“นิ้ง ชัญญา” ชีวิต 6 เดือนต้องทำ MRI เช็กเนื้องอก 2 จุด ลั่นเบียดก้านสมองเมื่อไหร่ก็ตายอย่างเดียว ไม่กลัวไม่ตื่นขึ้นมาอีก เพียงพอแล้วกับการใช้ชีวิต เคยเหนื่อยถึงขั้นไม่อยากมีชีวิต ลั่นโสดสนิท ไม่มีใครจีบ เป็นมนุษย์ Introvert มีโลกส่วนตัวสูงมากๆ ไม่มีใครสามารถเข้ามาได้
เป็นคนอื่นคงเครียดน่าดูแล้ว เพราะเป็นเนื้องอก 2 จุดที่ค่อนข้างอันตรายกับชีวิต แต่สำหรับ “นิ้ง ชัญญา แม็คคลอรี่ย์” เจ้าตัวเผยกลางงานเปิดตัวภาพยนตร์ แสงกระสือ 2 ณ โรงภาพยนตร์ SF World Cinema ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เจ้าตัวบอกไม่คิดมาก เพราะรู้ว่ามีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะไม่ตื่นมาอีก แต่ก็ไม่ได้กลัวอะไรแล้ว เพราะเพียงพอแล้วกับการใช้ชีวิต
“ก็มีที่ผ่าสมองคือในก้านสมอง และมีเนื้องอกที่หน้าอกด้วยค่ะ เจอที่สมองก่อน และผ่าสมองไปรอบนึง แล้วก็มาเจอที่หน้าอีก หน้าอกก้อนยังไม่โต ก็เลยยังไม่ได้ผ่าค่ะ แต่ว่าในสมองเจอก้อนขนาด 3.1 แล้วตอนที่ผ่าคือ 4 ซม. ตอนนี้เหลือ 2.1x0.8 เพราะว่าผ่าออกไปแล้วรอบนึง เปิดท้ายทอย แต่อีกรอบนึงเท่าที่หมอบอกคือต้องผ่าข้างตาขวา ซึ่งตอนนี้มันยังไม่โตมาก แต่ถ้ามันโตมากมันเสี่ยงที่จะไปเบียดเส้นประสาท 3 เส้น และเส้นสมองคู่ที่ 7 และสิ่งที่มันเบียดไม่ได้เลยคือก้านสมอง อย่างที่บอกว่าถ้าโดนไปปุ๊บนิ้งตายอย่างเดียว ตอนนี้ขั้นตอนก็คือ 6 เดือนนิ้งต้องไปทำ mri ดูทีนึงว่าถ้ามันโตขึ้นนิ้งก็ต้องผ่า แต่ถ้ามันยังไม่โตก็ยังใช้ชีวิตต่อไปได้อยู่ค่ะ”
ไม่คิดมาก มีเปอร์เซ็นต์ที่พรุ่งนี้อาจไม่ตื่น
“นิ้งรู้สึกว่าถ้าทุกคนมีสิ่งนี้อยู่ในหัว แล้วมีความรู้สึกว่าพรุ่งนี้เราอาจจะไม่ตื่นก็ได้ตลอดเวลา เราจะไม่คิดมากแล้ว เพราะมันมีโอกาสที่จะเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่เรามาพูดว่าพรุ่งนี้เราอาจจะไม่ตื่นนะ แต่เรามีเปอร์เซ็นต์ที่พรุ่งนี้เราอาจจะไม่ตื่นจริงๆ
ถามว่าทำไมเราดูไม่เครียดเลย เพราะว่าพรุ่งนี้นิ้งก็อาจจะไม่ตื่นก็ได้จริงๆ (ยิ้ม) นิ้งก็เลยรู้สึกว่าถ้าวันนั้นนิ้งทำได้โอเคแล้ว นิ้งแฮปปี้แล้ว จริงๆ นิ้งเพิ่งเสียพี่ที่สนิทไปคนนึง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ และถ้าพรุ่งนี้สมมติว่าเราไม่ตื่นขึ้นมาจริงๆ เราก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว”
ไม่กลัวพรุ่งนี้ไม่ตื่น
