xs
xsm
sm
md
lg

กว่าจะเป็นสัปเหร่อ 400 ล้าน “ต้องเต” สุดกลั้น! แบกความกดดัน เหนื่อยจนพูดกับใครไม่ได้ รัก “ก้อง ห้วยไร่” ด้วยใจบริสุทธิ์ (คลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ต้องเต” เปิดความกดดันทำหนังสัปเหร่อ เหนื่อยจนพูดไม่ออก พูดกับใครไม่ได้ เหตุทีมงาน-นักแสดงบางคนไม่เชื่อมั่น ลั่นรัก “ก้อง ห้วยไร่” ด้วยใจบริสุทธิ์ ผูกพันเหมือนคนในครอบครัว พร้อมเผยจุดเริ่มต้นร่วมจักรวาลไทบ้าน 

“ต้องเต ธิติ ศรีนวล” ผู้กำกับภาพยนตร์ “สัปเหร่อ” ที่ตอนนี้ทะลุ 400 ล้านเรียบร้อยแล้ว ได้ออกมาเปิดใจเต็มๆ ในรายการ Sunday Morning SS2 ตอน “ต้องเต ผู้กำกับสัปเหร่อ” เล่าถึงความกดดันในการทำหนังเรื่องเรื่องนี้ โดยบางช่วงบางตอนเจ้าตัวมีอาการสุดกลั้น กับความเหนื่อยและความกดดันที่ได้รับ รวมทั้งได้พูดถึงพี่ชายที่สนิท และรักเหมือนคนในครอบครัวอย่าง “ก้อง ห้วยไร่”

“แค่เกิน 100 ล้านก็ดีใจมากแล้ว ตอนมีแพลนฉายเรื่องนี้ ถามว่าคาดหวังแค่ไหน ใช้คำว่าไม่คาดหวังเลยดีกว่า คนรอเยอะมาก ด้วยกระแสอะไรหลายๆ อย่าง ไทม์ไลน์ผิดด้วย ว่าหนังเรื่องนี้จะเข้าเมื่อ 6 ปีที่แล้ว พอไม่ได้เข้าช่วงนั้น ทำให้ความต่อเนื่องมันยาก เราก็กดดัน จนคิดว่าเราทำเขาเจ๊งแน่ๆ เราทำจักรวาลเขาพังแน่ๆ ในโน้ตในมือถือ เราจะพิมพ์ไว้ว่า เราจะยืมเงินใครได้ เขาทำงบเท่าไหร่ เราจะยืมตังค์ กำลังจะส่งให้พี่ก้อง ห้วยไร่ จะยืมพี่ก้องมาใช้หนี้เขา เราอยากรับผิดชอบเพราะทำเขาเจ๊ง แต่ก็ไม่ได้ส่งไป”

เล่าจุดเริ่มต้น เข้าสู่จักรวาลไทบ้าน
“ตั้งแต่ภาคแรก ที่พี่ๆ เขารวมกลุ่มกันอยู่สารคาม เราก็ไปแคส แต่ตอนนั้นไม่ได้นะ เราเรียนศิลปกรรมการแสดง ก็ขอเข้าไปอยู่ในกองได้ไหม เป็นตัวประกอบก็ได้ ก็เลยได้เป็นตัวประกอบ เล่นเป็นบทคนบ้าในหนังภาคแรก พอจบภาคแรก เราก็อยู่สารคามพอดี พอมีคนรู้จัก ก็ทำคอนเทนต์โปรโมตหนังช่วยเขา อยู่กับเขา ช่วงนั้นไม่มีเงิน เขาทำภาคแรก ก็อยู่บ้านเช่า เราก็เอ๊ะ ทำหนังทำไมไม่มีตังค์ เก็บผักเก็บอะไรกินประทังชีวิตมาก เราก็อยู่กับเขาในจุดนั้น แล้วบอกเขาว่าผมเรียนการแสดงมา ผมช่วยอะไรพี่ได้บ้าง เขาถามว่าเขียนบทได้ไหม

