เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา บริษัท เจซีบี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (บัตรเครดิต JCB) ผู้นำด้านบัตรเครดิตในประเทศไทย แถลงโชว์ผลงานปี 2021 ยอดขายเติบโตสูงกว่า 16% แสดงออกถึงการปรับตัวและปรับกลยุทธ์เท่าทันกับสถานการณ์ และเพื่อให้ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต JCB ได้รับข่าวสาร JCB ได้มีการเปิดตัว JCB Thailand LINE Official Account พร้อมทั้งโปรโมชั่นที่พิเศษโดยเฉพาะ ที่บอกเลยว่าแคมเปญในครั้งนี้ได้รับกระแสตอบรับจากผู้ใช้บัตรเครดิต JCB อย่างล้นหลามเลยทีเดียว
ถือเป็นกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องเมื่อ บริษัท เจซีบี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (บัตรเครดิต JCB) ผู้นำด้านบัตรเครดิตในประเทศไทย ได้เผยถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตช่วงก่อนหน้าสถานการณ์ Covid-19 ว่า หมวด “ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และการใช้จ่ายเชิงสัมผัส” ยังคงเป็น 3 หมวด ลำดับต้น แต่ช่วงระหว่างการระบาดของโควิด-19 นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความต้องการที่ลดความเสี่ยงในการใช้ชีวิตนอกบ้าน ทำให้ลูกค้าใช้เวลาส่วนใหญ่ หรือเวลาเกือบทั้งหมดอยู่ที่บ้านกับครอบครัว ซึ่งในปัจจุบัน ลูกค้าเลือกใช้การซื้อของออนไลน์ การจัดส่งอาหาร และกิจกรรมการชำระเงินในรูปแบบที่ไม่ต้องสัมผัส หรือไร้การสัมผัสมากยิ่งขึ้น
โดยคุณเรียว โมริตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจซีบี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันด้วยข้อจำกัดด้านการเดินทางระหว่างประเทศ จึงทำให้เราเน้นการทำการตลาดในต่างประเทศน้อยลง และมีการวางแผนปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ มามุ่งเน้นการทำโปรโมชั่นเพิ่มเติมภายในประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของหมวด ช้อปปิ้งออนไลน์ การส่งอาหาร บริการการชำระเงินแบบไร้สัมผัส และส่วนอื่นๆ แทน
(ภาพกราฟ ยอดการใช้บัตรเครดิต JCB เปรียบเทียบ ตั้งแต่ 2018 - 2021)
จากตัวเลขจะพบว่า ปี 2018-2019 มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนกว่า 55 % แต่ด้วยผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ยอดขายในปี 2020 ลดลงไป 7% เมื่อเทียบกันกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ทาง JCB ได้มีการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมและโดนใจกับกลุ่มลูกค้าในไทย ตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้บริโภคและลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต JCB จึงทำให้ยอดขายกลับมาเพิ่มขึ้นกว่า 16% ซึ่งกลับมามากกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19
สำหรับด้านจำนวนผู้ถือบัตรในปี 2021 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นกว่า 8 % ถึงแม้จะอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด แต่อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นนั้นยังเป็นอัตราที่ช้ากว่าเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ในส่วนของยอดขายมีปริมาณลดลงในปี 2020 ด้วยสถานการณ์โควิด แต่หลังจากนั้นได้มีการดีดตัวสูงขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงกว่าปี 2019 ทำให้ยอดของการใช้จ่ายต่อบัตรนั้นไม่เปลี่ยนแปลงมาก
คุณเรียว โมริตะ เผยว่า “ทางด้านความสนใจของลูกค้าบัตรเครดิต JCB ช่วงก่อนหน้าโควิด-19 กับระหว่างสถานการณ์โควิด ความสนใจของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างมากในส่วนของการรับประทานอาหารที่ร้าน ปรับเปลี่ยนเป็นการทำกิจกรรม อื่น ๆ ทดแทน เช่น การช้อปปิ้งออนไลน์ ช้อปปิ้งที่ซุเปอร์มาร์เก็ตและการเลือกซื้อของแต่งบ้าน อย่างไรก็ตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เลือกใช้โดยรวมยังคงมีส่วนคล้ายกับยุคก่อนโควิด-19 แต่สิ่งที่แตกต่าง คือ การเลือกใช้วิธีชำระเงินที่เปลี่ยนไป ดังนั้นทาง JCB จึงมีการทำงานร่วมกับกลุ่มพันธมิตร เพื่อให้ตอบโจทย์ในส่วนนี้ โดยปรับเปลี่ยนวิธีการชำระเงินให้ตรงกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้ามากที่สุด”
นอกจากนี้ JCB (สำนักงานใหญ่ในโตเกียว) ได้มีจัดตั้งแผนกส่งเสริมและสร้างสรรค์ธุรกิจของอาเซียนในสิงคโปร์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 โดยเปิดตัวธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการขยายตัวต่อไปของเราในพื้นที่อาเซียน ความคิดริเริ่มแรกของหน่วยงานนี้เริ่มต้นด้วยการลงทุนใน Soft Space ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคที่ตั้งอยู่ในมาเลเซีย ใช้งบลงทุนประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้เป็นจุดรับชำระเงินและ solution รูปแบบใหม่ โดยได้รับใบอนุญาตสำหรับการดำเนินการออกบัตร JCB และจัดหาผู้ค้าในมาเลเซีย ให้สามารถใช้อุปกรณ์ Tap on Mobile (ToM) และรวมเทคโนโลยีของ Soft Space เข้ากับธุรกิจของ JCB ในอนาคต เพื่อเพิ่มการบริการให้เกิดประโยชน์กับลูกค้าปัจจุบันของ JCB และขยายธุรกิจของ JCB ไปทั่วทุกประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้