xs
xsm
sm
md
lg

“กฤษณ์-กรณ์ ณรงค์เดช” แถลงศาลตัดสินพ่อ “เกษม” ถูกปลอมลายเซ็นจริง 7 ปีแบกความรู้สึกหนักมาก ครอบครัวทะเลาะกันเรื่องธุรกิจ (คลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“กฤษณ์-กรณ์ ณรงค์เดช” แถลงยืนยันความบริสุทธิ์คุณพ่อ “เกษม” ถูกปลอมลายเซ็นจริง โอด 7 ปี แบกความรู้สึกมาหนักมาก สงสารพ่อสุดหัวใจ ไม่คิดว่าครอบครัวจะมีวันนี้และจะมาถึงจุดนี้ทั้งๆ ที่สนิทกันมาก ด้าน กฤษณ์ ได้เผยถึงข้อคำสอนโบราณตนได้จากเรื่องนี้ บอกเจอกับตัวถึงได้เข้าใจ


เป็นเวลา 7 ปีแล้ว กับปัญหากัดกินใจครอบครัว “ณรงค์เดช” จากกรณีที่สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “ณพ ณรงค์เดช” และ “คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา” กับพวกในข้อหาปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม กรณีที่นายณพ อ้างว่าผู้เป็นพ่อ “เกษม ณรงค์เดช” เป็นตัวแทนให้กับ ”คุณหญิงกอแก้ว” (แม่ยาย) ในการซื้อหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอยี โฮลดิ้ง จำกัด และการโอนหุ้นวินด์ เอนเนอยี ไปให้บริษัทโกลเด้น มิวสิค ซึ่งตั้งอยู่ในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ซึ่งศาลตัดสินแล้วว่า คุณพ่อเกษม ถูกปลอมลายมือชื่อเพื่อโอนหุ้นของ คุณพ่อเกษมไปให้แก่คุณหญิงกอแก้ว เป็นเรื่องจริง

หลังจากที่ศาลมีคำตัดสินออกมา ทางด้านพี่ชายคนโต “กฤษณ์ ณรงค์เดช” และ ลูกชายคนสุดท้อง “กรณ์ ณรงค์เดช” ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ยืนยันความบริสุทธิ์ของคุณพ่อเกษม ว่าถูกปลอมลายเซ็นจริง ครอบครัวเกิดปัญหาขึ้นตามข่าวลือ ไม่คิดว่าสองครอบครัวที่สนิทกันมากจะต้องมาเจอปัญหาแบบนี้ โดย กรณ์ ณรงค์เดช เผยว่า…


“เรื่องนี้ก็ 7 ปีแล้ว เป็นอะไรที่เรารอกันมาหลายปีมาก เป็นปัญหาภายในครอบครัวที่คุณพ่อออกมาพูดเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วว่า ถูกปลอมลายเซ็น แต่ก็ไม่มีความชัดเจน หลายคนก็สงสัยว่าตกลงมันยังไง มีข่าวลือออกมามากมายว่าคุณพ่อเป็นอัลไซเมอร์ เซ็นเองแต่จำไม่ได้ แต่สุดท้ายวันนี้ครอบครัวเราก็ได้รับความเป็นธรรมและความชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่คุณพ่อพูดมาตลอดเป็นความจริง ว่าคุณพ่อโดนปลอมลายเซ็นทั้งหมดในเรื่องของการโอนหุ้น

พอคุณพ่อได้ทราบว่าศาลตัดสินแล้ว คุณพ่อก็สบายใจขึ้น มันเป็นเรื่องที่กินใจคุณพ่อมาตลอด เรื่องราวทั้งหมด ไม่มีใครอยากจะให้มันเกิดขึ้น แล้วทำไมไม่มีใครเชื่อพ่อว่าพ่อไม่ได้เซ็นจริงๆ

สำหรับผมเอง ในฐานะลูก ในฐานะคนในครอบครัวเรียกว่าเป็นปัญหาที่หนักที่สุดในชีวิตแล้ว รวมถึงทุกคนในครอบครัวเราด้วย ตอนนั้นพ่อก็เครียด น้ำหนักลงไปเยอะมาก ตอนนี้ดีขึ้นแล้วและโชคดีที่มีกวินท์ลูกผมเข้ามา เป็นยาใจให้กับคุณพ่อ ผมก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ลูกอย่างเต็มที่ที่สุด และน่าจะเป็นสิ่งที่คุณแม่ต้องการที่สุด เรื่องคดีความก็ดำเนินกันไป แต่เราไม่ได้จะมาทำคดีความด้วยความโกรธแค้น แต่เราอยากคงความเป็นธรรมให้กับพ่อเราแค่นั้นเอง”

