xs
xsm
sm
md
lg

รู้จัก "หว่องกาไว" : ยอดผู้กำกับผู้ไร้บทภาพยนตร์, ไร้กำหนดปิดกล้อง และถ่ายทำหนังข้าม (หลาย) ปี

เผยแพร่:   โดย: ฟ้าธานี



ทำไม "หว่องกาไว" ใช้เวลาทำหนังแต่ละเรื่องยาวนานเหลือเกิน, เขาถ่ายทำหนังแบบไม่มีบทภาพยนตร์จริงหรือไม่?, ถ่ายทำแต่ละฉากหลายสิบเทค? ถ่ายหนังแบบไม่มีกำหนดปิดกล้องแน่นอน? แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีดาราจากทั่วโลก ที่อยากจะทำงานกับ "หว่องกาไว" และยังคงเป็นผู้กำกับที่สำคัญที่สุดของฮ่องกงมานานหลายสิบปี

อดีตคนเขียนบทชาวฮ่องกงที่เราเคยคุ้นเคยกันในชื่อว่า "หวังเจียเหว่ย" เริ่มต้นกำกับหนังด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกในปี 1988 กับหนังเรื่อง Tears Go By (ทะลุกลางอก)

หลังจากนั้นอีก 30 ปี เขากลับมีผลงานแค่ 10 เรื่อง คือเฉลี่ย 3 ปีต่อเรื่อง เคยมีปี 1994 ที่ทำหนังถึงสองเรื่องคือ Chungking Express (ผู้หญิงผมทอง ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง) และ Ashes of Time (มังกรหยก ศึกอภิมหายุทธ ) แต่ก็มีช่วงที่หายไปนาน ๆ หลายปี

อย่างล่าสุดหลัง The Grandmaster (ยอดปรมาจารย์ "ยิปมัน") ในปี 2013 แล้ว จนถึงปัจจุบัน หว่องกาไว ก็ไม่ได้มีผลงานการกำกับหนังเรื่องใหม่ออกมาอีกเลย ถือว่าเป็นการ "หายหน้า" จากการกำกับภาพยนตร์ไปยาวนานที่สุดในอาชีพของ หว่องกาไว ก็ว่าได้

เขาอาจจะไม่ได้หยุดโดยไม่ได้ทำอะไรเลย หว่องกาไว ก็ยังมีงานการอำนวยการสร้างออกมาเป็นระยะ


นักแสดง (บางคน) เข็ดขยาด

หว่องกาไว อาจจะมี เหลียเฉาเหว่ย เป็นนักแสดงคู่ใจที่่ร่วมงานกันในหนังหลายเรื่อง แต่ในเวลาเดียวกันนักแสดงส่วนใหญ่ก็มักจะทำงานกับเขาในหนังเพียงไม่เกิน 2 เรื่องเท่านั้นดาราอย่าง หลิวเต๋อหัว, จางเซียะโหย่ว, หลีหมิง และอีกหลาย ๆ คน โดดเด่นเป็นอย่างมากในหนังของ หว่องกาไว แต่หลายคนก็ไม่ได้กลับมาเล่นหนังของเขาอีกเลย หลังประสบความสำเร็จในการร่วมงานกัน

อย่าง จางเซียะโหย่ว เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาทำใจได้ยากจริง ๆ ที่จะกลับมาร่วมงานกับ หว่องกาไว เพราะค่อนข้างจะอึดอัดกับการทำงาน “แบบหว่อง ๆ” ที่ถ่ายทำแต่ละฉากหลายเทคมาก แถมยัง

"ใน Days of Being Wild แม้แต่ฉากพื้น ๆ อย่างฉากที่ผมต้องนั่งมองพื้น ก็ยังต้องถ่ายทำกันร่วม 60 เทค จนถึงเทคสุดท้าย หว่องกาไว ก็แค่พูดว่า 'พอแล้วเอาแค่นั้น' แล้วก็เดินออกไปเลย ซึ่งทำให้ผมอึดอัดมาก" จางเซียะโหย่ว เล่า ซึ่งเขายอมรับว่าถ้าเป็นผู้กำกับคนอื่น เขาก็คงไม่คิดมากอะไร แต่สำหรับ หว่องกาไว ที่ถือว่าเป็นเพื่อนกันมานานเขารับไม่ได้ "คือเราเป็นเพื่อนกัน ผมไม่เขาใจเลยว่าทำไมทำกับผมแบบนั้น อย่างน้อยก็บอกมาเลยว่าเทคไหนที่ใช้ได้ เทคไหนที่ไมเวิร์ก"


ไม่มีกำหนดปิดกล้อง

The Grandmaster ที่เป็นผลงานล่าสุดเอง หว่องกาไว ก็ใช้เวลาเตรียมงานนานมาก และถ่ายทำอย่างไม่มีกำหนดปิดกล้อง หนังเลื่อนฉายหลายรอบ แถวของนักแสดงนำอย่าง เหลียงเฉาเหว่ย ก็บาดเจ็บระหว่างการฝึกซ้อมกังฟู ทำให้หนังล่าช้าไปอีก แต่สุดท้ายเมื่อเข้าฉายหนังก็ประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน

แม้แต่นักแสดงก็ต้องทำงานไปโดยไม่ทราบกำหนดว่าหนังจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ อย่าง จางจื่ออี๋ เองก็เคยตอบในการให้สัมภาษณ์ระหว่างถ่ายทำ The Grandmasters ว่า "คนที่ทำงานกับ หว่องกาไว ไม่มีใครทราบหรอกว่าหนังจะเสร็จเมื่อไหร่"

