xs
xsm
sm
md
lg

“ตงตง” เปิดใจ ถึงอีเวนต์ได้เงินเยอะ แต่เป้าหมายชีวิตคือละคร สักวันต้องคว้ารางวัลนาฎราชมาให้ได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ตงตง กฤษกร” เปิดใจ ถึงอีเวนต์ - โชว์ตัวได้เงินเยอะแค่ไหน แต่รักงานแสดง ลั่นจะไม่มีวันทิ้งสิ่งที่เริ่มมาจากศูนย์ พร้อมเล่นเสมอแม้ต้องรับบทตัวสองตัวสาม ไม่ยึดติดต้องเป็นเบอร์หนึ่ง ฝันอยากรับรางวัลสักครั้ง

รักหวานฉ่ำๆ กับ “เบส รักษ์วนีย์ คำสิงห์” ส่วนเรื่องงานก็กำลังไปได้สวยในวงการ สำหรับ “ตงตง กฤษกร กนกธร” แต่วันนี้เจ้าตัวขอเบรกความหวานเรื่องหวานใจเอาไว้ก่อน พร้อมขอเล่าความฝันอันแรงกล้าที่สักครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องทำให้ได้ โดยตงตงได้เปิดใจระหว่างมาร่วมงาน มหกรรมแห่งความสุข Terminal21: The Greatest Christmas Fun Fair 2023  

“ผมมชอบเล่นละครมากกว่า งานจ้างมันก็ใช่แหละ เราก็ยากไป ได้มาเจอตัวแฟนๆ ได้ไปเจอคนที่เราไปมอบความสุขให้กับเขา แต่ผมมองว่าจุดเริ่มต้นที่คนรู้จักผมได้คือละคร ฉะนั้นเราจะไม่ทิ้งมัน เราจะไม่ทิ้งวิชานี้ เรามองย้อนไปในจุดที่เราเริ่มนับศูนย์ เรารู้ว่าเราเริ่มต้นมาจากตรงไหน จนวันนี้เราเห็นสิ่งที่เราพัฒนาแล้ว เราอยากจะพัฒนาให้มันมากกว่านี้ เราอยากให้ทุกคนเห็นถึงความตั้งใจของเรา ที่เขาวางเรามาตั้งแต่ศูนย์ ทุกวันนี้มาได้ขนาดนี้ 
 
ถามว่าความอยากพิสูจน์ตัวเองของเรามันแรงกล้าขนาดไหน ไม่เคยหยุดเลยครับตั้งแต่เรื่องวันทอง ตอนนั้นคือคนพูดกันว่าโด่งดังมากเลย ดังไปทั่วประเทศ ผมก็รู้สึกว่าเราจะต้องไม่พอแค่นี้ ผมยังหยุดไม่ได้ ถ้าเราหยุดกับคำชมนั้นมันจะจบแล้วนะ นี่ไงเราประสบความสำเร็จแล้ว นี่ไงคือสิ่งที่เราตั้งใจ ก็จบแล้ว แต่สำหรับผมมันยังหยุดแค่นี้ไม่ได้ มันยังไม่พอ นี่เรายังไม่ประสบความสำเร็จนะ มันต้องมากกว่านี้ อย่างคุณชาย คนก็แห่ชม ผมก็รู้สึกว่าคำชมผมรับไว้ ผมขอบคุณและดีใจมากๆ มันเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้ผมพัฒนา ซึ่งผมอยากจะพัฒนาไปมากกว่านี้อีก”

เป้าหมายอยากรับรางวัลนาฎราช อยากเป็นนักแสดงเพื่อแม่
“มีครับ อยากรับรางวัลนาฎราช และอีกในหลายๆ รางวัลที่เราเคยนั่งดูในทีวี เรารู้สึกว่าสักวันถ้าเรามีโอกาสได้ขึ้นเวทีบ้าง มันคงจะเป็นสิ่งที่เราดีใจมากๆ ครั้งนึงในชีวิตที่เราจะได้ภูมิใจ ตอนวันทองก็มีโอกาสเข้าชิง พี่สันต์ (สันต์ ศรีแก้วหล่อ) ไปรับแทน เราก็รู้สึกว่าอีกนิดนึงนะ ปีหน้าตั้งใจว่าจะเต็มที่ให้มากกว่านี้จากที่เต็มที่อยู่แล้ว จะทำให้มันเกินร้อยไปอีก

ผมรักการแสดงจริงๆ ครับ ผมเริ่มมาจากศูนย์แบบไม่มีความรู้เลย ตอนนั้นรู้สึกกดดันว่ามันไม่ใช่ที่ของเราด้วย แต่คนรอบข้าง ไม่ว่าจะผู้ใหญ่ ผู้กำกับ รุ่นพี่ในช่อง เหมือนเป็นแรงผลักดันให้กับผม และอีกอย่างนึงเลยคือเพื่อแม่ แม่นั่งดูละครกับผมมาตั้งแต่เด็กๆ วันนี้ผมได้มาเล่นละคร พอผมมาทำงานกรุงเทพฯ ก็รู้สึกว่าผมจะได้ดูผมเล่นละครเหมือนเมื่อก่อนที่เคยนั่งดูด้วยกัน ก็อยากจะอยู่ในจอให้แม่ได้ดูละครผม”

