“แอนชิลี” รู้พร้อมทุกคน ยกเลิกงาน MUT MAX ฟ้าผ่า โอดสุดเสียดาย เตรียมชุดว่ายน้ำไว้แล้ว ทุ่มเทกับโชว์ ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่างานจะถูกยกเลิก แต่คอนโทรลไม่ได้ วอนด้อมนางงาม - ด้อมพีพี อย่าตีกัน แฮปปี้รักระยะไกล ถึงมีผลต่อความสัมพันธ์แต่เลือกแล้ว
กรณีที่ 247 Entertainment ผู้จัดงานที่เตรียมดึง 2 ศิลปินคุณภาพระดับโกลบอล “มาร์ค ต้วน” และ “พีพี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร” มาร่วมสร้างสีสันความสนุกและความยิ่งใหญ่ในรอบพิเศษ บนเวทีพร้อมกับสาวงาม แต่สุดท้ายได้ออกมาประกาศแจ้งยกเลิกการแสดง MUT MAX โดยให้เหตุผลว่ามาจากสถานการณ์ไม่คาดคิดด้านการ ขณะที่ก่อนหน้านั้น มีดรามาด้อมพีพีไม่พอใจ จี้ให้ทางผู้จัดชี้แจง กรณีที่หน้าบัตรแข็งไร้เงารูปของพีพี ทั้งที่โปรโมตเอาไว้ดิบดี ทำให้แฟนคลับพีพีแห่ซื้อบัตรเป็นจำนวนมาก
ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้เจอตัว “แอนชิลี สก๊อต-เคมมิส” ในงาน Supergoop! SPF Party ณ ลานเอเทรี่ยม 2 ชั้น G สยามเซ็นเตอร์ ซึ่งเจ้าตัวมีรายชื่อต้องขึ้นโชว์ในงานดังกล่าวด้วย งานนี้ทำเอาแอนชิลีเผยว่าตนรู้สึกเสียดาย แต่ไม่อยากให้ด้อมนางงามกับด้อมพีพีต้องปะทะกัน เพราะเป็นสิ่งที่คอนโทรลไม่ได้
“รู้สึกเสียดาย รู้ว่าทีมงานทุกคนตั้งใจทำงานมากๆ ตอนไปถ่ายวีทีอาร์ จัดเต็ม พร้อมให้แฟนๆ นางงามได้มาจอยกัน และแฟนๆ มาร์ค ต้วน และแฟนๆ ของพีพี ได้เห็นอะไรที่ไม่คุ้นเคย จากการประกวดนางงามที่ผ่านมา แต่ก็เสียดาย แต่ก็ฝากทุกคน เชียร์และดูการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ปีนี้อยู่ เพราะยังมีที่อะไรสนุก น่าตื่นเต้น ก็อยากให้ทุกคนเชียร์สาวๆ ที่จะไปเป็นตัวแทนไปประกวดบนเวทีระดับโลก”
รู้เมื่อวานเหมือนทุกคน เป็นสิ่งที่คอนโทรลไม่ได้
“รู้เมื่อวานเหมือนทุกๆ คน เมื่อวานทำงาน และเปิดโทรศัพท์ก็เห็นว่าเขายกเลิก รู้พร้อมๆ ทุกคน แต่ก็ยังไม่ได้คุยกับเพื่อนนางงามที่จะร่วมขึ้นเวทีนี้เลย เพราะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่คอนโทรลไม่ได้ มันอาจจะมีหลายองค์ประกอบ เลยไม่อยากจะตีเรื่องที่ไม่ถูกต้องออกไป ซึ่งแอนก็ทราบพร้อมทุกคน ไม่ได้มีการแจ้งก่อน หรือแจ้งหลังไมค์ ส่วนทางกองประกวด แอนก็ยังไม่ได้คุยเลย เพราะเรื่องมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนวานเอง
ความจริงเสียดายนะ เพราะเราเตรียมชุดว่ายน้ำไว้เดินแล้วด้วย ซึ่งเราไม่ได้เตรียมใจว่ามันต้องยกเลิก แต่ก็เข้าใจเพราะการจัดงานแบบนี้มันมีหลายองค์ประกอบ มันก็มีสิทธิ์ที่ไม่ตามแผนบ้าง เสียดายที่ยกเลิก”
ไม่รู้เรื่องดรามาพีพี แต่ก็เข้าใจแฟนคลับ
“อันนี้แอนก็ไม่ทราบ แอนไม่ได้อยู่ในส่วนนั้น แต่ก็เข้าใจแฟนคลับพีพีนะ เพราะเขาก็รักพีพี เขาก็อยากจะไปดู ใครไม่รักพีพีบ้าง เพราะก่อนจะมีจดหมายยกเลิก แอนก็มีคิวไปซ้อมตามที่เขาวางแผนมา แต่ก็เชื่อว่าพี่ๆ นางงามทุกคนก็เสียดายเหมือนกัน เพราะเราก็ทุ่มเทกับโชว์ เรารักในการเป็นนางงาม แต่ตอนนี้เขาก็คืนคิวมาให้เราแล้ว