ถามว่าทำไมอยากอยู่กับบ้านหลังนี้ ตอนเข้าปีหนึ่ง ผมยังไม่รู้เลยว่าผมชอบอะไร ผมให้เพื่อนลงคณะให้ เดี๋ยวกูไปสัมภาษณ์ให้ ไปเรียนให้ เพื่อนลงให้ มันได้คณะนี้ เราก็มองหากล้อง ทำไมไม่มีกล้องมาถ่ายเรา มันเป็นละครเวที เป็นศาสตร์การแสดงเฉยๆ เราก็เลยผิดหวังมาก กูไม่อยากเรียนแล้ว คนอื่นเรียนนิเทศ พี่ๆ เขาจบภาพยนตร์ แต่เรามาละคร มันต้องเป็นโอกาสที่เราไปอยู่กับเขาดีกว่า เลยทิ้งเรียนไปช่วงนึงเพื่ออยู่กับเขา พออยู่กับเขา เขาก็ชวนไปเขียนบท ตอนนั้นเราไม่ได้เก่งมาก เพราะโครงสร้างที่เขาเรียนมา กับเราต่างกัน เราไม่กล้าพูด เรายังเด็กน้อย ตอนนั้นคิดได้แค่มุก ความฮาเสริมเข้าไปในบทหลักเขา เน้นฮา เน้นตลกอย่างเดียว พอเขียนได้ ก็จำได้ว่าเข้าโรงแล้วก็ประสบความสำเร็จในระดับนึง ก็คิดว่าทำไมหนังดรามาขนาดนี้ คนน่าจะไม่ชอบ ก็คาบเกี่ยวถ่าย 2.2 พอดี เราเป็นผู้ช่วยด้วย ก็เลยคิดว่าเราต้องทำให้หนังมันสนุก ก็เข้าไปบรีฟนักแสดงโดยไม่สนใจบทเดิม ใส่มุกอย่างเดียว จนหนังกลายเป็นหนังฮา เฮ้ย ถ้าเราทำงานขนาดนี้ เรากำกับได้นะ

จักรวาลไทบ้านแข็งแรง มีแฟนเฉพาะกลุ่ม เราอยู่ทีมเขาก็เป็นความโชคดี รอบข้างเรามีแต่คนเก่งๆ ทำให้เราพัฒนาโดยไม่รูตัว ตอนทำ 2.2 มีส่วนร่วมมากที่สุดคือจุดที่โดนแบน ตรงนั้นเป็นคนผิด ตอนที่กองเซ็นเซอร์ประกาศเซ็นเซอร์ซีนสำคัญของเรา ตอนนั้นก็เป็นข่าวดังมาก เพราะไทบ้านเริ่มเป็นที่รู้จักกว้างมากขึ้น เหมือนคนรอด้วย พอเกิดเหตุการณ์นั้นก็เศร้า ยอมรับผิด และปล่อยให้ผ่านไป มูฟออน ขอบคุณมันด้วย ถ้าไม่ได้กระแสการแบนตรงนั้นอาจไม่ถึง 100 ล้าน ก็เกินคาดเหมือนกันกับทีมไทบ้าน ไทบ้านคือเล่าชีวิตแบบเรียลๆ แต่เรามาถอดจิต ก็บาลานซ์ว่าเรายังทิ้งเขาแล้วไปเวย์โน้นไม่ได้ เราต้องพาเขาไปด้วย หนังก็เลยมีความซื่อว่าแต่ตัวละคร ผมจะพาคนดูไปด้วยนะ กลับบ้านไปก็ร้องไห้ เหนื่อย ว่ากูทำดีหรือยัง แต่ไม่ได้ท้อและดิ่ง แค่อยากให้มันออกผ่านน้ำตาไปบ้าง ผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมากๆ ชอบไปที่คนเยอะๆ อยากเห็นคนเยอะๆ แต่ก็อยากอยู่คนเดียว (หัวเราะ)

