ออกมาเผยเรื่องราวรักที่หย่าร้างกับสามีนักการทูตเป็นครั้งแรก ผ่านรายการคุยแซ่บshow สำหรับผู้จัดละคร “น้อง พรสุดา ต่ายเนาว์คง” อดีตนางเอกยุค 90 ซึ่งซุ่มเงียบหย่ามาถึง 5 ปีแล้ว โดยเจ้าตัวเผยว่าสาเหตุเป็นเพราะอยากกลับมาดูแลครอบครัว ขณะที่อดีตสามีขอมีภรรยาอีกคน พร้อมเรื่องที่เสียใจที่สุด
“ถามว่าทำไมตัดสินใจแต่งงาน จำได้ว่าอายุ 30 แล้ว ยุคนั้นอายุ 20 กว่าต้องแต่งงานแล้ว เพื่อนทยอยแต่งไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเราเคว้งคว้างมาก ก็คุยกับเขาว่าถ้าตกล่องปล่องชิ้นอยากแต่งงานเราก็ยินดี เขาก็คงไม่ได้ถึงขนาดอยากแต่งกับเรามากถึงขนาดคุกเข่าขอ เขาก็โตแล้ว อายุ 40 กว่า เลยรู้สึกว่าแต่งกันก็ได้
ตอนนั้นเราไม่คิดว่าเราต้องเลือกระหว่างงานกับชีวิตครอบครัว โมเมนต์นั้นเขากำลังจะย้ายกลับประเทศ เรารู้สึกว่าเราสูญเสียอะไรไปบางอย่าง เขาให้สิทธิ์เราตัดสินใจ ถ้าเราไม่แต่งกับเขา เขาก็กลับประเทศไป แต่ถ้าจะแต่งงานต้องเลือกไปอยู่กับเขาที่ประเทศเขา
คนมองว่าเป็นหนูตกถังข้าวสาร ณ 20 กว่าปีที่แล้ว ประชากรที่นั่นน้อย อัตราส่วนต่อเงินเดือน เราจะรู้สึกว่าเขาได้เงินเดือนสูงมาก เป็นประเทศดูแลประชากรดีมาก เรียนฟรี ตอนนั้นทุกคนเข้าใจว่าเราแต่งกับคนที่รวยมากๆ แน่เลย เขาอาจเป็นเศรษฐีน้ำมันอะไรก็ได้ ก็พยายามอธิบายว่านักการทูตก็คือข้าราชการคนนึงที่ไม่ได้รวยเป็นมหาเศรษฐีขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร”
หย่าเงียบ 5 ปี ไม่สามารถเป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบ สามีขอมีภรรยาอีกคน
“มันเหมือนผู้ใหญ่คุยกัน ว่าเราอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้ว มีเหตุผลหลายๆ อย่าง เขาก็เข้าใจสถานการณ์ของเรา เราก็บอกเขาว่าเราคงเป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบ ดูแลเขาตลอดไปไม่ได้ เพราะเราต้องการกลับมาทำงานเหมือนเดิม เขาก็บอกว่าก็ได้ ตอนนั้นเขาไม่ได้อยากเลิกกับเรา แต่เขาบอกว่าขอแต่งงานกับอีกคนได้ไหม ขอมีภรรยาอีกคน ตามหลักศาสนาบ้านเขา สามีสามารถมีภรรยาได้ 4 คน แต่มีข้อแม้ว่าภรรยาแรกต้องอนุญาต ซึ่งเขามาขอเรา ถ้าภรรยาแรกอนุญาตเขาก็ไม่บาป เขาก็แต่งได้แต่ก็แล้วแต่ บางครอบครัวก็แต่งเลย
