัยนี้ไม่เกิน 10 ปี ถ้าไม่มีกระแสก็หาย สมัยก่อนไม่มีผู้จัดการส่วนตัว ดูแลตัวเอง ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เข้าสู่วงการบันเทิง คนขอลายเซ็นชีวิตที่โด่งดัง มีเขียนจดหมายมาหา
ชีวิตที่พลิกผัน จากคนธรรมดา สู่ “ดาวรุ่งพรุ่งนี้”
รางวัลที่เคยได้รับจนทำให้ชีวิตของ จิ๊ก เปลี่ยนไปตลอดกาล ในอดีตนักแสดงหญิงชายทำงานด้วยกัน มีกฎเหล็กยุคเก่าดาราต้อง ห้ามมี “แฟน” เพราะจะเป็นข่าว รู้เมื่อไรจบลงเมื่อนั้น มีแม่มาคุม มีการแอบคบกันก็มี แต่เราไม่มี มีแอบปิ๊งพระเอกบ้าง จะต้องรักษาความลับไว้ เราต้องเก็บความลับ กลัวสื่อรู้เอาไปเขียนในทางเสียหายว่าคนนี้ควงคนนี้ จิ๊ก เนาวรัตน์ ไม่มีเวลาที่จะไปมีแฟนเพราะทำงานเก็บเงินซื้อทองเก็บไว้ ตอนนั้นบาทละ 700 ออกรายการคุณปัญญาเมื่อก่อนเขาแจกทอง ก็เก็บรวบรวมไว้
ย้อนสมัยเก่า การถ่ายหนังยุคนั้น ต้องมีคนบอกบทให้พูดตาม?
ใต้โต๊ะ จะมีคนมาบอกบท เราทำท่าทาง ถ้าไม่ได้ยินก็จะสะกิดบอก และเขี่ย อันนี้คือหนังนะ ละครเล่นเอง มีห้องเก็บเสียง เราแค่ทำท่าทางให้เข้าบท ทำแอ็กชันท่าทางให้ตรง บทจะบอกดูจากคำพูด ใช้การพากย์เสียง เอาเสียงพี่ก็คือเสียง ป้าจุ๊ จุรี โอศิริ และ ดวงดาว ส่วนเสียงคุณสมบัติ ก็เป็นเสียงคุณรอง เค้ามูลคดี พี่รองทำเสียงได้หมดทุกคน
อุปสรรคในการถ่ายทำหนังสมัยก่อน?
เยอะแยะมาก ดินฟ้าอากาศ ฝน และโทรศัพท์มือถือไม่มี ใช้แผ่นรีเฟ็กซ์บอกทาง แผนที่ต้องโทร.จากบ้านแล้วอ่านตามจดหมาย กะเวลาออกจากบ้าน โดนกันเป็นแถว
ค่าตัวนางเอกเรื่องแรก?
เรื่องละ 30,000 บาท เปิดกล้อง กลางเรื่อง และตอนจบ เปิดกล้องได้เงิน พอมากลางเรื่อง และก่อนปิดกล้องเช็คเด้งเลย ไม่ได้เงินก็มี
ตำนานการขโมยแผ่นฟิล์มหนังกลับบ้านมาเป็นตัวประกัน?
เล่นมาเหนื่อย ถูกหลอก เป็นบางเจ้าที่โดนโกง เห็นเขากำลังโหลดฟิล์ม เราก็นั่งดู ก็เลยถามเขา ก็อธิบายให้ฟัง เราก็คิดว่าถ้าฟิล์มมันหายไปมีดาราที่แสดงในฟิล์มอันนี้เยอะ เราก็ถามเรื่องค่าตัวไป ถามเท่าไรก็ไม่ตอบเรา เรารู้สึกไม่ดี เงินก็ไม่ให้เรา เขาบอกว่า อีกฉากเดียว เอาเอกสารมาให้เซ็นบอกจะให้ทีหลัง เราก็ไม่ยอม รู้เลยไม่มีวันจะได้เงิน เราเลยตัดสินใจเอาฟิล์มกลับบ้าน
อุ้มฟิล์มเอาเสื้อคลุม เอามาจากพัทยา แล้วเอาไปแช่ตู่เย็นไว้รักษาฟิล์มไว้ก่อน ถ้ามันพังเราเองก็จะซวยด้วย เงินก็ยังไม่ได้ เขาก็มานับฟิล์มหายไป 2 ม้วน กะไม่ได้ทำอะไรกับมัน แค่เอามาเป็นตัวประกัน เราโดนแบบนี้บ่อยมาก เลยยื่นข้อเสนอไป เอาเงินของฉันมา เอาฟิล์มไป เขาชี้หน้าด่าว่าทำแบบนี้ไม่เกิดหรอก เราสวนกลับไปว่า เกิดไม่เกิดไม่เป็นไร แบบนี้อยู่ที่ความขี้โกงของคน เรายอมไม่ได้ อย่าทำนาบนหลังคน วงการหนังละครไม่น่ากลัว แต่ชีวิตจริงน่ากลัวกว่า
นาทีเฉียดตายของดาราระดับซุป'ตาร์ ขับรถตกเหว บาดเจ็บหนัก?
