xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ ‘ออสติน บัตเลอร์’ เจ้าของบทตัวร้ายสุดโหดและโรคจิต ใน Dune Part Two

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา



ปฏิเสธไม่ได้ว่า Dune คือหนึ่งในหนังไซไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคนี้ จากนวนิยายต้นฉบับซึ่งเขียนโดย แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ท สู่การเป็นภาพยนตร์ภายใต้การกำกับของ เดอนี วิลล์เนิฟ ซึ่งพา Dune ภาคแรกประสบความสำเร็จอย่างสวยงามและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มากถึง 10 สาขา และคว้ามาได้ 6 สาขา พร้อมทั้งกวาดรายได้รวมทั่วโลกไปกว่า 433 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ในภาคสอง (Dune Part Two) ก็กำลังยืนโรงฉายอยู่ในเมืองไทยเวลานี้ สานต่อเรื่องราวจากภาคหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการสำรวจการเดินทางแห่งเทพนิยายของพอล อะเทรดีส ที่ร่วมมือกับชานี่และเฟรแมนออกเดินทางล้างแค้น เผชิญหน้ากับผู้สมรู้ร่วมคิดที่ทำลายครอบครัวของเขา และต้องเลือกระหว่างความรักของตัวเองกับชะตาชีวิตที่เห็นทุกสิ่ง กับความพยายามปกป้องเรื่องร้าย ๆ ที่กำลังจะมาถึงในอนาคต ซึ่งมีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้นที่หยั่งรู้ได้

อย่างไรก็ดี หนึ่งในองค์ประกอบดี ๆ ของหนังเรื่องนี้ ที่ได้รับการพูดถึงค่อนข้างมาก คือ ตัวร้ายที่มีชื่อว่า เฟย์ด-รอว์ธา ฮาร์คอนเนน ซึ่งรับบทบาทโดย ออสติน บัตเลอร์ นักแสดงหนุ่มฝีมือดีจากหนังชีวประวัติเรื่อง Elvis (2022) ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscars สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

ใน Dune Part Two หลายคนถึงกับลงความเห็นว่า เฟย์ด-รอว์ธา ฮาร์คอนเนน คือตัวร้ายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในรอบหลายปี ที่ไม่ได้เห็นมานาน


เฟย์ด-รอว์ธา ได้รับการขนามนามว่า เป็นอาวุธที่โหดเหี้ยมสุดแห่งบ้านฮาร์คอนเนน ด้วยความน่ากลัวตั้งแต่รูปลักษณ์และรูปร่าง เขาไม่มีผม ดูสุภาพเรียบร้อย งามสง่า แต่ทว่าโหดเหี้ยมเกินจะคาดคิด สามารถลงมือสังหารได้เพียงกะพริบตา และเหนืออื่นใดคือ “ความจิต” ที่อำมหิตผิดมนุษย์มนา เขาอยากสัมผัสความเจ็บปวดทั้งของตัวเองและของผู้อื่น

แน่นอนว่า หนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้บทบาทนี้โดดเด้งโดนใจคนดู คือการแสดงของออสติน บัตเลอร์ ซึ่งนอกจากจะเป็นแฟนตัวยงของดูนภาคแรกแล้ว เขายังเคยได้อ่านนวนิยายเรื่องนี้ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นด้วย

“ครั้งแรกที่ได้ดูหนังเรื่อง Dune ภาคหนึ่ง ผมรู้สึกแบบเดียวกับตอนดู ‘Apocalypse Now’ เป็นครั้งแรกเลยครับ ผมรู้ตัวเลยว่าอยากมีส่วนร่วมในภาคต่อ ผมเลยรู้สึกว่าโชคดีมาก”

ออสติน เล่าถึงความรู้สึกของเขาในเวลานั้น และวันนี้ ฝันของเขาก็ปรากฏเป็นจริงขึ้นมาแล้ว เมื่อได้มาร่วมงานกับเดอนี วีลล์เนิฟ ใน Dune Part Two โดยออสติน ได้เล่าว่า หลังจากที่เขาได้อ่านบท เขาก็พูดกับเดอนีเลยว่าหนังเรื่องนี้ต้องสนุกมากแน่ ๆ เพราะเดอนีเป็นนักเขียนบทที่เก่ง เขาเข้าใจเนื้อเรื่อง ความเป็นมนุษย์ และถ่ายทอดรายละเอียดออกมาได้ดีมาก แถมยังเขียนบทออกมาได้อย่างเห็นภาพชัดเจนด้วย

