ถ้าพูดถึงร้านตัดผมที่มีมานาน พร้อมๆ กับชื่อเสียงที่สั่งสมมากว่า 30 ปีอย่าง “ชลาชล (Chalachol)” ที่ก่อตั้งโดย “ดร.สมศักดิ์ ชลาชล” นายกสมาคมวิชาชีพช่างทำผมไทย คงยากที่จะไม่มีใครรู้จัก เพราะเป็นร้านทำผมที่อยู่คู่คนไทยมายาวนาน และวันนี้การผลัดเปลี่ยนเส้นเลือดใหม่กำลังค่อยๆ ก้าวเข้ามา เพื่อพัฒนาให้ชลาชลมีความก้าวล้ำนำสมัยมากขึ้น
โดย “คุณต้า กิตติณัฏฐ ชลาชล” ซึ่งเป็นหลานแท้ๆ ของ “ดร.สมศักดิ์ ชลาชล” ที่ตอนนี้เข้ามารับตำแหน่งเป็น Managing directer ของบริษัท ชลาชล ดูแลในเครือ ชลาชล กรุ๊ป ทั้งหมด เผยถึงที่มาที่ไปในการมาสืบต่อกิจการในฐานะสายเลือดใหม่ครั้งนี้
“ผมดำรงตำแหน่งนี้มาได้ 2 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2561 จบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวะไฟฟ้า รุ่น KU58 จบมาก็ได้มาทำงานสายวิศวกรรมอยู่ที่นิคมฯ ที่ชลบุรี ตอนนั้นผมดำรงตำแหน่งเป็น programing และ system anorasic ก็คือวิเคราะห์ระบบ ก็ทำอยู่ได้ 4 ปีครับ แล้วทางคุณน้าสมศักดิ์ ชลาชล ก็บอกว่าที่บ้านมีธุรกิจส่วนตัว ทำไมไม่มาช่วยกัน ตอนนั้นก็คิดหนัก ตอนนั้นเพิ่งจะอายุ 26 เอง และเพิ่งทำงานได้ 4 ปี ก็นึกภาพไม่ออกว่ามาแล้วเราจะทำอะไร แต่คุณน้าเขาก็ให้ไอเดียมาว่า เขาอยากเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบริหารภายในร้านเสริมสวย ทีนี้เราก็พอจะมาคิดต่อได้ว่าเทคโนโลยีเป็นงานที่เราทำอยู่ ถ้าเอามาประยุกต์ใช้กับการเสริมสวยก็น่าจะไปด้วยกันได้
พอเข้ามาหน้าที่แรกก็ตกใจเล็กน้อย เพราะที่ชลาชลเป็น Manual ทั้งหมดเลย ไม่ได้มีคอมพิวเตอร์ใช้งานด้วย บิลหน้าร้านยังใช้เขียนอยู่เลย ผมก็เลยเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เริ่มปฎิวัติจากพื้นฐาน แต่ตอนที่เข้ามาตอนแรกผมเข้ามาในตำแหน่งพนักงานปกติเลยนะ ไม่ได้มีสิทธิพิเศษอะไร ก็เลยตั้งแผนกไอทีขึ้นมา ฝึกให้คนใช้ระบบโปรแกรม ใช้คอมพิวเตอร์ จนทำมาได้ 6-7 ปี คุณน้าเขาก็เห็นว่าเราน่าจะบริหารจัดการได้ ตอนแรกเรายังเป็นแค่รองผู้จัดการ ให้ลองทำดู ทำมาได้สักพัก พอดีผู้จัดการคนเดิมเขาก็ขอลาออก คุณน้าก็เลยให้รับตำแหน่งผู้จัดการในช่วงสถานการณ์โควิดพอดี (หัวเราะ)”
เข้ามารับตำแหน่งช่วงโควิด ถือเป็นวิกฤติขั้นสุดของชลาชล
“ก็กลัวเหมือนกัน แล้วเข้ามาช่วงโควิดพอดี เจอมรสุมทุกสิ่งทุกอย่าง มีช่วงที่รัฐบาลประกาศให้ปิดร้านทำผมชั่วคราว ตอนนั้นยอมรับว่าผมกลัว แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก เข้ามาแก้วิกฤติอย่างเดียวเลย วิกฤติแรกหลังจากที่ร้านถูกปิดไป 2 เดือนก็คือเรื่องรายได้ มันมีแต่รายจ่าย ทั้งในเรื่องของการต้องดูแลพนักงาน ค่าสถานที่ต่างๆ ถึงแม้เจ้าของที่หรือผู้ให้เช่ามีการลดให้เรา แต่ก็ยังมีค่าส่วนกลางอะไรที่ต้องจ่ายต่อเนื่อง