เป็นอุบัติเหตุที่จำได้ไม่มีลืม เข้าฉากขับรถ เอก สรพงศ์ เป็นคนขับ รถไม่มีเบรก รถจิ๊ปไม่มีเบรกเหวคือเหว ลงไปเลย พี่เอกแตะเบรกลงไปเลย ชนหลักกิโลเมตรที่เขียนว่าอีกกี่โล แกก็กะชนหลักกิโลฯให้รถหยุด มันก็ตีคว่ำไปเลย มันข้ามหลักกิโลฯ แล้วก็คว่ำลงไปเลย โมเมนต์นั้นคนรู้ตัวและบาดเจ็บหมด รีบจับกันหมด ร้องกรี๊ดกันหมด เราก็ก้มหัวก้มหน้ากลัวหน้าแหก กลัวทุกอย่าง ไม่ได้กลัวส่วนล่างปรากฎขาหักไปเลย หยุดทำงานไปเกือบปี 8 เดือน คือใช้ไม่เท้า จากที่เราเสียหายจาก บ้านสีดอกรัก มีพี่เบิร์ด ธงไชย ก็ต้องไปประกวดที่ฮ่องกง พี่เบิร์ด หัวแตก เอก สรพงศ์ ไม่เป็นไรเพราะเป็นคนขับ จิ๊กขาหัก จารุณี หลังหัก ได้รับบาดเจ็บกันหมด ปิดกันเป็นความลับ ใช้เฮลิคอปเตอร์มาสอยทีละคน เข้าชดใช้ค่าเสียให้เรา แต่เราไม่ได้ทำงานนอนมองเพดาน เราบอกชีวิตคนเราเปราะบางสั้นมาก มันไม่ได้ตาย แต่ทรมาน
เข้าสู่วงการแต่งหน้าศพ?
เป็นครั้งแรกเริ่ม เราไม่สบายก่อนอยู่โรงพยาบาลรามาฯ อันนี้มันเห็นคนเยอะแยะมากมาย สุดท้ายแล้วเราก็ถามหมอ เราก็เลยอยากถามหมอว่า อยากจะช่วย เราไม่ใช่หมอพยาบาล อย่างเดียวก็คือการช่วยเหลือคน วันที่เราผ่าตัดแล้วอ้างว้างมาก เขาเข็นเราลงมาข้างล่าง เรากำลังจะผ่าตัดแล้วกลับมาสู่สภาพเดิมขอมีชีวิตที่มีความสุขได้ทำกลับไป ถ้าเราดีขึ้นเราจะได้มาช่วยอะไรในสังคมได้แค่นั้นเอง แล้วเราก็ปกติกลับมา ก็มาช่วยเป็นจิตอาสา เป็นนางฟ้าของโรงพยาบาลรามาฯ ใส่สูทสีฟ้าบลูแองเจิ้ล บางคนมาจากต่างจังหวัด ต่างจังหวัดตีห้า เราก็มาช่วยเขา เด็กปากเพดานโหว่ มาช่วย เราทำหน้าที่มาก่อนหลังจากนี้พอตึกทุบทิ้งเราก็ไปที่ตึกใหญ่ใหญ่ ไม่รู้จะทำอะไร
ก็เลยเปลี่ยนตัวเองมาช่วยเขาแต่งหน้า ผลักเข้าไปพอดีเจอศพอยู่ศพหนึ่งอายุ 80 ตกใจมันอ้างว้างมากนอนคนเดียว เราก็เลยถามพยาบาลว่าพี่เขาน่าสงสารมากเลย ทุกคนก็ต้องอยู่ เราก็กินข้าวไม่ลง กลับมาบ้านนอนไม่หลับ ไปหาคุณหมอดีกว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ช่วยได้ไม่กลัวค่ะ คุณเนาวรัตน์แต่งหน้าได้ไหม คุณเป็นดารา เราก็บอกว่าได้เพราะคุณหมอบอกว่าให้ไปเรียนก่อนแกก็สอนเรา สุดท้ายเราก็เป็นอาจารย์สอนแกสลับกัน
เขาจะต้องมีการทำบุญกันทุก 6 เดือน ที่นี่มีวิญญาณเร่ร่อนเยอะ เขาไม่ได้ไปเกิด ไม่ได้กลับบ้าน เอามาทิ้งตรงนี้ มีลิ้นชักเก็บศพเยอะแยะมากมาย อาจารย์เป็นคนผ่า แล้วก็หยิบชิ้นเนื้อขึ้นมาเราก็ตกใจ แกหยิบทั้งเต้าทั้งยวงเลือดหยดมา เราเห็นศพและต้องเรียนรู้สิ่งที่ลึกไปกว่านี้คนเรามันต้องลึกไป อย่าทำผิวเผิน อิสระแต่งทั่วไปหมด
มีเคสไหนที่ยากที่สุด ชวนขนหัวลุก?