ถามว่าทำไมถึงทิ้งระยะมาประมาณนึง ถึงมาถึงสัปเหร่อ มันด้วยปัจจัยหลายอย่าง อาจมีโปรเจกต์ที่เราอยากทำกับเขา เขาอยากทำกับเรามาแทรก ระยะเวลาก่อนเกิดสัปเหร่อก็ 4-5 ปี จริงๆ เขียนแค่เดือนเดียว แต่เก็บข้อมูลเยอะ เขียนหลายดราฟมาก ดราฟที่พวกพี่เขาเขียน เราเขียน พอต้องมารับผิดชอบเต็มตัวก็กดดัน เพราะเราเข้าไปตอนเขาเขียนบท 5 คน เราสนุกมากตอนเขาเขียนบท ถ้าเขียนแบบนี้กูทำได้แน่นอน แต่พอมาเรื่องนี้เราเขียนคนเดียว บางมุกเขียนไปขำหรือเปล่าวะ ฮาหรือเปล่า ไม่รู้เลยจะไปทิศทางไหน แต่เอาวะ เราก็ไปศึกษาคอมเมนต์ว่าเขาอยากดูอะไร อยากเห็นอะไรในเรื่องนี้ สิ่งที่เขาอยากเห็นกับตัวตนของเรามันคนละทางเลย”

มาอยู่ในจุดที่ไทบ้านซบเซา แก้ปัญหาแต่ละวันเยอะ จนคิดว่าทำไมต้องเป็นกู!
“การเข้ามาดูแลเรื่องนี้เองทั้งหมด ยาก ถ้าเอาตามจริง ก็อยู่ในจุดที่ไทบ้านซบเซา เจอปัญหาไม่ได้แค่กำกับ แก้ปัญหาดีกว่า ปัญหาแต่ละวันเยอะ จนผมคิดว่าทำไมต้องเป็นกูที่ต้องมารับตรงนี้ พอบทเสร็จก็ไปขายนายทุน ด้วยความที่เราไม่เคยขาย ปกติเขาเป็นผู้บริหารไปขาย เราไปขายครั้งแรกด้วย เรารู้แค่ว่ากูต้องขายให้ได้ พรีเซ็นต์สนุกกว่าบทเลย หลุดปากพูดว่าให้ผมทำเถอะครับ หนังเรื่องนี้ได้ 100 ล้านแน่นอน ตอนนั้นไม่รู้เอาความมั่นใจมาจากไหน แค่อยากทำ พอพูดเสร็จก็ได้ทำ ขายเจ้าแรกเขาก็ซื้อเลย เป็นนายทุนเก่า เขาก็ชอบอยู่แล้ว แค่อยากดูว่ามันจะสนุกไหม”

เสียงสั่นเครือ แบกรับความกดดัน นักแสดง - ทีมงาน ไม่เชื่อมั่น เหนื่อยแต่พูดกับใครไม่ได้
มันก็เลยมาสู่แรงกดดัน ตอนถ่ายทำ มีทั้งคนเชื่อใจและไม่เชื่อใจ ไม่เชื่อมั่นในตัวเรา อย่างนักแสดงบางคนก็ยังโหยหา เวลาเราไปบรีฟบท เขาก็ยังถามหาผู้กำกับคนเดิม รู้สึกไม่เชื่อใจ ขอคุยกับคนนี้หน่อย ถ้าเป็นคนนี้เขาไม่ทำแบบนี้นะอย่างทีมงานเราอยากได้แบบนี้ แต่เขามีลายเซ็นแบบนี้เราก็เปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้ เราก็กลับมาทำงานของเราหนักขึ้นไปอีก เพื่อให้เขาเชื่อใจเรา
 