ตอนนั้นผมก็เอาข้อมูลมากางเลยว่าทรัพย์สินหรือเงินสดอยู่ตรงไหนบ้าง มีอยู่เท่าไหร่ โชคดียังมีสินค้าที่มีสต็อกไว้ เราก็เอามาขายแปลงเป็นเงินสดให้หมด แต่พอรัฐบาลประกาศผ่อนคลาย ร้านเสริมสวยก็เป็นร้านแรกๆ ที่ได้เปิด และคุณน้าก็เป็นนายกสมาคมวิชาชีพเสริมสวยแห่งประเทศไทย เขาก็ส่งจดหมายยื่นไปทางภาครัฐ ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจนี้มันมีความปลอดภัย มีความสะอาดในแต่ละขั้นตอน อย่างร้านเราก็มีทั้งเครื่องฆ่าเชื้อ อุปกรณ์ต่างๆ พวกผ้าเราก็ฆ่าเชื้อหมด พอเปิดได้แล้วก็ยังมีข้อจำกัดอะไรต่างๆ อยู่บ้าง แต่เราก็มีเรื่องของต้นทุนเพิ่มขึ้นในเรื่องของความสะอาดต่างๆ อย่างการฉีดพ่นแอลกอฮอลล์ เครื่องฟอกอากาศต่างๆ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจ ก็เป็นการแก้วิกฤติกันมาทั้งปี 2021
วางแพลนปรับเปลี่ยนชลาชลให้ล้ำสมัย
“ปีนี้ผมวางไว้ก็คือผมต้องทำความรู้จักกับพนักงาน กับคนในร้านทุกสาขา ในยุคของชลาชลที่ผมเข้ามา ผมจะสร้างอะไรที่มันแตกต่างไปจากเดิม ผมอยากให้ธุรกิจนี้มีความเป็นมาตรฐาน ก็คือเรื่องของความสะอาด เรื่องของการให้บริการ และเรื่องของฝีมืออะไรต่างๆ ที่ต้องพัฒนาอยู่แล้ว และที่สำคัญคือเรื่องนวัตกรรม ผมอยากนำนวัตกรรมเข้ามาในธุรกิจเสริมสวย คือไม่ใช่หมายถึงต้องเป็นเทคโนโลยีหรือเป็นอะไรที่มันล้ำสมัย ผมหมายถึงนวัตกรรมทางความคิดหรือสิ่งที่เราคิดค้นขึ้นมาใหม่ เราอยากที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้าในการทำผม
ยอมรับว่าโคตรกดดันเลยครับ (หัวเราะ) เรามาจากสายวิศวกร ไม่ใช่สายนี้เลย และมาช่วงโควิดพอดี ซึ่งเป็นอะไรที่หนักมาก ตอนนั้นกลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวจะทำไม่ได้ กลัวจะโดนด่า แต่สิ่งที่ผมตอบรับก็เพราะมันคือชลาชล และชลาชลคือนามสกุลผม ผมก็ไม่อยากให้ธุรกิจนี้มันหายไปในเจนของผม เพราะถ้ามันหายไปในเจนของผม ผมจะรู้สึกผิดบาปมากเลย เราไม่สามารถทำดีไปกว่าเขาได้หรอก แต่ผมแค่คิดว่าผมจะทำในสไตล์ของผม ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะดีหรือเปล่า”
ตั้งเป้าปีนี้เปิดเพิ่ม 2 สาขา
“ชลาชลตอนนี้มีพนักงานทั้งหมดประมาณ 180-190 คนครับ ทั้งหมด 10 สาขา ที่ตั้งเป้าไว้จากที่ผมเข้ามา ผมอยากจะรีแบรนด์ใหม่ คือมันดีอยู่แล้วแหละ แต่ผมอยากให้คนเจนใหม่ๆ เขาได้รับรู้ว่าชลาชลคือมีตำนานนะ ไม่ใช่แบรนด์เก่าๆ จะดีหรือเปล่า โอเคหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ผมคิดที่จะทำ เมื่อก่อนเราอาจจะอยู่แต่ในห้างอย่างเดียว ตอนนี้เราก็อยากจะออกนอกหน้ามากขึ้น ก็จะเป็นแนวทางของชลาชลที่จะโตต่อไป
ก็ขอบคุณลูกค้าทุกท่านเก่าๆ ที่เคยมาใช้บริการ ที่ยังคงเชื่อมั่น ไม่ว่าจะผ่านสถานการณ์โควิดมาจนสถานการณ์ดีขึ้น ลูกค้าเก่าๆ ก็ยังเชื่อมั่นและกลับมา และยังเป็นคนที่สนับสนุนแบรนด์เรา และต้องขอบคุณพนักงานทุกคนด้วยที่ช่วยกันฝ่าฟันมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนในอนาคตที่อยากจะให้มันเกิดขึ้น ผมอยากจะสร้างให้สิ่งที่ลูกค้าจะได้เห็น ผมอยากให้ชลาชลต่อยอดไปในเชิงที่มันเป็นเฮลตี้ แอนด์ เวลเนส เพราะผมเชื่อว่าชลาชลมันน่าจะไปได้มากกว่าร้านเสริมสวย จริงๆ ผมมีโปรเจ็คอยู่แล้ว ก็รอดูกันต่อไปครับว่าต่อไปจะเป็นยังไง ปีนี้น่าจะขยายอีก 2 สาขาที่ตั้งเป้าไว้นะครับ”