กระโดดตึกลงมายาก เขาไม่ได้เละแต่แขนขาอาจจะผิดรูปมันลงมากระดูกไปหน้า ถูกหน้าลงข้างจะมี คนไทยทะเลาะกับสามีไม่กลับบ้านกระโดดตึกลงมาทะเลาะกัน สุดท้ายแล้วเราไปแต่งหน้า แต่งดีๆ อยู่สักพักไปจับเท้าจับอะไรแต่งหน้าไม่ได้เลย มันไหล เรามีเซ้นส์กับเรารู้กันเลย แล้วบอกสามีผู้ตายเขาออกไป ไม่รู้นะว่าน้องคิดยังไงแต่เสียดายน้องมากเพราะน้องสวยไม่น่ากระโดดลงมาเลย เจ็บนะเห็นไหม ทีหลัง อย่าทำ ถ้าชาติหน้าเกิดมาได้อย่าทำนะ
อยู่กับศพมีความกลัวไหม?
ตอนอยู่กับศพไม่กลัว ปกติ เด็กที่เกิดมาเดือนนึงเจอคนหลายประเภทมากมาย คนเช็ดกระจกลงมามีเยอะมากมาย ทำให้เราคิดเลยว่ายิ่งกว่านั้นคือวัดได้หมดเลย คนนี้มีเงิน คนนี้รวย คนนี้จน แล้วจุดจบก็คือตายเหมือนกัน มีอีกตั้งหลายคนที่เรายังไม่แต่ง เราได้เห็นสัจธรรมชีวิตของมนุษย์
เหตุการณ์แปลกขณะแต่งหน้า?
มีเยอะ มีผู้ชายคนหนึ่งขับแท็กซี่แล้วเขาตาย เราไม่รู้ แล้วแต่งหน้าจะไม่นับว่าเขาตายแบบไหนไม่รู้อายุ แต่งไปอย่านับอายุอะไรทั้งสิ้น เหมือนเป็นการบ่งบอกถึงความไม่เป็นส่วนตัว เราไม่ทำสิ่งนั้นแน่นอน เราก็ไม่อยากหากินกับคนตาย เราไม่รู้จริงๆ ว่าเขาตายเพราะอะไร ตอนหลังเขามาบอกเรา นี่เรื่องจริงเลยนะ มาตอนตีสี่ตีห้า ลุกเข้าห้องน้ำก็ได้เจอเขาคนขับแท็กซี่มาเข้าฝัน กดออดหน้าบ้าน พาไปกินก๋วยเตี๋ยว ให้มานั่งในรถ เราก็ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันสองคน พอมาเก็บเงินเราบอกจะเลี้ยงทั้งหมดสองจาน 37 บาท แล้วเขาก็เลี้ยง เลขนี้ก็ออกจริงๆ เขาพยายามที่จะมาขอบคุณเรา
แต่งหน้าให้ “ปอ ทฤษฎี” วาระสุดท้ายของชีวิต?
ใช่ พี่ปอน่ารักมาก ต้องบอกก่อนว่าเราเล่นเป็นแม่เขาในละครหลายเรื่อง ตอนที่เขาตาย เราก็ช็อกมาก คิดในใจว่าไม่อยากให้เขาตายเลย ทางโรงพยาบาลให้เราไปแต่งให้ปอ เขาเหมือนนอนหลับไป เขายิ้มไม่เศร้า ถึงเวลาที่เขาต้องไปแล้ว แต่งตัวให้ปอ แต่งหน้าดีทาเล็บมันๆ ให้เขาไปสบาย ทุกวันนี้ยังเป็นจิตอาสาทำงานให้ทุกโรงพยาบาล มีคนโทรศัพท์มาให้ไปช่วยก็ยินดีทำ
ความขมที่เคยผ่านมาในชีวิตของ “จิ๊ก เนาวรัตน์” บทเรียนที่สอนทุกคน?