หนังแต่ละเรื่องจะถ่ายทำไปเรื่อย ๆ และแก้ไขบทภาพยนตร์ไปเรื่อย ๆ ด้วย อย่างหนังกำลังภายใน Ashes of Time ที่ถ่ายทำนานมาก หนังถ่ายทำตั้งแต่ปี 1992 วางตัวนักแสดงหลายคนให้สวมบทบาทเป็นตัวละครจากนิยายชุดมังกรหยกของ กิมย้ง โดย เลสลี่ จาง จะต้องแสดงเป็น มารบูรพา อึ้งเอี้ยซือ

แต่ถ่ายไปถ่ายมาจนสุดท้ายงบหมด หว่องกาไว ต้องพักกองเอาไว้หลายเดือน และส่งทีมนักแสดงทั้งหมดไปให้ หงจินเป่า ถ่ายทำหนังเรื่อง The Eagle Shooting Heroes (มังกรหยก หยกก๋าหว่า) ที่เล่าเรื่องคล้าย ๆ กันคือเกี่ยวกับตัวละครในนิยาย มังกรหยก แต่ทำออกมาในแนวตลกโปกฮา

สุดท้ายในช่วงว่าง ๆ จากการพักกอง Ashes of Time หว่องกาไว ก็เลยเปิดกล้องหนังเรื่อง Chungking Express และเน้นทำงานในฮ่องกงเป็นหลัก และถ่ายทำทุกอย่างแบบ “ตามสัญชาตญาณ” จนหนังเสร็จได้ฉายก่อน Ashes of Time ซะอย่างงั้น

ส่วน Ashes of Time หลังได้กลับมาถ่ายทำ หว่องกาไว ก็เปลี่ยนแปลงบทขนานใหญ่ถึงขั้นที่เปลี่ยนให้ เลสลี่ จาง มาแสดงเป็นพิษประจิม อาวเอี๊ยงฮง แทน


ไม่มีบทภาพยนตร์?

หว่องกงไว ถ่ายทำหนังแบบไม่มีบทภาพยนตร์จริงหรือ? เขาไม่ค่อยให้สัมภาษณ์อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้นัก แต่เท่าที่เคยบอก หว่อง จะมีบทแบบหยาบ ๆ เอาไว้ในใจ เพราะฉะนั้นหนังแต่ละเรื่องอาจจะไม่มี "บทภาพยนตร์" อย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่จะมีโน้ตสั้น ๆ ที่จะระบทถึงรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับหนังเอาไว้เท่านั้น

ในช่วงแรก ๆ หนังของ หว่อง จะใช้เวลาถ่ายทำไม่ได้นานมาก อาจจะ 2 ปีต่อเรื่อง แต่ยิ่งทำเขาก็ยิ่งทำหนังช้าลงเรื่อย ๆ ยิ่งมีชื่อเสียง หว่องกาไว ก็สามารถทำงานตามใจได้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนหนังเรื่องหลัง ๆ อย่าง 2046 และ The Grandmasters ใช้เวลาสร้างมากกว่า 5 ปีทั้งสองเรื่อง

สำหรับหนังเรื่องต่อไปของ หว่องกาไว จะมีชื่อว่า Blossoms จะเป็นหนังย้อนยุคที่มีฉากหลังอยู่ในเซียงไฮ้ และจะเล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ไต่เต้าจากพื้นเพธรรมดาสามัญจนกลายเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ในฉากหลังเซียงไฮ้ยุครุ่งเรื่องทางเศรษฐกิจอย่างสุดขีด หนังจะเล่าถึงภาพของความหรูหรา และความวุ่นวายในเมืองใหญ่อย่างเซียงไฮ้ กับชีวิตของตัวเอง และหญิงสาว 4 คน ที่จะเป็นตัวแทนในด้านต่าง ๆ ในชีวิตของเขา ทั้ง ชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยการผจญภัย, เกียรติยศ, ความรัก และความบริสุทธิ์

โดยหนังจะได้ผู้กำกับภาพรางวัลออสการ์อย่าง ปีเตอร์ เปา มาถ่ายภาพ และแทนที่จะเขียนบทโดยเจ้าตัวเอง ข่าวบอกว่า หว่องกาไว จะถ่ายทำหนังจากบทของนักเขียนชื่อดังอย่าง ฉินเหวิน


ชายในแว่นดำ

นอกจากผลงานอันเป็นเอกลักษณ์แล้ว สัญลักษณ์อีกอย่างของ หว่องกาไว ก็คือแว่นตาดำ

เขาเคยพูดเกี่ยวกับเรื่องแวนดำของตัวเองว่า เวลาจะมีปฏิสัมพันธ์กับใคร เขาอยากจะใช้เวลาคิดก่อนที่จะแสดงความรู้สึกอะไรออกไปทันที ก็เลยต้องสวมแว่นดำเอาไว้ เพื่อป้องกันการแสดงความรู้สึกอะไรออกไปทันที

"บางคนเก่งเวลาอยู่กับสาธารณะชน และแสดงออกได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ผมไม่ใช่คนแบบนั้นไง เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว เวลาถ่ายทำหนัง ผมต้องจัดการกับอะไรมากมาย ก็เลยอยากจะได้ช่องว่าง อยากจะได้ช่วงเวลาอย่างน้อยสักหนึ่งหรือสองวินาที ก่อนที่จะแสดงความรู้สึกอะไรออกไปทันที"


กำลังโหลดความคิดเห็น