กลับมาอีกครั้ง! สำหรับเทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 9” ภายใต้แนวคิด “Future Forest” หรือ ป่าแห่งอนาคต เด่นด้วยกิจกรรมไฮไลต์งานศิลปะกลางแจ้ง “หนึ่งคน หนึ่งต้นไม้ หนึ่งป่า” และ “สวนสะท้อนตัวตน” เพื่อให้นักท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลผืนป่าไทยให้ยั่งยืน พร้อมด้วยกิจกรรมสุดสร้างสรรค์และการละเล่นใกล้ชิดธรรมชาติแสนสนุก โดยงานจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2565 – 29 มกราคม 2566 ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม 2565 เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น. ณ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เชียงราย ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของเทศกาลสีสันแห่งดอยตุงครั้งที่ 9 ได้ที่ www.facebook.com/DoiTungClub, โทร. 02-252-7114 หรือ 053-767-015-7.
และก่อนจะไปสัมผัสลมหนาวกัน ลองตามไปดูว่ามาทั้งที ต้องเช็คอินที่ไหน? บ้าง
จุดที่ 1: ‘ตัวโตเปลี่ยนหน้า’ ที่สวนแม่ฟ้าหลวง
เป็นปีแรกที่ใบหน้าของ “โต” ประติมากรรมผสานธรรมชาติ หนึ่งในแลนด์มาร์กของสวนแม่ฟ้าหลวง จะแปลกตาไปกว่าที่เคย จากฟอร์มร่วมสมัยกลายเป็นงานศิลป์ที่ชวนย้อนกลับไปในกาลอดีต กับประติมากรรมตัวโตยักษ์ที่มีใบหน้าเป็นศิลปะล้านนาอย่างแท้จริง
โต คือ สัตว์มงคลตามความเชื่อของชาวไทใหญ่ 1 ใน 6 ชนเผ่าบนดอยตุง มีลักษณะหัวเหมือนกวาง ตัวเหมือนสิงโต ชาวไทใหญ่เชื่อว่า โต เป็นตัวแทนของสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า
จุดที่ 2: เรือนกระจก ‘Garden of Reflection’
การวางกระจกเงาวัสดุจากฝีมือมนุษย์อย่างมีชั้นเชิงท่ามกลางธรรมชาติสวยสด เงาในกระจกสะท้อนทั้งมนุษย์และธรรมชาติไปมาไม่รู้จบ แสดงถึงความเพิ่มพูนของแมกไม้และตัวคนที่จะอยู่ร่วม ดูแล และเติบโตไปด้วยกันอย่างเป็นอนันต์
จุดที่ 3: 14 ร้านค้าชุมชน
เปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ได้ประกอบอาชีพสุจริต และพัฒนาฝีมือในการทำอาหาร เทศกาลสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 9 คัดแล้ว เชฟชาวบ้านที่รสมือถึงเครื่องถึงใจกว่า 30 ร้านค้า อาทิ
“ร้านข้าวซอยลอยน้ำ” ที่ไม่ควรพลาดกับเมนูข้าวซอยลอยน้ำทรงเครื่อง ข้าวแรมฟืนถั่วลิสง ข้าวแรมฟืนขาว และข้าวเกรียบถั่วเหลือง
“ร้าน Chicken ให้ลาบ” ร้านขายไก่ทอดที่ไม่ธรรมดา เพราะมีเมนูเมี่ยงไส้อั่วมาให้ลองชิม
“ใฝ่ดีคาเฟ่” เยาวชนในพื้นที่กับความฝันที่เป็นจริง ฝึกทักษะการประกอบอาชีพที่ใฝ่ฝัน เหล่าบาริสต้าน้อยออกร้านจริง มีรายได้จริง
“ร้านน้องหมูพวง” มีทั้งหมูพวงและไก่พวงชวนหิว มาพร้อมกับน้ำพริกแมงดาบ้าน แจ่วบอง ข้าวไร่ดอย ทานคู่กันลำขนาด
“ร้านมะหล่าไทใหญ่” ที่มีพริกมะหล่าจำหน่ายให้ไปทำกินเองที่บ้าน
“ร้านส้มตำยอด” ที่ต้องมาชิม หมูย่างมะแขว่น แอ็บลาบหมู แอ็บถั่วเน่า
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายซุ้มที่น่าสนใจ ทั้ง ยำผักกาด น้ำพริกถั่วเน่า ข้าวเหนียวดอย น้ำผึ้งโพรง ลูกชิ้นหมูดำจิ๋วปิ้ง
จุดที่ 4: ตะแหลว