ก็เลยบอกว่าถ้าเป็นแบบนั้นขอเลิกดีกว่า ไม่ชอบแชร์ของใคร ตอนมาอยู่เมืองไทยตั้งใจทำงานให้เต็มที่ ตอนนั้นเริ่มทำละครแล้ว ไปๆ มาๆ ไปดูแลเขาก็ไม่ได้เต็มที่กลับมาทางนี้ก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ ตอนนั้นคุณแม่ไม่สบาย เรารู้สึกไม่ได้ดูแลท่าน เลยบอกเขาว่าอยากอยู่ที่นี่ถาวร พอเขายื่นข้อเสนอแบบนั้นก็บอกว่าประกาศหย่าให้หน่อย เราไม่กลับไปแล้ว ตามหลักศาสนาถ้าสามีประกาศหย่า ไม่จำเป็นต้องเดินไปที่อำเภอ เหมือนกับว่าเมื่อเขาประกาศหย่า แสดงว่าเขาไม่ต้องการภรรยาคนนี้แล้วก็สามารถเป็นอิสระได้ กระดาษใบนั้นสามีสามารถเข้าไปจัดการเดินเรื่องเองได้”
เผยเรื่องสุดช้ำ สูญเสียคุณพ่อ ทำหน้าที่ลูกไม่สมบูรณ์
“ช่วงแต่งงานใหม่ๆ ความที่เราอยากแต่งงาน เราเลยยอมในข้อแม้ทุกอย่าง เราไม่อยากสูญเสียงานในวงการไปถาวร มันก็เลยเดินทางไปๆ มาๆ เขาบอกว่าเขาโอเคนะ แต่มันเป็นความรับผิดชอบของเรา ดังนั้นเขาจะไม่ตามเรามา เราทำงานเสร็จก็กลับไป บิน 3 ชม. ไปๆ กลับๆ แต่มันเหนื่อย ไม่ใช่ร่างกายเหนื่อย แต่เราทำอะไรได้ไม่เต็มที่เลย ณ ตอนนั้น แล้วสามีได้ย้ายไปประจำที่ประเทศมาเลเซีย ในฐานะอัครราชทูต เป็นนัมเบอร์ 2 เขาก็มาคุยกับเราเป็นเรื่องเป็นราวว่าไม่อยากให้มาทำงานที่นี่แล้ว พอเป็นตัวแทนประเทศ นักการทูตจำเป็นต้องมีภรรยาคอยซัปพอร์ตตลอด 24 ชม.
หน้าที่ภรรยานักการทูต อย่างไปงานวันชาติรอบโลกเขามีการจัดงาน นักการทูตต้องไปร่วมงานเพื่อเป็นเกียรติ ซึ่งถ้าไปเดินเฉยๆ ไม่มีภรรยาตาม ระดับนี้ต้องแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็จะเป็นที่ครหาว่าทำไมตัวภรรยาไม่ซัปพอร์ตสามี เราเลยได้คุยกันจริงจังว่าคุณต้องหยุดเพื่อไปประจำ และเป็นตัวแทนประเทศบรูไนในฐานะภรรยานักการทูต เราเลยตัดสินใจหยุดเลย 8 ปี ตอนแรกอยู่มาเลเซีย แต่เป็นเกาะ เป็นเมืองนึง เราไปเป็นกงสุลใหญ่อยู่ที่นั่น แล้วกลับมาบรูไนนิดหน่อย แล้วให้ไปประจำอยู่กัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงมาเลเซีย ไม่ได้กลับมาทำงาน 8 ปีเต็มๆ
ตอนพ่อเสียเป็นปี 2555 เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ตอนนั้นรู้สึกว่าเขาเกษียณแล้ว กลับมาอยู่บรูไนแล้ว พ่อเป็นมะเร็งหลอดลม หลอดอาหาร ทานอะไรไม่ได้เลย แม่ก็เริ่มไม่สบาย เรากลับมาเยี่ยม พ่อบอกว่าไม่เป็นไร กลับไปอยู่กับครอบครัวเถอะนี่คือคำพูดสุดท้าย ไม่ถึง 2 อาทิตย์พ่อก็เสีย เราเลยรู้สึกว่าเราทำหน้าที่ลูกไม่ค่อยสมบูรณ์ พ่อเองไม่ได้น้อยใจนะคะ (เสียงสั่นเครือ) เขาอยากเห็นลูกมีครอบครัวที่มีความสุข”
สามีไม่ได้อยู่เคียงข้างในวันที่เสียคุณพ่อ จนไม่อินกับชีวิตครอบครัว
