“อาโป” เปิดใจมีสังกัดที่ดี ทำไมถึงเลือกอิสระก่อนพลิกเล่นซีรีส์วาย รับหันมองตัวเอง ถ้าเซ็นต่อคงไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำ ชีวิตวนลูปเดิม อยากตัดสินใจด้วยตัวเอง ลั่นถึงจุดที่ไม่ประทับใจ ย้ำไม่เคยเสียดาย
หน้าหน้าไปนานเลยทีเดียว สำหรับ “อาโป ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์” หลังตัดสินใจไม่ต่อสัญญาช่อง 3 ล่าสุดเจ้าตัวหวนกลับมารับงานอีกครั้ง เป็นซีรีส์วาย โดยอาโปได้เปิดใจว่าไม่ได้สนใจว่าเป็นละครแบบไหน เพราะตัวเองมองเรื่องโปรดักชั่นก่อน
“จะวายหรือไม่วายผมว่าไม่มีอะไรแตกต่างเลยครับ ผมว่ามันไม่เกี่ยว มันเป็นส่วนหนึ่งในบทมากกว่า ต้องเกริ่นเล็กน้อยว่าจริงๆ แล้วผมตั้งใจไปเรียนต่อต่างประเทศ ผู้จัดการโปเขาดูแลน้องกลัฟ เขาก็บอกว่ามีงานน่าสนใจรออยู่ เป็นซีรีส์วายแนวแอ็กชั่นก็รู้สึกสนใจ ผมว่าผมก็ปรับไปตามกระแส พื้นฐานแล้วโปไม่ได้มองว่าอันนี้วายอันนี้ไม่ใช่วาย ส่วนแรกที่มองผมมองโปรดักชั่นก่อน มองตัวบท ความเมกเซ้นต์ อันนี้เป็นตัวที่ทำให้เราตัดสินใจรับเล่น”
แจงมีสังกัดที่ดี ทำไมถึงเลือกอิสระ ลั่นหันมองตัวเอง ถ้าเซ็นต่อคงไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำ ชีวิตวนลูปเดิม อยากตัดสินใจด้วยตัวเอง
“เราอยากจะได้ทำอะไรเราก็ควรได้ทำครับ หันมามองตัวเอง ผมอายุ 25 ในตอนนั้น ถ้าเราเซ็นต์สัญญาไปเราก็คงไม่ได้ทำอะไรที่เราอยากจะทำอยากจะเป็นเลย มันเหมือนกับทำให้เราอยู่จุดๆ เดิม ถ่ายละครเรื่องนึงมันก็ใช้เวลาปีครึ่งแล้ว พอถ่ายเสร็จก็รับเรื่องใหม่ วนลูบอยู่แบบนี้ มารู้ตัวอีกทีร่างกายเราทำอะไรไม่ได้แล้ว เหมือนเราขาดชีวิตในส่วนที่มันควรจะเป็นออกไป โปรู้สึกว่าเราควรจะได้ตัดสินชีวิตด้วยตัวเราเองมากกว่า”
เผยจุดที่ไม่ประทับใจ!
“โปรู้สึกว่าเริ่มต้นชีวิตคือ 30 อีก5 ปีของเราที่เรายังไม่ได้เริ่มต้นชีวิต เราก็ควรจะได้ทำอะไรที่เราอยากทำ เราอยากทำอะไรที่เราไม่เคยได้ทำ ก็ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมามีแต่คนพลีสเรา ซึ่งเราไม่ได้รู้สึกประทับใจขนาดนั้น เราอยากไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักเรา อยากไปมีชีวิต ไปตัดสินใจอะไรในชีวิตเราด้วยตัวเราเอง เราอยากจะล้มแล้วเรารู้สึกเจ็บ รู้สึกเรียนรู้กับมัน หรือถ้าเรามีความสุขเราก็ได้มีความสุขจริงๆ เพราะเราตัดสินใจของเราเองทั้งหมด”
ไม่เคยเสียดายโอกาส
“ไม่เคยเลยครับ แค่รู้สึกว่าเราคงเชื่อในสิ่งที่เราเชื่อว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ มันไม่ได้เกี่ยวกับภาวะภายนอกคือวงการ ผมมองว่าวงการคือภาวะภายนอก ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับตัวเรามากกว่า เราได้เรียนสิ่งต่างๆ แล้วเรารู้สึกว่าเราชอบวิชานี้ การได้ทำสิ่งนี้มันทำให้เราแฮปปี้ ก็เลยเหมือนเป็นการบ่มเพาะไปเรื่อยๆ ว่าชีวิตเราต้องการอะไร ประกอบกับเราปฎิบัติธรรมด้วย มันเลยทำให้เราไม่ได้มองอะไรแค่ภายนอก เรากลับมามองที่ตัวเราเองจริงๆ ว่าเราชอบอะไร เราต้องการอะไร ยังไม่ได้สามารถตอบได้เหมือนกันว่าสิ่งที่จะไปมันเป็นสิ่งที่เราชอบจริงๆ หรือเปล่า แต่ก็อยากจะได้ลองก่อน
ถามว่าเราอยากลองอะไร ก็มีหลายอย่าง เช่น เกี่ยวกับร่างกาย การแสดง มันเยอะมากๆ ที่มาเป็นนักแสดงเพราะเรามีความชอบในหลายๆอย่าง ก็เลยอยากจะได้ลองเป็นนั่นเป็นนี่ ได้สวมบทบาทหลากหลาย รู้สึกว่าชีวิตมันสั้น เราจะต้องได้ทำทุกอย่าง ในเมื่ออยู่ที่นั่นมันไม่เวิร์ก มันได้เป็นแต่อาโป ก็ออกมาดีกว่า เราได้เป็นหลายบทด้วย”