“ตะแหลว” หรือ “เฉลว” เป็นเครื่องจักสานที่อยู่คู่สังคมไทยมาแต่โบราณ มีลวดลายเป็นมุมแฉกที่เกิดจากการนำตอกไม้ไผ่มาสานขัดกัน มีตั้งแต่3 แฉก 5 แฉก 6 แฉก 8 แฉกไปจนถึง 12 แฉก โดยตะแหลว 8 แฉกเปรียบเสมือนเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ์สำหรับป้องกันสิ่งชั่วร้าย
ตราสัญลักษณ์ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีตะแหลวอยู่ตรงกลาง เป็นสัญลักษณ์ของดวงตาที่ดูแลคุ้มครองป้องกันภัย ภายนอกล้อมด้วยห่วงคอเงินแบบชนเผ่า เป็นสัญลักษณ์แทนคน สะท้อนถึง
การทำงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ที่มีพันธกิจในการพัฒนาคนและชุมชนนับแต่วันแรกตลอดจนการดำเนินงาน 50 ปีที่ผ่านมา
จุดที่ 5: ซุ้มเพลิดเพลิน (Doi Tung Learning Experience Hub)
พื้นที่แห่งการลงมือทำ อุดมด้วยงานศิลปะและธรรมชาติ ที่จะเติมเต็มความรู้และประสบการณ์ใหม่บน ดอยตุง ที่ซุ้มเพลิดเพลินมีหลากหลายกิจกรรมให้เลือกได้ตามใจชอบ อาทิ เวิร์กช็อปยิงพรมที่สามารถออกแบบลายและลงมือยิงด้วยตัวเอง (มีค่าใช้จ่ายคนละ 1,650 บาท) ทำสมุดกระดาษสา ฉลุลวดลาย เพ้นท์กระเป๋าผ้าและเซรามิก และอื่น ๆ อีกมากมาย ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก: Faidee Kids Camp ค่ายเด็กใฝ่ดี หรือสนใจลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วม คลิกเลย https://forms.gle/LeeERpjobHAhwN8q8
จุดที่ 6: หนึ่งคน หนึ่งต้นไม้ หนึ่งป่า (One Person, One Tree, One Forest)
สนุกกับกิจกรรมที่ชวนให้นักท่องเที่ยววาดต้นไม้ของตัวเองคนละ 1 ต้น ลงบนกระดาษสังเคราะห์ไทเวคผืนใหญ่จนกลายเป็นผืนป่าของพวกเรา เมื่อสิ้นสุดงานเทศกาลจะนำไปตัดเย็บเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เช่น กระเป๋า ผ้ากันเปื้อน ฯลฯ มอบให้เยาวชนในศูนย์เด็กใฝ่ดีของทางมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ
จุดที่ 7: ซุ้มสิ่งแวดล้อม ฮักโลก ฮักเฮา (Green Hug)
ครบรสทั้งความรู้และความสนุก จากนิทรรศการชวนเรียนรู้ เกมเอาใจสายรักธรรมชาติ และเวิร์กช็อปสินค้าทำมือใส่ใจสิ่งแวดล้อม แบ่งเป็น 3 โซน
โซน A “Doi Tung & Animal Kingdom” บอกเล่าเรื่องราวของผืนป่าสีเขียวและอาณาจักรสัตว์สุดตื่นตาบนดอยตุง โดยป่าสีเขียวขจีสองข้างทางระหว่างนั่งรถขึ้นมาบนดอยตุง อากาศเย็นสบายกับหมอกชื้น ๆ ชุ่มใจ กว่าดอยตุงจะสวยงามได้อย่างนี้ต้องใช้เวลาถึง 50 ปี จากพื้นที่ภูเขาหัวโล้นและแห้งแล้ง ชาวบ้านแผ้วถางป่าและปลูกฝิ่นเพื่อเป็นรายได้ในการดำรงชีวิต
ก่อนปี 2531 ในโครงการมีพื้นที่ป่าเพียงร้อยละ 28 ต่อมามีการส่งเสริมการปลูกป่าหลายครั้ง จนพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 80 ของพื้นที่ทั้งหมด ต้นไม้ที่ปลูกเสริมเป็นพรรณไม้ท้องถิ่นหลากหลายชนิด และป่าไม่ใช่แค่พื้นที่ที่มีต้นไม้ยืนต้นสีเขียวชอุ่ม แต่ยังเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของชนิดพันธุ์ และมีการเกื้อกูลกันของสิ่งมีชีวิตด้วย ซึ่งป่าดอยตุงครอบคลุมความสูงตั้งแต่ 410 ถึง 1,509 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ปัจจุบันมีการจัดสรรการใช้พื้นที่ป่าเพื่อให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างเกื้อกูลและไม่บุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่ม มีโซนป่าอนุรักษ์ที่แยกกับโซนป่าใช้สอยอย่างชัดเจน ชาวบ้านสามารถหาของป่าและใช้ประโยชน์จากป่าได้จากพื้นที่ใช้สอยเท่านั้น มีโซนป่าเศรษฐกิจซึ่งมีการส่งเสริมการปลูกกาแฟใต้ป่า อันเป็นหนึ่งในรายได้สำคัญของชุมชนโดยที่ยังคงพื้นที่สีเขียวของธรรมชาติไว้เช่นเดิม นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอนุรักษ์ป่าอีกหลากหลาย เช่น กิจกรรมทำแนวกันไฟ หรือการทำฝายอนุรักษ์