“คนมุสลิม เวลาเสีย ต้องฝังใน 1 วัน 24 ชม. ตอนนั้นไม่มีไฟลต์ไม่มีอะไร เขาก็ดึงเวลาให้เรา นานกว่านั้นก็ไม่ควรจะผิดหลัก พอเรามา สามีก็บอกว่าคุณไปเถอะ ไม่เป็นไร (หัวเราะ) เขาไม่ได้อยู่เคียงข้างให้กำลังใจ แต่เราไม่ได้คิดลึก เราโฟกัสแค่คิดถึงพ่อ อยากไปหาพ่อ อย่าเพิ่งห่อ อย่ารีบฝัง วินาทีสุดท้ายมันรีบมาก พอเขาบอกว่าคุณไปเถอะ เราก็คิดว่าอย่างน้อยเขาก็ปล่อยเรากลับมา แต่หลังจากนั้นเรารู้สึกว่าเอ๊ะ ทำไมเขาปล่อยให้เราอยู่คนเดียว จัดงานคนเดียว ไม่มีครอบครัวเขาเลย มันเลยเริ่มไม่อิน
มันเหมือนตั้งแต่แรก เรามีข้อตกลงอะไรบางอย่าง ที่เราโอเค จะกลับมาเอง เยี่ยมครอบครัวเราเอง นานๆ เขาจะมาสักที แต่อันนี้เขาบอกว่าคุณไปเถอะ เราก็ไม่ค่อยอินกับชีวิตครอบครัวเท่าไหร่ แต่งงานมาสักพัก ไม่มีลูกด้วยกัน เราก็รู้สึกไม่ดี ที่มีลูกไม่ได้ เราถามว่าจะรับลูกบุญธรรมไหม แต่เขาไม่เอา เขามีลูกแล้ว 2 คน เขาคิดว่าถ้ารับลูกบุญธรรมอาจไม่อินเท่าลูกตัวเอง ก็เคยไปปรึกษาหมอ แต่เขาบอกว่าช้าเกินไป หมอบอกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะทำแล้ว แต่เราคิดว่าผู้หญิงอายุ 60 กว่ายังมีลูกได้ เราก็หมดกำลังใจ ตอนนั้นเราอายุ 42 หมอที่นั่นเขาบอกว่าอายุเลยวัยมีลูก เราก็อึ้งๆ เขาอยากให้เรามาผสมข้างนอก เขาบอกวัยนี้ทำธรรมชาติไม่ทันแล้ว
ไม่มีลูกก็ไม่มีพันธะผูกพัน เราก็รักลูกเขานะ แต่พอมาถึงจุดคุณพ่อเสียเราก็รู้สึกเคว้งคว้าง มันรู้สึกผิดทุกวัน พ่อกับแม่ถ้าไปแล้วไม่มีอะไรทดแทนกลับมา ก็บอกกับแม่ว่าจะดูแลแม่ให้ดีที่สุด พ่อพลาดไปแล้ว นาทีพ่อเสียเราไม่เห็น เรารู้สึกว่าเราไม่ใช่ลูกที่ดี (เสียงสั่นเครือ) ทั้งที่คุณพ่อก็เข้าใจตรงนี้ แต่ส่วนตัวเราเอง เรารู้สึกผิดมาก ก็บอกแม่ว่าไม่ต้องห่วงนะ ต่อไปนี้จะดูแลแม่เอง จะกลับมาอยู่นานขึ้น ช่วงนั้นแม่ผ่าตัดหลังด้วย ไม่มีใครดูแล เพราะครอบครัวมีพี่น้องสองคน พี่สาวอยู่เยอรมัน ก็เป็นหน้าที่เราต้องกลับมาดูแลท่าน”
คงบาปมากหากเลือกผู้ชายมากกว่าครอบครัว ต้องตกนรกแน่นอน
“จนสุดท้ายเริ่มกลับมาอยู่นานขึ้น งานละครเยอะขึ้น ตั้งใจทำมากขึ้น เขาก็โทรมาถามว่าตกลงจะเอายังไง เราไม่ได้กลับไปหาเขาเลย ก็เลยเป็นจุดที่คุยว่าขออยู่นี่ถาวร ถ้าไอจะมาก็มา เขาบอกว่าได้ แต่ที่บรูไนเขาขอแต่งงานกับอีกคนนึง ที่บรูไนข้าราชการชั้นสูงก็ค่อนข้างมีหน้ามีตา ญาติพี่น้องก็เริ่มรู้ว่าเราไปๆ มาๆ นานๆ ไปที ญาติห่างๆ ก็เสนอผู้หญิงว่าจะให้มาดูแล เราก็อึ้งไปเลย เราก็ทราบว่าเขามีสิทธิ์มีภรรยา 4 คน แต่มันหลายๆ อย่าง เราเลือกแม่ดีกว่า เราเสียพ่อไปแล้ว เราปลูกคืนมาไม่ได้ เราเหลือแม่คนเดียวถ้าต้องเลือกผู้ชายแล้วคุณแม่เป็นอะไรไป คิดว่าต้องตกนรกแน่ๆ บาปมาก”
