“เจเจ กฤษณภูมิ” ยอมรับแบ่งเวลาตัวเองกับงานบริษัทไม่ค่อยลงตัว หาจุดแก้ไขไม่ได้ เหตุบริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด บอกถ้าไม่มี “ต้าเหนิง” คงหายนะ ยกอีกฝ่ายเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดี มีอีกหลายอย่างให้เรียนรู้
เป็นคนแรกๆ ที่ออกมาตั้งบริษัทเพื่อรับงานเอง หลังจากไม่ต่อสัญญากับค่ายไหน แต่ล่าสุด ดูเหมือน “เจเจ กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม” จะเจอปัญหาครั้งใหญ่ หลังจากที่บริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้การจัดสรรเรื่องเวลาระหว่างชีวิตส่วนตัวและงานบริษัทไม่ลงตัว โดยเจเจเผยว่าโชคดีที่มี “ต้าเหนิง กัญญาวีร์ สองเมือง” หวานใจเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดี
“เรื่องแบ่งเวลา แบ่งไม่ได้เลยครับ เรื่องเวลาตอนนี้เป็นปัญหาหลักที่ยังหาจุดแก้ไขไม่ได้ ผมกับเหนิงก็สลับกันเข้าออฟฟิศตลอด แต่ด้วยความที่มันมีงานของบริษัทด้วย แล้วก็งานส่วนตัวด้วย ทำให้จัดการเวลาค่อนข้างยาก ตอนนี้งานบริษัทก็เริ่มเข้ามาเรื่อยๆด้วย ในมุมผมได้เร็วเกินไปกว่ามันจะเป็นรูปเป็นร่างประมาณนี้ได้มันก็ใช้เวลาค่อนข้างนานเหมือนกัน ที่บริษัทตอนนี้ก็มีบิ๊กโปรเจกต์รออยู่ แต่ด้วยผมเองตอนนี้ก็โฟกัสกับงานส่วนตัว เลยยังไม่มีเวลาประชุมทีม ตอนนี้เรากำลังจัดคิวกันอยู่ บริษัทก็ยังไม่อยู่ตัว แต่ก็มั่นคงประมาณนึงแล้ว มันยังมีปัญหาที่ยังต้องแก้เฉพาะหน้าในทุกวัน”
โอดตั้งบริษัทเองก็ค่อนข้างหนัก เติบโตก้าวกระโดด ไม่มีต้าเหนิง คงเป็นหายนะ
“ก็ค่อนข้างหนักครับ คือผมไม่แน่ใจเลยครับว่า…คือถ้าไม่มีเหนิงก็คงเป็นหายนะครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นการเติบโตที่มันค่อนข้างก้าวกระโดดมากๆ มันยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เรายังต้องเรียนรู้ ค่อยๆ ปรับตัวไปกับมัน
ปัญหาที่เจอคือเรื่องการบริหารจัดการชีวิตตัวเองนี่แหละครับ พอเรามีงานส่วนตัว มีงานบริษัทที่เราต้องดูแล ต้องตัดสินใจด้วย ถามว่าเราทำได้ดีไหม เราก็ยังทำได้ไม่ดี ถ้าให้คะแนนตัวเองน่าจะอยู่ที่ 4-5 คะแนน ผมรู้สึกว่าผมยังมีอะไรที่ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ เราก็ใช้วิธีเรียนรู้จากพี่ๆ ที่เขาทำบริษัท อยู่ในวงการ ก็ใช้วิธีการถาม ศึกษาจากเขาเอา
ด้วยความที่ตอนนี้เราอยู่ก้ำกึ่งเป็นวัยรุ่นตอนปลาย หรือจะโตเป็นผู้ใหญ่หรือยัง นอกจากเรื่องงานแล้วมันก็ยังมีอีกหลายๆ เรื่องที่เราต้องตัดสินใจ ใช้เวลาในการคิดกับมัน ถามว่าตอนนี้มีเวลาไหม ก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งทบทวนตัวเอง เหนิงเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีมากๆ ถ้าไม่มีเหนิงนี่ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะหนักขนาดไหน”
รายได้ดีงาม ไม่เจ็บตัว
“รายได้บริษัทโอเคครับ ไม่เจ็บตัวครับ ก็ไม่มีใครมาปรึกษาเรื่องการตั้งบริษัทครับ ผมรู้สึกว่ามันจะเป็นในรูปแบบของการเล่า การถามไถ่กันมากกว่า ถ้าจะถึงขั้นปรึกษาเลยยังไม่มี”