“ใช่ นิ้งไม่กลัว เพราะตอนที่ผ่า ตอนที่ดมยาสลบ สิ่งที่นิ้งขอคือนิ้งบอกว่าถ้าถึงเวลาของนิ้งแล้วก็ขอให้นิ้งไปอยู่ในภพภูมิที่ดี แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ขอให้นิ่งกลับมามีชีวิตที่มหัศจรรย์มากกว่าเดิม นี่คือสิ่งที่นิ้งพูดไว้ คือก่อนหน้านี้เราอาจจะเป็นคนที่ไม่ได้อยากอยู่ด้วย และเราก็คิดว่าถ้าเราใช้โอกาสนี้ไปเลยดีไหม แต่ก็จะมีคนพูดว่าเราเห็นแก่ตัวหรือเปล่า แล้วคนที่อยู่จะเป็นยังไง นิ้งก็รู้สึกว่าโอเค งั้นนิ้งไม่ขออะไรเลย”
ไม่อยากอยู่เพราะเหนื่อย
“บางทีเราก็เหนื่อย แต่ตอนนี้ถ้าหนูยังมีชีวิตอยู่ต่อ หนูก็จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด หนูจะยังคงมีความปรารถนาอะไรหลายๆ อย่าง อยากทำอะไรหลายๆ อย่างอยู่ แต่ถ้าพรุ่งนี้ไม่อยู่จริงๆ ก็โอเค ก็คิดว่าไม่มีที่จะคิดว่ารู้งี้ฉันน่าจะ…อีกแล้ว ถามว่ามีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ คือถ้าเรายังอยู่ สิ่งที่เราอยากจะทำมันมีอีกเยอะมาก อยากทำโน่นนี่ไปหมด และทุกวันเราพยายามที่จะทำมัน นิ้งคิดว่าทุกคนมีเป้าหมายในชีวิต เราทุกคนพยายามจะเดินไปสู่เป้าหมายนั้น แต่ถ้าอยู่ดีๆ พรุ่งนี้เราไปถึงมันไม่ได้ แต่วันนี้ทุกคนพยายามที่สุดแล้ว นิ้งคิดว่าพ้อยต์สำคัญมันคือตรงนี้ คือทุกคนพยายามเต็มที่ในขณะที่ตัวเองมีชีวิตอยู่แล้ว แค่นั้นมันเพียงพอแล้วกับการใช้ชีวิต
นิ่งคิดว่าเป็นตัวเราเองที่แคร์ทุกอย่าง คิดทุกอย่าง กังวลทุกอย่างเยอะไปหมด เราเลยรู้สึกว่าเหนื่อยกับความรู้สึกเหลือเกิน ก็เรื่องข่าวด้วย คือจริงๆ มันเป็นปัญหาหลายๆ อย่างเลย หลายๆ ด้านไปหมด จริงๆ หนูโอเคนะถ้าหนูจะไปสบาย หนูก็รู้สึกว่าหนูสบายดี หนูคงแฮปปี้ที่จะไม่อยู่ แต่ยังอยู่ ก็โอเคก็ต้องอยู่ต่อ
ถามว่าคนในครอบครัวให้กำลังใจยังไง เรื่องสุขภาพจริงๆ แล้วทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกับมันมาก เพราะเรารู้สึกว่าเรายอมรับได้ ที่นิ้งเป็นแบบนี้ได้เพราะนิ้งยอมรับมันด้วยมั้ง ว่าวันนี้ทำอะไรได้บ้าง อย่างเช่นเนื้องอกนี้มันฉายแสงไม่ได้ เพราะมันอยู่ในสมอง คุณหมอบอกว่าผ่าได้อย่างเดียว งั้นก็ผ่า ความอันตรายของการผ่าก็คือมันอยู่ใกล้ก้านสมอง คุณหมอก็มีบอกพ่อว่ามีเปอร์เซ็นต์การเป็นเจ้าหญิงนิทรานั่นนี่ ก็โอเค ในเมื่อนิ้งทำอะไรไม่ได้ เราก็ทำได้แค่เชื่อใจหมอ เพราะตอนนั้นเราก็นอนเป็นก้อนเนื้อ ใส่เครื่องช่วยหายใจไปแล้ว เราควบคุมอะไรไม่ได้เลย