7 ปี แบกความรู้สึกมาหนักมาก สงสารพ่อสุดหัวใจ ไม่คิดว่าครอบครัวจะมีวันนี้และจะมาถึงจุดนี้

“หนักมากครับ เป็นปัญหาที่ทำให้ครอบครัวเราทุกข์ใจกันมาก ครอบครัวเราไม่เคยมีคดีความมาก่อน นี่เป็นคดีแรกและเป็นคดีกับคนที่สนิท ผมสงสารคุณพ่อสุดหัวใจ แกก็อายุ 88 ปีแล้ว มันไม่ใช่เรื่องของธุรกิจแต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ ก่อนจะมีปัญหาเราเป็นครอบครัวที่สนิทกันมาก ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันเลย ก็ไม่คิดว่าจะมีวันนี้และจะมาถึงจุดนี้จริงๆครับ

จากนี้ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะจบ แต่มันเริ่มจะคลี่คลายไปทีละปม แต่เรื่องการปลอมลายเซ็นมันเป็นปมใหญ่ของทุกคดี ทุกคดีจะเกี่ยวข้องกับการปลอมลายเซ็นหมด พอแกะเรื่องปลอมลายเซ็นได้หวังว่าคดีอื่นๆ ก็จะเริ่มคลี่คลายได้ง่ายขึ้น

เรื่องปลอมลายเซ็นเป็นเรื่องที่เรากังวลมากที่สุด พอผลออกมาว่าคุณพ่อถูกปลอมลายเซ็นจริงเราก็สบายใจแล้วว่าความจริงมันชัดเจนขึ้นแล้ว สิ่งที่บ้านเราพูดมาตลอดมันเป็นความจริง ผมเองจิตใจก็ดีขึ้น ปีแรกๆ จะยากพอสมควร ปัจจุบันถามว่ามันหายดี 100% ก็ไม่หรอกครับ แต่เราจำเป็นต้องทำใจมูฟออน โฟกัสสิ่งที่สำคัญกับชีวิตเราคือการดูแลคุณพ่อให้ดีที่สุด”

ทิศทางต่อจากนี้ของ 3 คนพี่น้องครอบครัว “ณรงค์เดช” จากนี้ “กฤษณ์” และ “กรณ์” จะทำหน้าที่สานต่อดูแลธุรกิจครอบครัว
“ตั้งแต่มีเรื่องกันมาก็ชัดเจนว่าทุกวันนี้ธุรกิจของครอบครัวเราเหลือดูแลกันแค่สองคนคือผมกับคุณกฤษณ์ ทางบ้านโน้นก็แยกออกไปชัดเจน ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน

ในช่วงแรกๆ ที่มีข่าวว่าเรามีปัญหากันภายในครอบครัว อยากจะยืนยันตรงนี้เลยว่ามันคือเรื่องจริงหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าไม่ได้ทะเลาะกันจริง คนนึงคงไม่ได้อยู่ในฐานะโจทก์ อีกคนนึงคงไม่ได้อยู่ในฐานะจำเลย ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว ในฐานะครอบครัวที่ยังเหลืออยู่ก็ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้มันดีที่สุด”

ด้านพี่ชายคนโต “กฤษณ์ ณรงค์เดช” ได้เผยถึงข้อคำสอนโบราณที่ยังนำมาใช้ได้ที่ได้จากเรื่องนี้ หลังจากได้ประสบการณ์กับตัวเอง
“ครอบครัวผม คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกชายมา 3 คน ไม่เคยมีเรื่องมีราวเลย พอเกิดเรื่องผมสงสารคุณพ่อมากจริงๆ ความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางกฎหมายไม่มีใครอยากให้เกิดกับครอบครัวทั้งสิ้น เราเองก็เป็นพี่น้องกัน ผมเรียนตรงนี้เลยว่าจริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด แต่ในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผย คุณพ่อได้รับการพิสูจน์แล้วว่าคุณพ่อถูกปลอมลายเซ็น

แล้วจริงๆ เรื่องนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นเลย มันเป็นเรื่องของธุรกิจ จากนี้ก็เหลือกันสองคน ที่ดูแลธุรกิจกันต่อ ในเรื่องของการดูแลกัน ผมว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป แต่มันมีคำพูดที่ว่าคนนั่งพูด กับคนนอนพูด ตรงนี้ผมว่ามันก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน ได้เจอกับตัวเองแล้ว เป็นข้อคำสอนที่ดี จากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราสองคน ผมกับกรณ์ที่จะต้องดูแลและทำหน้าที่ตรงนี้กันต่อไป”















กำลังโหลดความคิดเห็น