“ผมรู้ว่ามันต้องเป็นหนังที่สนุกแน่ เราไม่ได้เล่นตัวละครแบบนี้ทุกวัน และที่สำคัญคือมันมีความท้าทายเรื่องการเปลี่ยนแปลงรูปร่างด้วย ต้องสะท้อนถึงปัญหาทางจิตของเขา ผมคุยกับเดอนีว่าทำไมเขามีท่าทางแบบนั้น ความสัมพันธ์กับครอบครัวและโลกอันโหดดร้ายของลุงที่เขาเติบโตมา ตัวละครอย่างเฟย์ดเหมือนจะยากในการแสดงให้เห็นภาพได้ แต่เขาคือคนที่เต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์ ฉะนั้น การให้ความสนใจในตัวมนุษย์ที่มีอุปสรรคนับเป็นเรื่องที่น่าค้นหา”

ออสติน ยังเล่าต่อไปอีกว่า สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประทับใจอย่างมาก ก็คือ เนื้อเรื่องที่โดนใจ และรู้สึกว่า แม้จะเป็นนวนิยายไซไฟล้ำยุค แต่เนื้อหามันสะท้อนความเป็นจริงของยุคปัจจุบันได้อย่างน่าคิด


“ดูน เป็นเรื่องราวที่มีความหมายมากสำหรับตอนนี้ครับ ครั้งแรกที่อ่านหนังสือคือตอนอายุ 15 ปี ผมไม่เข้าใจเรื่องการฉ้อโกง ความโลภ และพลังอำนาจ หรือไอเดียของสิ่งมีชีวิตสังคมหนึ่งที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ และอีกสังคมที่เป็นฝ่ายเอาเปรียบธรรมชาติ แต่พอกลับไปอ่านอีกครั้งและได้อ่านบทภาพยนตร์ มันรู้สึกเหมือนเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในข่าวทุกวันนี้เลย”

ด้วยความรักและชื่นชมทั้งนวนิยายและหนังภาคแรก ทำให้ออสติน พยายามทุ่มเทอย่างหนักในการฝึกซ้อมเพื่อรับบท “เฟย์ด-รอว์ธา” นักต่อสู้ที่ทั้งโหดร้ายและมีความเป็นคนโรคจิตอยู่ในตัวเอง

“ผมมีเวลาหลายเดือนฝึกซ้อมกับดัฟฟี่ เกเวอร์ ที่เก่งมาก เขาเป็นสตั๊นท์แมนและเป็นทหารหน่วยซีล ส่วนโรเจอร์ หยวน ก็เก่งมากและเป็นตำนานคนหนึ่ง ผมต้องต่อสู้กับเขาในเรื่อง ผมรู้ว่าฉากต่อสู้จะต้องใช้ความพยายามสูงมาก ผมอยากให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังเลยฝึกซ้อมหนักมาก เราฝึกคาลีซึ่งเป็นการต่อสู้ด้วยไม้ของชาวฟิลิปปินส์ ซ้อมการใช้มีดเยอะมาก เราต้องหาสไตล์การต่อสู้ในแบบเฟย์ด หากพอลฝึกฝนการต่อสู้ในแบบอะเทรดีสและเฟรเมน เฟย์ดจะมีสไตล์ที่แตกต่างอย่างไรบ้าง ผมต้องฝึกการออกเสียงด้วย พอเห็นตัวเองอยู่ในกระจกและไม่มีผมสักเส้น ฟันสีดำ เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่โชคดีมาก เพราะเราจะลืมตัวเองคนเก่าจากร่างนั้นไปเลย”

ออสติน บอกเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมทั้งสรุปทิ้งท้ายถึงการได้ร่วมงานกับ “เดอนี วีลเนิฟว์” ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าพ่อหนังไซไฟคนหนึ่งของยุคนี้

“เดอนี เป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ เขาเป็นคนใจดีและคิดถี่ถ้วนในการทำงาน เขาคอยรับฟังและจะไม่มุ่งเอาแต่คำตอบ เขาจะบอกว่าเขาฝันไว้แบบนี้ จากนั้นจะกลับมาพร้อมกับรายละเอียดและเหตุผลในจินตนาการของเขา เขาคือคนที่มีไหวพริบตัวจริงเวลาที่เราดูเขาทำงาน ผมรู้สึกหวั่นเกรงเขาทุกวัน แต่เขาก็ทำให้มันดูง่ายมากทุกวันเช่นกัน”







กำลังโหลดความคิดเห็น