ส่วนที่เจอที่หน้าอก จริงๆ จุดประสงค์คือพาพ่อกับพี่ชายไปตรวจสุขภาพ ด้วยความที่อยากรู้ร่างกายคนอื่น เพราะเราจะไปโรงพยาบาลแค่จะไปฉีดยาแก้ปวดหัว แล้วพอเจอเนื้องอกก็รู้สึกว่าชีวิตมันพลิกอย่างนี้เลยว่ะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ในชีวิตเราแล้ว ก็เลยพาพ่อกับพี่ไปตรวจดีกว่า เผื่อเขาเป็นอะไรจะได้รีบรักษา คือถ้าเกิดเป็นอะไรที่เกี่ยวกับนิ้ง นิ้งจะไม่ค่อยเครียด แต่ถ้าเป็นคนที่นิ้งรัก หรือว่าเพื่อนพี่น้องรอบตัวนิ้ง แล้วนิ้งช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย นิ้งจะเป็นกังวลมากกว่า แต่ถ้าเป็นเรื่องของเรา เราน่าจะเอาชนะมันได้ ต่อให้เราเอาชนะมันไม่ได้ เราก็เต็มที่แหละ แต่พอเป็นเรื่องของคนอื่นเราจะเครียดมาก เราก็เลยอยากที่จะรู้เรื่องของทุกคน ก็ซื้อแพ็กเกจตรวจสุขภาพให้พ่อกับพี่ชาย ปรากฎไม่เป็นอะไรเลย แต่นิ้งเป็นอีกแล้ว แต่เด็กๆ นิ้งเคยพูดไว้ตอนที่พี่ชายป่วย พี่นัทปวดท้องมาก แต่เราช่วยอะไรไม่ได้ เราก็พูดว่าถ้าอะไรเกิดขึ้นกับพี่นัทขอให้มาอยู่ที่เรา โตมาก็เลยได้ทุกอย่าง เอาไปเลย”
ไม่ได้คิดว่าตัวเองโชคร้าย แต่โชคดีที่รู้ตัวก่อน
“นิ้งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก แม้ว่าเนื้องอกมันจะฟังดูน่ากลัวมาก เพราะมันอยู่ในตำแหน่งที่น่ากลัวและอันตราย อาจจะเป็น 1 ในแสน และไม่มีคำตอบว่าทำไมคุณถึงเป็น แต่ว่าจริงๆ แล้วเนื้องอกชนิดนี้จะสามารถรู้ได้ก็ต่อเมื่อตื่นขึ้นมาเป็นอัมพาตไปแล้ว หรือว่าเกิดอะไรที่แย่มากกว่านี้ เราเลยรู้สึกว่าเรายังโชคดีที่เรารู้มันก่อน และหลังจากที่เราเป็นเนื้องอก มันก็นำพาอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่ถ้าเราไม่เคยเป็นมัน เราอาจจะไม่ได้เรียนรู้ชีวิตมากขนาดนี้ก็ได้ เราอาจจะไม่ปล่อยวางอะไรได้เยอะขนาดนี้ก็ได้ นิ้งว่ามันทำให้ความคิดเราค่อนข้างเปลี่ยนไปเลยกับการใช้ชีวิต ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตเล่นๆ มาโดยตลอด คือเรื่องพวกนี้เวลาเราได้ยินจากของคนอื่นว่าพรุ่งนี้คนนึงก็เสีย เพื่อนเราก็เสีย คนรอบตัวเราก็เสีย มันฉับพลันมาก มันเกิดโดยไม่มีเหตุผล แต่พอมันเกิดขึ้นกับเราเอง เรารู้เลยว่าโลกนี้ไม่มีความแน่นอน วันนี้คุณอาจจะดี พรุ่งนี้คุณอาจจะไม่ดี งั้นก็อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะเป็นได้
ไม่คิดเรื่องโรคเวรโรคกรรมเลย ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยค่ะ จริงๆ เราเชื่อว่ามันก็ยังดีอยู่ หมายถึงการเป็นสิ่งนี้มันนำพาอะไรมาอีกเยอะมากจริงๆ เราได้ทำสารคดีที่เกี่ยวกับที่เราเป็นเนื้องอกกับผู้กำกับคนนึงที่เราอยากร่วมงานด้วย มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เราโอเค คือมันเป็นไปแล้วด้วย เราก็เลยยอมรับมัน”