ตอนสามีมาขอว่าจะแต่งงานอีกคน ใจเราถามว่าเป็นยังไง เราทราบอยู่แล้วว่าสามี มีได้ แต่ต้องได้รับการยินยอมจากภรรยาแรก ตอนเขามาขอใจหล่น แต่เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราคิดในใจว่ายังดีกว่าเขาแอบทำ เขายังไม่ได้ทำนะคะเขาบอกว่าถ้าคุณอนุญาต ผมก็จะแต่งงาน
ไม่ถึงกับคิดในใจตลอดว่าไม่น่าแต่งงาน เรามองแง่ดี ได้มีประสบการณ์ที่นักแสดงไม่สามารถทำตรงนี้ได้ เป็นกำไรของเรา แต่เหมือนชีวิตต้องเลือก เรากลับมาทำหน้าที่กตัญญูดีกว่า ต้องตัดใจตรงนี้ สามีกับแม่ เราต้องเลือกแม่ก่อน”
ปิดใจเกือบสนิท หาคนที่คลิกยาก
“อายุเยอะมากแล้วค่ะ (หัวเราะ) มันเข็ดหรือไงก็ไม่รู้ อยากพักตรงนี้ งานมันเยอะมาก เราทุ่มเทให้กับงาน หลายคนบอกว่าไม่มีลูก ไม่เหงาเหรอ เราเห็นนักแสดงรุ่นลูกเรา ก็ทุ่มเทความรักให้กับเขา จะทำยังไงให้เขาประสบความสำเร็จ เราก็อินไปแล้ว มันไม่เหงา ทุกวันตื่นแต่เช้าออกกองถ่ายละคร ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่ได้ ที่ผ่านมาเหมือนชิน ร่างกายหรือชีวิตโดนฝึกมาแบบนี้ตั้งนานแล้ว การเจอใครวัยเดียวกับเรา แล้วคลิกกับเรา มันยากมาก
ถามว่าปิดสนิทไหม เกือบสนิทนะคะ เรายอมให้พรหมลิขิต พระเจ้ากำหนดชีวิตเราได้ แต่ข้างหน้าที่เรากำหนดตัวเองได้ ไปโฟกัสกับงานก่อน เวลาไปกองเราก็อาวุโสสุด มันเลยไม่มีลักษณะนั้นเหมือนเป็นครอบครัว”
เรียกตัวเองนางเอกขี้เหร่ เพราะไม่ได้สวยเด่นอะไร ต้องขายความสามารถ
“ตอนโตเป็นสาว รู้ตัวอยู่นิดๆ ว่าเราไม่ใช่คนสวยเด่นอะไร สมัยก่อนโมเดลลิ่งไปเดินสยามสแควร์ แล้วขอเบอร์ เขาเห็นใครสวยก็ให้เบอร์ว่าถ้าสนใจไปแคสงานได้ ก็เลยได้มีโอกาสตอนนั้น ไปเทสหน้ากล้องดู จนเราเริ่มได้งาน แต่ไม่เคยเป็นตัวหลักนะ จะมีคนสวยอยู่ข้างหน้า เราซัปพอร์ตอยู่ข้างหลัง หลังเป็นนางแบบ เราก็ขอทำงานกับโมเดลลิ่งเลย เราจน อยากได้เงิน ถ้าทำงานโมเดลลิ่งเราจะได้เงินเดือนด้วย ตอนนั้นเรียนอยู่ปีหนึ่ง พาน้องๆ ไปแคสงาน แต่เราแคสด้วย กลายเป็นว่าเรากลับได้ จนน้องๆ บอกพี่น้องแย่งงานไปหมด (หัวเราะ) พอเป็นโมเดลลิ่งเราจะรู้จักเอเจนซี่เยอะ เขาก็ไว้ใจเรา หน้าตาเราน่ารัก แต่ไม่สวยสุด มีคนว้าวกว่าเรา ยุคนั้นมีคุณนิด อรพรรณ น่ารักผมม้า เรามายุคนี้พอดี เลยโชคดีมาก แต่พอผ่านยุคนี้มา นางเอกต้องสวยครบหมดเลย สวยเซ็กซี่ด้วย หุ่นดีด้วย ยุคเราโชคดี ไม่ต้องสวย เซ็กซี่ หรือสูง ไซส์อิมแพคน่ารักๆ คิวบ์
