ถ้าพูดถึง RiFF Studio ผู้รับจ้างผลิตแอนิเมชั่นชั้นนำของไทย ผู้อยู่เบื้องหลังผลงานชื่อดัง เช่น แอนิเมชั่นในเรื่อง เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ และผลงานอีกมากมาย ของค่าย GDH ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าไม่มีใครไม่รู้จัก
คุณสรพีเรศ ทรัพย์เสริมศรี ผู้บริหาร บริษัท RiFF Studio และเจ้าของบทประพันธ์ ผู้เขียนบทภาพยนตร์ ผู้อำนวยการสร้าง “นักรบมนตรา” เล่าว่า “ที่ผ่านมาบริษัท RiFF Studio เป็นซัพพลายเออร์ผลิตงานแอนิเมชั่นให้กับต่างประเทศมากมาย หลังจากสะสมประสบการณ์ร่วม 15 ปี ผนวกกับการมีความพร้อมเรื่องต้นทุนการผลิต ทำให้ตัดสินใจทำแอนิเมชั่นเรื่อง “นักรบมนตรา ตำนานแปดดวงจันทร์” ถือเป็นแอนิเมชั่นสัญชาติไทยในรอบ 5 ปี โดยใช้เวลาสร้างมากกว่า 3 ปี และทุ่มงบประมาณถึง 200 ล้านบาท
“ผมมีความฝันอยากให้ประเทศไทยมีซูเปอร์ฮีโร่เป็นของตนเอง เหมือนประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ และเป็นจุดเช็กอินสำคัญในไทยได้ ทำให้เรานำเอาแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ มาสร้างเป็นแอนิเมชั่นไซไฟเรื่องแรกของไทย แนวสงครามอวกาศ ปรับความเป็นพื้นบ้านของไทย เข้าสู่วัฒนธรรมร่วมสมัย และดึงซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่สากล”
ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดแอนิเมชั่นปัจจุบันเปิดกว้างมากขึ้น กล่าวคือ ไม่ได้จำกัดอยู่กลุ่มเด็กเฉกเช่นในอดีต แต่ขยายฐานกว้างขึ้นสู่ทุกกลุ่มและทุกเพศ ทุกวัย สะท้อนจากความนิยมที่หมวดหมู่แอนิเมชั่นมีการผลิตออกมาจำนวนมากในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งวีดิโอ เช่น เน็ตฟลิกซ์ เป็นต้น รวมถึงพฤติกรรมของวัยทำงานที่มีการซื้อของเล่นสะสม
“แต่ก่อนแอนิเมชั่นจะมีแนวเฉพาะแตกต่างกัน เช่น ดิสนีย์ เน้นความสดใส ส่วนฝั่งญี่ปุ่นก็จะเป็นแนวอนิเมะอย่างวันพีช เป็นต้น ทว่าช่วงหลัง ๆ ที่เริ่มมี CG เข้ามาแอนิเมชั่นกับภาพยนตร์เริ่มมีบางส่วนหลอมรวมกัน และมีกลิ่นอายการผสมผสาน ทำให้ปัจจุบันแอนิเมชั่นก็เหมือนภาพยนตร์ทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มแล้ว”
ส่งผลให้แอนิเมชั่นเป็นที่ต้องการของตลาด แต่กำลังการผลิตมีน้อย ถือเป็นของหายาก เพราะใช้ทุนสร้างสูง แอนิเมชั่นสเกลใหญ่ลอนช์เฉลี่ย 2 เรื่อง/ปี นอกจากนั้น จะเป็นสเกลรองลงมาและฉายในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมากกว่าโรงภาพยนตร์ โฟกัสตลาดไทยถือว่ามีโอกาสไปสู่ระดับสากล ด้วยความสามารถทีมงานไทยอยู่ในระดับสูง ขณะที่ผู้บริโภคทั่วโลกเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ เพียงแต่พล็อตเรื่องต้องโดนใจ
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้ดึง WARA. BY GDH เข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ เพื่อเจรจานำภาพยนตร์ นักรบมนตรา ไปฉายยังต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างหารือกับคู่ค้าอาเซียน เกาหลี ญี่ปุ่น และอเมริกาใต้ ควบคู่กับการต่อยอดขายไลเซ่นส์ภาพยนตร์ไปสตรีมมิ่งบนแพลตฟอร์ม OTT เพื่อสร้างรายได้รอบด้าน
นายวีรภัทร ชินะนาวิน ผู้บริหารบริษัท RiFF Studio ผู้กำกับภาพยนตร์ และผู้อำนวยการสร้างนักรบมนตรา กล่าวว่า หลังจากได้โจทย์จากตัวบทภาพยนตร์ หน้าที่ต่อมาคือการสรรหาไอเดียในการเล่าเรื่องออกมาเป็นภาพให้น่าสนใจ เช่น ยานดอกบัว เป็นต้น
พร้อมกันนี้ ในภาพยนตร์ นักรบมนตรา ยังได้สอดแทรกซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของไทย แต่ไม่ยัดเยียดจนเกินไป เช่น สิ่งรอบตัวอย่างสถานที่ ความเชื่อวัฒนธรรม อาหารอย่างกะเพราหมูกรอบไข่ดาว และยาดอง
“ในอนาคตเราอยากปั้น RiFF Studio ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะที่ผู้บริโภคดูต้องจำได้ทันทีว่าเป็นภาพยนตร์จากค่ายเรา เหมือนที่ Studio Ghibli (สตูดิโอแอนิเมชันจากญี่ปุ่น ผู้สร้าง Spirited Away, My Neighbor Totoro) ทำได้ นี่คือเป้าหมายในอนาคต”
เมื่อถามถึงโอกาสในการผลักดันอุตสาหกรรมแอนิเมชั่นไทยไปในตลาดโลก ผู้บริหาร RiFF Studio แสดงความเห็นว่า เบื้องต้น ประเทศไทยต้องผลิตแอนิเมชั่นให้ได้วอลุ่มสูง ๆ ก่อน อาจจะปีละ 1-2 เรื่อง ไม่ใช่เว้น 5 ปีแบบปัจจุบัน เพราะกระแสจะหายไปเร็ว การเสิร์ฟคอนเทนต์ต่อเนื่องจะทำให้เห็นลู่ทางการผลักดันไปทั้งอุตสาหกรรม ดังเช่นประเทศเกาหลีที่มีรัฐบาลสนับสนุน มีการทำไอพี และเดโม่ หาทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะส่งเสริมโอกาสการทำงานแอนิเมชันมากกว่าการรับงานเอาท์ซอต
ขณะที่ปัจจุบันโลกอินเทอร์เน็ตไร้พรมแดน แอนิเมชั่นกราฟฟิก การสร้างคาแร็กเตอร์ เช่น หนุมานไทย สื่อสารวัฒนธรรมได้ เป็นต้น และยังสามารถทำการตลาดผ่านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งได้ทั่วโลก มีโอกาสไปต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ก็นับเป็นช่องทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรมแอนิเมชั่นไทยได้เช่นกัน