MUT MAX มันคือแฟชั่นโชว์อีกมุมมองนึงจากเวทีนางงาม เอาแฟชั่นเข้ามาร่วมด้วย พวกเรามีการโชว์เคสการเดินสับ มีการผสมการประกวด และมีมาร์ค ต้วนมาร้องเพลง และพวกเราก็เดินแบบไปกับเพลงเขา อยากให้ดูว่า 2 ฝั่งเข้ากันได้ อยากเอ็นเตอร์เทนทุกคน (งั้นก็เดินแบบใส่ชุดว่ายน้ำ ตอนมาร์คต้วนร้องเพลง?) อันนี้ไม่รู้ ก็คงอย่างนั้นมั้ง (หัวเราะ) ไม่ได้คิดเอาไว้ แต่มันเป็นการเดินแบบ อย่าให้หนูร้องเพลง ไม่ไหวนะ (หัวเราะ) เราก็ออกกำลังกาย ซ้อมเดิน เราอยากหักสะโพกมากขึ้น แต่ไม่เสียดายเรื่องการฝึกนะ เพราะเราสามารถเอามาใช้ในงานของเราที่เราทำอยู่ได้ แฟชั่นนางแบบคือสิ่งที่เราทำ”
วอนด้อมนางงาม - ด้อมพีพี อย่าปะทะกันเลย
“แอนอยากบอกว่าอย่าปะทะกันเลยดีกว่า พวกเรานางงามกับพีพีก็ไม่มีอะไร ความจริงเราร่วมงานกัน เจอพีพีหลายครั้ง เราแฮปปี้ แซวกันตลอด เราไม่มีอะไร ไม่อยากให้ทั้งสองด้อมมาปะทะกัน”
แฟนหนุ่มไม่ได้มาคุม แต่มาให้กำลังใจกัน รักระยะไกลมีผลกับความสัมพันธ์ แต่เราเลือกที่จะรักแล้ว
“แฟนหนูเหรอ…ไม่ได้มาคุมค่ะ เรื่องของเรื่องคือเขากำลังจะบินกลับไปประเทศญี่ปุ่น แล้วด้วยความที่มันเป็นความรักระยะไกล ก็เลยรู้สึกว่าอีก 2 วันเดี๋ยวเขาจะต้องกลับแล้ว เราก็ต้องทำงานอย่างเต็มที่จริงๆ แล้วก็จะไม่ได้เจอกันอีกนาน เลยชวนว่าถ้าอย่างนั้นมางานด้วยกันวันนี้ไหม จริงๆ เขาไม่ได้มาดูเราทำงานบ่อย งานไหนที่เขามาได้เขาก็มาซัปพอร์ต เพราะว่าเราก็ไม่ได้ปิดบังอะไร เหมือนเวลาที่เราไปญี่ปุ่น เราก็ไปดูเขาเทรน ซึ่งก็จะเข้าใจการทำงานได้มากขึ้น แล้วเวลาเราเข้าใจงานของกันและกันมันจะทำให้ความรักแข็งแรงกว่า เพราะแต่ละคนจะได้รู้ว่าการที่ไม่มีเวลาเพราะว่ากำลังทำงานอย่างนี้อยู่
ถามว่าเรื่องระยะทางมีผลเยอะไหมกับความรักความสัมพันธ์ ก็มีเยอะเลยค่ะ แต่ส่วนตัวคิดว่าความรักคือการเลือกที่เราจะรักกัน เพราะมีคนมาถามเยอะว่าทำยังไงความรักระยะไกล ซึ่งมันก็จะต้องเป็นความเข้าใจกันจริงๆ เลือกที่จะรักกันอย่างทุกวันนี้และซัปพอร์ตกัน ซึ่งการซัปพพอร์ตเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ”
แฟนอยู่ญี่ปุ่นเป็นหลัก เจอกันปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น
“อยู่ญี่ปุ่นเป็นหลักเลยค่ะ เจอกันปีละ 1-2 ครั้ง รวมๆ แล้วก็ปีนึงจะได้อยู่ด้วยกันประมาณ 2 เดือน แต่ว่าก็จะมีที่เราบินไปหาเขาที่ญี่ปุ่นด้วย เพียงแต่ว่าเราไม่สามารถไปอยู่ได้นานเป็นเดือนขนาดนั้น ที่คุยกันคิดว่าเขาภูมิใจในการที่เราตั้งใจในสิ่งที่เราทำและเต็มที่กับสิ่งนั้นมากกว่า ความที่เขาเป็นฝรั่งเรื่องกระแสเรื่องคนตามอะไรต่างๆ เขาไม่ค่อยใส่ใจ แต่เขาจะมองเราในมุมฐานะของคนที่ทำงานหนักมากกว่าค่ะ”