แต่รู้สึกว่าตัวเราตั้งแต่ถ่ายโฆษณาไม่ได้ยืนข้างหน้าตลอด เราไปถ่ายโฆษณาลูกอมแบรนด์นึงเขามีนางเอกหลักของเรื่อง ไปถ่ายที่เมืองกาญจน์ นางเอกต้องพูดว่าอร่อยจัง เพื่อนเขาเล่นไม่ได้ ยิ้มได้พูดบทไม่ได้ พูดบทได้ อารมณ์ไม่ได้ จนผู้กำกับบอกว่าไม่ไหวแล้ว จนเขาตะโกนว่าใครเล่นได้บ้าง พรสุดาก็ยกมือว่าหนูเล่นได้ค่ะ จากโมเมนต์นั้นเรารู้เลยว่าเราไม่สวย เราต้องขายความสามารถ ขายฝีมือ
ย้อนวันวานวัยเด็ก พ่อแม่เลิกกัน เลือกไปอยู่กับพ่อ
“ตอนนั้นคุณพ่อมีภรรยาน้อย คุณแม่ก็ไม่รู้อะไรเลย พอรู้ก็ช็อกมาก น้ำหนักลดไป 10 กิโล ภายในอาทิตย์สองอาทิตย์ เราอยู่กับแม่ก็เห็นสภาพตลอด เราสงสารแม่ เขากินไม่ได้ตลอดเวลา จนวันนึงเขาไม่ไหวแล้ว เขาทะเลาะกัน เราอยู่ในเหตุการณ์จำมาจนถึงบัดนี้ว่าเราหย่ากันเถอะ เรารู้ว่าแม่ทนทุกข์ทรมานแค่ไหนกับการที่พ่อนอกใจ เราก็เข้าใจว่าดีเหมือนกัน ไม่อยากเห็นแม่ร้องไห้แล้ว ตอนนั้นพี่สาวอยู่ต่างจังหวัด พ่อกับแม่ก็ให้เราตัดสินใจว่าเลือกอยู่กับพ่อหรือแม่ เราเลือกอยู่กับพ่อ เราอยู่กับแม่มาตลอด พ่อขับรถส่งนม เขาไม่ค่อยกลับบ้าน เขามาทีเราก็ดีใจ อยู่กับแม่เราก็ซน ตอนนั้นแม่เสียใจเรื่องพ่อแล้ว เราก็เลือกอยู่กับพ่ออีก เราก็เหมือนบาปมาก เขาก็อึ้งไปเหมือนกันว่าทำไมเราไม่เลือกอยู่กับเขา เลือกอยู่กับพ่อ เราตัดสินใจแบบเด็ก เพราะอยากอยู่กับพ่อ คิดถึงพ่อเหลือเกิน คุณแม่ก็ดูแลพี่สาวที่อยู่ต่างจังหวัด
ตั้งแต่เด็กต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางตัวเองตลอด บางทีก็รู้สึกว่าพลาด แต่ถ้าไปแล้วก็ต้องไปให้สุด ทางมันต้องเดินต่อไป พ่อก็พาเราไปไว้กับย่า ซึ่งปู่เป็นทหารยศเล็กๆ เราอยู่กับย่าก็เหมือนหลานรัก อาชีพเสริมย่าคือพับถุงขาย ซื้อถุงปูนเอามาตีๆ แล้วตอนกลางคืนมานั่งพับถุง เราก็ทำทุกอย่างเพื่อย่า เป็นหลานรัก ทุกครั้งเสาร์อาทิตย์ที่ไม่ได้เรียนหนังสือก็ต้องไปกับย่าไปไซต์ก่อสร้างติดต่อซื้อถุงปูนมา
ช่วงนั้นไม่ได้เจอคุณแม่ เพราะพอเรามาอยู่ตรงนี้ พ่อมีภรรยาใหม่ เขาเลยไม่ได้เจอ อยู่กับพ่อสัก 3-4 ปี จนโตเกือบเป็นสาว บางทีเราก็ไปเก็บตะปู ถุงพลาสติก ซึ่งเป็นของมีราคาหมดเลย แต่ส่วนใหญ่ย่าจะพาเราไป เราคิดว่าถ้าย่าแก่แล้ว เราเป็นหลานรัก ก็ต้องไปเก็บ”
สุดท้ายซื้อบ้านแล้วขอร้องให้พ่อแม่กลับมาอยู่ด้วยกันสำเร็จ
“เราเข้าวงการแล้ว หาเงินเป็นกอบเป็นกำ วันนึงก็ซื้อบ้าน พ่อก็อ่อนลง เพราะภรรยาน้อยเลิกรากันไป ก็เลยคุยกันว่ามาอยู่ด้วยกันไหม ลูกสร้างบ้านให้พ่อแม่ ไม่จำเป็นต้องรักกันเราสร้างให้พ่อกับแม่อยู่ ไม่อยากให้ลำบากแล้ว ถ้าพ่อไม่เอาแม่ก็ทำไม่ได้อีก เพราะแม่ก็ลำบากเพื่อเรา ก็ขอร้องว่ามาอยู่ด้วยกันเถอะ เรารู้เลยว่าเขารักเรา”