โซน B “Zero Waste to Landfill & Doi Tung Communities
ประเทศไทยมีปริมาณขยะมูลฝอยสูงถึง 25.37 ล้านตัน การใช้ที่เพิ่มขึ้นและขาดระบบการจัดการอย่างถูกวิธี ทำให้มีขยะไปสู่บ่อฝังกลบจำนวนมาก โดยเฉพาะขยะพลาสติก ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบ 500 ปีเพื่อย่อยสลาย อีกทั้งยังส่งผลต่อระบบนิเวศ และเป็นอันตรายต่อคนและสัตว์นานาชนิด
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ทำให้ปริมาณขยะสู่บ่อฝังกลบเป็นศูนย์สำเร็จในปี 2561 และมุ่งมั่นที่จะขยายผลการดำเนินงานสู่ชุมชนในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุงฯ เพื่อให้ไม่มีขยะสู่บ่อฝังกลบภายในปี 2568 มูลนิธิฯ จึงเริ่มโครงการจัดการขยะหมู่บ้าน
หากแวะมาที่นี่จะได้เรียนรู้ “วิธีจัดการขยะในครัวเรือน” “Let’s Do Upcycling! วัสดุเหลือใช้สู่ผลิตภัณฑ์ใหม่” และ “STEP BY STEP Upcycled Magnet ขั้นตอนการทำแม็กเน็ตจากฝาพลาสติก”
โซน C Green Life = Easy Life ที่ชวนให้ทุกคนรู้จัก Carbon Footprint หรือ รอยเท้าคาร์บอน เป็นการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจวัตรประจำวันของเราว่าส่งผลกระทบต่อโลกมาน้อยแค่ไหน และสามารถวัดว่ารอยเท้าคาร์บอนของคุณใหญ่แค่ไหน และถ้าต้องการชดเชยรอยเท้าคาร์บอนของคุณก็สามารถสอบถามได้จากโซนนี้
จุดที่ 8: การแสดงชนเผ่า
พบกับการแสดง ดนตรี และเดินไม้ต่อขา ทั้งแบบดั้งเดิมและร่วมสมัยรวมแล้วกว่า 17 กิจกรรม อาทิ กระทุ้งไม้ไผ่อาข่าประยุกต์ เป่าเมาท์ออแกนและเต้นจะคึ รำนกรำโต รำวงไทใหญ่ รำมอญเซิง รำเซิ้งไทใหญ่ Rhythm of DoiTung จากเยาวชนและกลุ่มชนเผ่าบนดอยตุง ทั้ง อาข่า ลาหู่ ลัวะ ไทใหญ่ ที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจ กับการได้เรียนรู้วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หาชมได้ยากผ่านประสบการณ์ตรงของตัวเอง
จุดที่ 9: ทานข้าวครัวตำหนัก เมนูสีสัน
พบเมนูพิเศษจากครัวตำหนักดอยตุงที่หาทานได้ในงานนี้เท่านั้น!
-ชุดเสี่ยวเมืองเหนือ (Northern Thai Set Meal For Two)
ประกอบด้วยข้าวอู้ชาวดอย แกงฮังเลหมู ลาบคั่ว ไส้อั่วย่าง น้ำพริกหนุ่ม แคปหมู และผักลวก เสิร์ฟพร้อมน้ำกระเจี๊ยบ และน้ำเก๊กฮวย
-ข้าวซอยน้ำเงี้ยว (Tai Yai Noodle Soup)
ข้าวซอยไทใหญ่ เส้นไร้น้ำมัน ทำสดใหม่ทุกวัน เสิร์ฟพร้อมข้าวเกรียบข้าวแรมฟืน สดชื่นด้วยผักพื้นบ้าน ยอดถั่วลันเตา และผักดอง
-สเต็กหมูดำ (Black Pork Steak)
หมูดำที่เกิดจากการส่งเสริมอาชีพในพื้นที่ รับประทานคู่กับฟักทองญี่ปุ่น มะเขือเทศ ถั่วแขก ข้าวแรมฟืนทอด และซอสสูตรพิเศษครัวตำหนัก
-ไก่ดำหลามกระบอกไม้ไผ่ เสิร์ฟพร้อมข้าวอู้ชาวดอย (Black Chicken in Bamboo Served with Green Sticky Rice)
ไก่ดำที่เกิดจากการส่งเสริมอาชีพในพื้นที่ คลุกเคล้าด้วยเครื่องเทศใบยี่หร่า รสชาติกลมกล่อม หอมกลิ่นไม้ไผ่ข้าวหลาม