ทุกคนจะมองตัวเองว่า อยู่ในโลกนี้ด้วยความลำบากตอนนี้แย่ แต่เราจะมองว่าถึงอะไรจะแย่จริงแต่เราไม่ได้ลำบากคนเดียว มีคนอีกเยอะแยะมากมายรอบตัวเราที่อยู่สูงกว่าเรา หรือแย่กว่าเรา เขาก็แย่เหมือนเรา ความขมนี่คือเราผ่านชีวิตของขั้นตอนการเป็นเด็ก เราก็โดดข้ามมาทำงานเลย เราผ่านชีวิตจนเราต้องทิ้งไปแล้วเราเสียดาย จะกลับไปทำก็ไม่ได้แล้ว เพราะเราอายุขนาดนี้ ความขมที่ผ่านไปคือเราเกิดมาในชีวิตเราไม่ได้เรียนรู้ทีละขั้นตอน เรากระโดดขึ้นไป พอเรากระโดดขึ้นไปแล้วไปเจอสิ่งที่มันหนักๆเราจะรับได้ไหม ถ้าเรารับได้ก็ดีไป แต่ถ้าเรารับไม่ได้ก็ต้องร้องไห้ แล้วเราจะร้องไห้แค่วันเดียวเพราะว่าพรุ่งนี้จะไม่มีวันร้องไห้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชีวิตอกหัก ชีวิตที่ถูกทอดทิ้ง ชีวิตที่เราไปทิ้งเขา ชีวิตที่ไม่เข้าใจกันต้องจบกันไปเพราะความเป็นดาราทำให้เราต้องสูญเสียสิ่งที่เราต้องการหรือสิ่งที่เรารัก มันก็จะไม่สมหวัง
มุมมองแม่จิ๊ก คิดว่าอยากให้ลูกมาเลี้ยงดูตอนแก่เฒ่าไหม?
เรามีลูกสองคน สามีเราเสีย ก็เลี้ยงลูกมาสองคน จนทุกวันนี้แต่งงานแล้วหนึ่งคน อีกหนึ่งคนยังไม่แต่ง เข้าใจไหมคำว่าลูกเนี่ย อย่าพึ่ง อย่าหวังให้เขามาเลี้ยงเรา ให้เราไปเป็นภาระเขา แม่เชื่อว่าในโลกใบนี้เหมือนกันทุกคน ในเมื่อเรามีลูกผู้ชาย เขาไปสร้างครอบครัวแล้ว เขามีเมียแล้ว เขาไปมีลูกใหม่ จำไว้นะ อย่าหวังว่าเราจะต้องไปเกลียดสะใภ้ ว่าเขาเอาลูกเราไปแล้วเขาไม่มาดูแลเรา ปัญหานี้บอกตามตรงเลยว่าทุกคนจะเจอหมด อยู่ที่ว่าเราต้องทำใจ คิดซะว่าในโลกใบนี้ ศีลเราเสมอกัน เขามาอาศัยท้องเกิดเรา เลี้ยงเขาให้โต พอโตแล้วเขาจะไปจากเราหรือจะอยู่กับเรา หรือจะดีกับเรา อันนี้เป็นเขาแล้ว เราไม่สามารถไปบังคับเขาได้ เขาก็เป็นคนๆ หนึ่งที่เป็นลูกเรา แต่ก็เป็นคนๆ หนึ่งที่เขาจะเลี้ยงดูเราหรือไม่ก็อยู่ที่เขาเอง
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อยากจะบอกทุกคนที่แต่งงานหรือไม่แต่งงาน อย่าคิดว่ามีลูกแล้วจะสร้างสายสัมพันธ์เป็นโซ่ต่อไป เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนหมดแล้ว เขาชอบที่จะก้าวไกลในชีวิตของเขาเอง อยากที่จะยืนหยัดด้วยตัวของเขาเอง ถามว่าเขารักแม่ไหม คำว่ารักมันมีอยู่ทุกคนแต่จะแสดงแบบไหน แสดงให้เห็นเยอะกับแสดงให้เห็นน้อยเท่านั้นแหละ แต่ถ้าถามว่าสายสัมพันธ์จะตัดขาดเลยมันก็เป็นไปไม่ได้ นอกจากว่าเราจะไม่สบายมากๆ เขาอาจจะมาดูแลเรา นานๆ ทีโผล่มาหาเราทีนึง ก็ต้องทำใจ ตัวเราเองเป็นที่พึ่งของตัวเราเอง อยู่เพื่อความสุขของตัวเราเองดีกว่า
ติดตามรายการเต็มรูปแบบได้ ทางช่อง YouTube : BenzKhomKorr เบ็นซ์ ขมคอ ทุกวันอังคาร เวลา 21.00 น.