ต้องผ่าเนื้องอกอยู่แล้ว แต่จะมีเอฟเฟกต์
“ต้องผ่าอยู่แล้วค่ะ จริงๆ เนื้องอกไม่อันตราย แต่อันตรายอยู่ที่การผ่า เราก็ได้คุยกับหมอเยอะ มันจะมีสักกี่คนที่ได้รู้เรื่องนี้ คือเราไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน เราก็เลยรู้สึกว่าเราตื่นเต้นมากกับขั้นตอนนี้ ตอนนี้ไป mri ค่ะ เพื่อดูว่ามันโตขึ้นไหม ตอนที่นิ้งผ่าจริงๆ มันโตขึ้นมาแค่ 0.1 เอง ตอนแรกมันคือ 3.1 ซม. พอ 6 เดือนมันโตขึ้นมา 1 ซม. ก็เป็น 4 ซม. หลังจากนั้นพอผ่าเปิดท้ายทอยรอบแรกเอามันออกไปได้เหลือ 2.0x0.8 แต่พอไป mri รอบล่าสุดเป็น 2.1x0.8 คือตอนแรกเรามีสถิติว่า 6 เดือนจะโตขึ้นมา 1 ซม. ซึ่งถ้า 4 ซม.อันตราย ใหญ่เท่าเหรียญ 10 แล้ว เริ่มจะไปเบียดอะไรหลายๆ อย่าง แล้วตอนผ่ามันก็มีเอฟเฟกต์เยอะ พอผ่าเสร็จตาก็ยังไม่กลับมาปกติ หมอบอกว่าเส้นประสาทถ้าจะหายก็จะหายภายใน 3 เดือน แต่ถ้าไม่หายก็จะไม่หายเลย ก็ทำตามขั้นตอนไป
ตอนนี้หนูไม่ค่อยมองอะไรแล้ว เพราะหนูทำอะไรกับมันไม่ได้จริงๆ คือถ้าเราตื่นมาแล้วส่องกระจกเห็นว่ามันกำลังจะโตขึ้นแล้วนะ เราต้องไปหาหมอแล้ว มันก็จะเป็นอีกเรื่อง แต่ถ้าเราใช้ชีวิตอยู่ในความกังวลตลอดเวลา หนูว่ามันก็จะไม่มีความสุข อย่างเช่นหนูไปกระโดดร่มมาล่าสุด 13,000 ฟุต ซึ่งมันก็จะมีข้อกำหนดอะไรบางอย่างสำหรับคนที่เป็นเนื้องอกหรือว่าผ่าสมองมา แต่มันจะเป็นระยะเวลามากกว่า เช่นเดือนนึงคุณห้ามขึ้นเขา หรือห้ามดำน้ำ เพราะมันอาจจะเกิดแรงดันในสมอง แต่ถ้าผ่าเสร็จแล้วก็ทำได้ เราอยากทำอะไรก็ทำ”
โสดสนิท ไม่มีคนจีบ ไม่ปิดแต่ไม่พยายามค้นหา
“วาเลนไทน์ปีนี้ไปกินข้าวกับแม่ค่ะ แล้วแม่กับแฟนแม่ก็นั่งคุยกันเรื่องการเจอกันของเขา 17 ปีแล้วให้เราฟัง เราก็เป็นพยานรักของเขาอีกทีนึง แล้วก็มีพี่ชายอีกคนนึงค่ะ ส่วนเดตเราไม่มีค่ะ ไม่มีเลย ไม่รู้นิ่งขนาดไหนค่ะ แต่ว่าหนูโอเคนะ แฮปปี้มากๆ กับการอยู่บ้าน อ่านหนังสือ ดูอนิเมะ จริงๆ เราเป็นมนุษย์ Introvert เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงมากๆ ซึ่งก็ต้องเข้ามาในโลกของเราได้ด้วย และไม่ได้เข้าง่ายด้วย หนูว่าคนที่มีความสุขกับตัวเองจะเข้าใจดีค่ะว่าการที่จะมีใครสักคนนึงมาแชร์ตรงนั้นไป เราต้องพร้อมที่จะแชร์กับเขา
ถามว่ามีคนพยายามเข้ามาในโลกเราไหม ตอนนี้ยังไม่มีเลยค่ะ โล่งขนาดนั้นเลยค่ะ (หัวเราะ) ไม่ได้ปิดค่ะ แต่ก็ไม่ได้พยายามที่จะค้นหาด้วยซ้ำ หนูไม่ได้โฟกัสเรื่องนี้เลย แค่ตื่นมาทำกับข้าว ดูการ์ตูน อ่านหนังสือ ถ้ามันมีใครมาคุยก็คุยได้ คนจีบไม่มี คนคุยก็ไม่มี โสดสนิทมากค่ะ”