ผมเหนื่อยมาก เหนื่อยจนพูดอะไรไม่ได้เลย พูดกับใครไม่ได้เลย (เสียงสั่นเครือ) เขาถามว่าหนังจะดีไหม จะโอเคไหม ผมก็ตอบไม่ได้ รู้แค่อยากทำให้ดีที่สุด ใช้เวลาถ่ายทำ 3 เดือน 15 คิว กับอีก 3 คิวพิเศษ ผมเขียนบทคนเดียว กำกับคนเดียว ตัดต่อ เพลงประกอบ ทำเยอะมาก ตอนเขาเอาไปออก ผมคิดว่าเขาจะคิดว่าผมอวดเก่งไปหรือเปล่า แต่เขาก็ยังเอาไปไม่หมดเลยนะ (หัวเราะ) มันหน้าที่ผกก.แหละ เราลงไปทำด้วยความเขาไม่เชื่อใจบ้าง เราก็ลงไปทำทุกอย่าง ตอนนี้เจอปัญหาทุกวัน มีหลายทีมมากก็เกิดการปะทะ การด่ากัน ก็เลยเรียกว่าขออย่างเดียวห้ามด่ากันในกอง ผมสั่น เครียด แล้วทำงานไม่ได้ มีความสุขพี่”

ไม่กล้าดูหนังตัวเองรอบสื่อ เพราะกลัวตัดสินใจผิดพลาด
ตอนรอบสื่อ ก็เดินวน ไม่ได้เข้าไปดูหนัง เพราะรู้สึกว่าหนังมันเป็นตัวผมมากเกินไป กลัวคนไม่เชื่อ กลัวเราตัดสินใจผิดพลาด ไม่น่ามีคนชอบ วันนั้นพี่ก้อง ห้วยไร่ไปเซอร์ไพรส์ด้วย ก็ร้องเลย สนิทมาก ถ้าตอนถ่ายเหนื่อยจากกอง จะขึ้นกรุงเทพฯ มาหาเขาเลย ขึ้นมานอนเล่นอยู่บ้าน มาเจอหน้ากัน ไม่ได้พูดแต่รู้สึกมีพลัง”

รัก “ก้อง ห้วยไร่” ด้วยใจบริสุทธิ์
ถามว่าทำไมรักพี่ก้อง เป็นรักบริสุทธิ์ เหมือนเราไม่ได้ต้องการเงินจากเขา เราอยากดูแลเขาแบบครอบครัว เขาก็คอยดูแลเรา พอรอบสื่อเสร็จ เราก็รู้ว่าหนังจะไม่แมส แต่เรารู้ว่าจะเป็นกระแสปากต่อปากแน่ๆ กระแสคนรีวิวเยอะแน่ๆ เพราะว่าเราเข้าไปถามคนออกจากโรงในรอบสื่อ บางคนร้องไห้ออกมา เราคิดว่ามันใช่เหรอ เราทำคนร้องไห้เลยเหรอ พอมีกระแสปากต่อปาก ดีใจ ปลดล็อก เหมือนเหนื่อยมากๆ แล้วมันปลดล็อก ไม่ได้ทำให้เราประสบความสำเร็จ มันทำให้ไทบ้านกลับมาแล้ว เขาก็มาขอบคุณ แต่ละคนมาขอบคุณ เรารู้สึกว่านี่แหละ มันแค่นี้เลย

หนังเรื่องนี้สร้างความสุขให้ผมตลอด แค่ความสุขมากับความเหนื่อย มันมีความสุขจนตอนนี้เขาบอกให้เราไปพักก่อนสักเดือนแล้วค่อยมาทำงาน แต่ผมยังอยากเขียนบทอยู่เลย เขียนภาคต่อไปใกล้จะเสร็จแล้วนะ ผมมีความสุขมาก อีกอย่างรู้สึกว่าเราได้ชูความเป็นอีสาน อยากให้อีสานมันแมสขึ้น ก็ต้องขอบคุณพี่ๆ ที่เขาทำไว้ดีแล้ว เราแค่มาสานต่อสิ่งที่อยากทำ เราไม่ได้สำเร็จคนเดียว ผมอาจทำหลายตำแหน่ง แต่ความสำเร็จเป็นของทุกคน ถ้าไม่มีทุกคนผมก็ไม่ได้ทำได้ขนาดนี้ ผมเรียนรู้จากทุกคน ทุกคนซัปพอร์ตมาก และวันนี้สำเร็จแล้ว ผมหน้าใหม่มากในวงการ ก็อยากตัวด้วย”












กำลังโหลดความคิดเห็น