ภูมิใจตัวเองผ่านอะไรมาเยอะ
“ไม่เคยพูดให้แม่ฟังเลย คือผมกับแม่ไม่ค่อยพูดอะไรกันเยอะ จะเขินๆ กัน พูดกันน้อยมาก ผมจะใช้วิธีแอบถามว่าแม่ได้ดูบ้างไหม เขาก็บอกดูบ้าง แต่ผมเชื่อว่าแม่เขาดูทุกตอน วันนี้ก็ภูมิใจในตัวเองมาก เราผ่านอะไรมาเยอะมากๆ วันนี้มันพิสูจน์ให้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ผมรู้สึกว่าผมอยากเก่งขึ้นให้มากกว่านี้”

รักงาน ไม่รักสบาย ละครเหนื่อยแค่ไหนก็พร้อมเสมอ ไม่สนต้องเล่นเป็นตัวไหน
“ครับ ไม่ว่าลำบากยังไงผมก็ไป ละครจะเหนื่อยขนาดไหน เขาให้เล่นยังไงผมก็พร้อม ผมไม่เคยบ่นเลย เคยพูดไว้ด้วยซ้ำไม่ว่าจะตัวสองตัวสาม ผมไม่สนใจเลยนะ ผมก็ดีใจที่ได้เล่น ไม่ว่าจะบทบาทไหนมันอยู่ที่ตัวเราด้วย มันอยู่ที่เราเล่น ถ้าเราตั้งใจกับมัน เราทำการบ้านกับมัน ถ้าเราเต็มที่กับมัน ผมว่ามันก็จะส่งผลกับสิ่งที่เราตั้งใจให้เห็นเอง”

ไม่ยึดติดกับบทพระเอก ตัวหนึ่งเท่านั้น ต้องรวย รายได้เยอะๆ
ผมรักงานตรงนี้จริงๆ ผมเริ่มมาจากตรงนี้ ผมเริ่มมาจากการร้องเพลงก่อนละครด้วยซ้ำซึ่งผมก็ไม่เคยทิ้งมันเลย ยังทำเพลง ยังมีโปรเจกต์เพลงอยู่ ละครเองผมก็เริ่มมาจากศูนย์ มันคือสิ่งที่ผมรักมาโดยตลอด ผมก็ทิ้งมันไม่ได้ สิ่งที่ผมทำได้คือผมทำ บางครั้งเราพูดไปมันก็เป็นแค่ทำพูด สิ่งที่ผมทำได้มันคือการกระทำของเรา มันจะออกมาสู่หน้าจอเอง ผมเชื่อว่าพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ได้ดู แม้เขาจะไม่เคยกำกับผม และผมเชื่อว่าเขาไม่เคยทิ้งเด็กสักคน เขาก็ดูงานว่าเด็กคนนี้พัฒนาไปแค่ไหน เด็กคนนี้อยู่กับที่ไหม ควรจะเป็นยังไงต่อ

พี่บอยเขาแนะนำตลอด เวลาเจอเขาจะบอกว่าดีนะ เป็นแบบนั้นไหม เขาจะบอกสิ่งที่เราจะไปคิดต่อได้ เขาจะมองเห็นบางสิ่งที่เรามองข้าม เราจะได้อะไรพวกนี้จากเขาทุกครั้งที่ได้เจอกัน ทุกคนรู้แหละว่าพี่บอยดุ แต่ทุกคนก็รู้อีกว่าแกไม่มีอะไร เพราะสุดท้ายไม่ว่าเขาจะดุยังไงเขาก็รัก ไม่รักเขาจะมาเสียเวลาบ่น เสียเวลาดุ”

เคยเสียน้ำตาจากคำสอนของ “บอย ถกลเกียรติ”
“มีครับ ไม่ใช่แค่ผมนะ ในบรรดาเรา 5 คนมีน้ำตากันมาหมดแล้ว แต่ก็ผ่านกันมาได้ ผมว่ามันคือสิ่งที่ดีเมื่อได้มองย้อนกลับไปว่าวันนึงเราขนาดไหน เราผ่านอะไรกันมา คำที่จำได้ไม่ลืม เมื่อไหร่จะพูดชัด ใจเราคืออุ้ยตายแล้ว เขาดูอยู่แน่เลย ผมถึงกับเครียดไปเลย ผมไปพยายามถึงขั้นอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านหนังสือนิยาย อ่านบทละคร อ่านทุกอย่าง เพื่อฝึกให้ตัวเองพูดชัด เพราะเขาส่งผมไปเรียนการพูดมาแล้ว ก็ยังไม่ได้ซักที่ เขาก็บอกว่าเมื่อไหร่ๆ จนรู้สึกว่าต้องตัวเองแล้วแหละ ต้องค้นคว้าเองจนรู้สึกว่าวันนึงเขาแฮปปี้แล้วเพราะเราเริ่มดีขึ้น ทุกวันนี้ก็ไม่โดนแล้ว ในวันที่เราดีขึ้นเขาก็ให้กำลังใจ เขาก็ชมเรา คือเขาบอกสิ่งที่เรามองข้าม เขาไม่ได้ชมขนาดว่าอวย เขาก็เหมือนพ่อเราคนนึง ที่บอกลูกว่ามันยังเพิ่มเติมตรงไหนได้บ้าง ผิดพลาดตรงไหนไปบ้าง”







กำลังโหลดความคิดเห็น