Disney ประกาศยอมรับว่าทิศทางในการสร้างผลงานของบริษัท ส่งผลกระทบอย่างมากต่อรายได้ของผลงาน และยอมรับว่าระยะหลังผลงานของ Disney “ไม่สอดคล้องกับรสนิยมของประชาชนและผู้บริโภค”
“โดยทั่วไปแล้ว รายได้และ กำไรของเราได้รับผลกระทบในทางลบ เมื่อผลงานด้านความบันเทิงของเรา ตลอดจนวิธีการของเราในการนำเสนอและผลงานของเราให้กับผู้บริโภค ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคอย่างเพียงพอ” Disney กล่าว ในแถลงการณ์
ทางบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ยังยอมรับว่าระยะหลัง จุดยืนในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ทั้งการทำผลงานให้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อม และประเด็นทางสังคม กลายเป็นความเสี่ยงต่อ "ชื่อเสียงและแบรนด์ของเรา"
จุดยืนดังกล่าว หรือที่หลายฝ่ายเรียกว่า Woke ก็คือการที่ Disney พยายามนำเสนอประเด็นอย่าง ความเท่าเทียม และ ความหลากหลาย ทั้งทางเพศ และทางเชื้อชาติเข้าไปในผลงาน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า "มากเกินไป" และเข้าข่ายเป็นการ "ยัดเเยียด"
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกนักแสดงผิวดำมารับบทที่ต้นฉบับเป็นตัวละครผิวขาวใน The Little Mermaid หรือ เลือกนักแสดงชาวลาตินมาแสดงเป็นตัวละคร สโนว์ ไวท์
รวมถึงการผลักดันบทบาทเด่นให้ตัวละครหญิง และกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในหนังหลาย ๆ เรื่อง
ล่าสุด The Marvels หนังที่มีตัวละครเด่นเป็นซูเปอร์ฮีโร่หญิง 3 คน กลายเป็นงานที่ล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Marvel ขณะที่ Wish การ์ตูนแฟนตาซีที่มีตัวละครเป็นหญิง แอฟโฟร-ลาตินา ก็ล้มเหลวทางรุนแรงในบ็อกซ์ออฟฟิศ
โดยจุดยืนดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในหลายๆ โปรเจ็คที่มีการอนุมัติยุคที่ บ็อบ แชเป็ก เป็น CEO ซึ่งสุดท้าย บ็อบ แชเป็ก ได้ตัดสินใจลากออกไป และ บ็อบ ไอเกอร์ อดีต CEO ได้กลับมาทำหน้าที่แทน
ซึ่ง บ็อบ ไอเกอร์ ยืนยันว่าจะพยายามทำให้แบรนด์อันโด่งดังกลับมาสู่ทิศทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง