เหตุผลที่ผมต้องเรื่องเยอะ! “ณเดชน์” แจงไม่อยากให้คนดูต้องผิดหวัง จนถูกด่าลับหลัง เลยต้องขอเลือกบทที่จะแสดง รับไม่กดดันเพราะทุกอย่างทำดีที่สุดแล้ว มั่นใจ “อ้ายคนหล่อลวง” สามารถชนะโควิดได้ เผยแม้ชื่อเรื่องจะหล่อ แต่ก็ถูกยำจนไม่เหลือความหล่อ
ขึ้นชื่อว่าเป็น “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้ชายคนนี้จับหรือสัมผัส รวมไปถึงการนำเสนอออกมานั้นมันต้อง “เพอร์เฟกต์” จึงไม่แปลกใจว่าทุกงานต้องผ่านการกลั่นกรองจากหลายฝ่ายกว่าจะถึงมือของผู้ชายคนนี้
ในวันที่เขากลับมาโลดแล่นบนจอยักษ์อีกครั้งกับบทบาท “ไอ้หล่อ” จอมหลอกลวงตามชื่อหนัง “อ้ายคนหล่อลวง” เจ้าตัวเอ่ยปากว่าเป็นงานที่ท้าทายมาก เพราะนอกจากบทบาทที่พลิกคาแร็กเตอร์แล้ว แต่การกลับมารับงานภาพยนตร์อีกครั้งหลังเคยประสบความสำเร็จเป็นพระเอก 400 ล้านไปแล้ว ก็เป็นโจทย์ที่เจ้าตัวคิดหนัก จนถึงขั้นบอกว่าเหตุผลของการเรื่องมาก เพราะไม่อยากถูกคนดูด่า ทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่ได้เลือกอะไรเลย
“ตอนที่ถ่ายทำ ตอนที่เริ่มการทำงานคุยกัน ก็มีแต่ความน่าตื่นเต้น มีความที่แบบอยากจะได้ถ่าย อยากที่จะไปที่กอง อยากที่จะลองเล่นแต่ละแบบตามพี่เมษเขาให้เราทำดู มันก็เป็นเหมือนอีกประสบการณ์หนึ่ง
ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็ไม่ค่อยได้เล่นหนังอยู่แล้ว พอมาเล่นหนังเรื่องนี้อีกเรื่องหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่แบบเราก็ได้พัฒนาตัวเองไปในระดับหนึ่งด้วย เพราะว่าเป็นคอมเมดี้ ทั้งจังหวะเอย อะไรที่เคยเป็นพังผืดที่เราเคยเป็น มันก็ต้องทำร้ายออกไป ก็ถือว่าได้พัฒนาตัวเองไปด้วย
เพราะตอนแรกเอาจริงๆ ตอนที่พี่เมษติดต่อผมมา มันจะเป็นอีกพอร์ตหนึ่ง ซึ่งเรื่องมันจะแบบมันจะไม่หลอกลวงขนาดนี้ แล้วก็วันที่เข้าไปคุยกับพี่เมษ เขายังเล่าเรื่องเก่าให้ผมฟังอยู่เลย ซึ่งพี่เมษบอกว่าจริงๆ แล้วคอมพิวเตอร์ที่พี่เมษเปิดอยู่ตอนนั้น ก็ไม่ได้มีอะไรเลยคือพี่เมษคือคนลวงหลอก (หัวเราะ)
หลอกลวงที่สุดในเรื่องนี้แล้วล่ะ คือ พยายามทำเป็นการเป็นงาน เพราะตอนนั้นบทอะไรก็ยังไม่ค่อยเสร็จ แต่ว่าเขาต้องทำยังไงก็ได้ ที่จะเล่าเรื่องอะไรก็ได้ ที่ให้ณเดชน์แบบตกลงเล่น อะไรประมาณนี้ (หัวเราะ) ซึ่งพี่เมษบอกเราอีกทีตอนถ่ายไปกลางเรื่องแล้ว ผมบอกผมไม่รู้เลยนะ แล้วผมก็เลยถือว่าพี่เป็นคนที่หลอกลวงที่สุดในเรื่องนี้แล้วแหละ”
แม้ชื่อเรื่องจะ “หล่อ” แต่ความจริงคือถูกยำซะจนไม่หล่อ ขอบคุณ “ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์” ที่เป็นครูการแสดงด้านคอมเมดี้ได้ดี
“อย่างบางฉากมันต้องตึ่งโป๊ะ แรกๆ ก็ไม่ค่อยได้ อาจจะยากหน่อยแล้วก็คือมันไม่เคยทำ มันก็จะแบบ เฮ้ย มันจะเป็นยังไง มันจะได้เหรอ หรืออะไรแบบนี้ คิวแรกๆ ก็จะมีความกังวล แต่พอพี่เมษเขาก็เขียนว่าให้เราได้ลองทำแบบนี้ ลองทำดูก่อน แล้วเดี๋ยวมาเช็กเพย์แบ็กดูว่าแบบหนึ่งกับแบบสอง มันแตกต่างกันยังไง แบบไหนที่รู้สึกว่ามันสนุกมากกว่ากัน
เขาก็แนะนำให้เราได้ลองจับทางดู พอเราปลดล็อกตรงนี้ได้ มันก็ไหลมาเรื่อยๆ เลย เพราะปกติผมก็บ้าๆ บอๆ อยู่แล้ว แต่พอไปหน้าเซต มันจะก็จะเป็นอีกแบบ ซึ่งก็ได้ใบเฟิร์นช่วย ถือว่าเป็นอาจารย์ของผมแล้วกัน คอยให้กำลังใจ คอยแนะนำ คอยแบบเฮ้ย พี่อย่าไปคิดเยอะ คอมเมดี้อย่าไปคิดเยอะ (หัวเราะ) เล่นไปเลย รู้สึกไงก็เล่นไปเลย
ซึ่งใบเฟิร์นทำงานด้วยกันและสนุกมาก แล้วก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์นะครับ ถ้าแบบอยู่สบายๆ ใบเฟิร์นก็จะแบบโลกสบายๆ เด็กชิลๆ แต่พอไปออนเซ็ตอยู่หน้ากล้อง เขาก็แบบเป็นคาแร็กเตอร์ของเขา เป็นผู้หญิงที่แบบอ่อนโยนน่าสงสาร น้องเก่งมาก (คือสวยแต่โก๊ะงี้เหรอ?) ชีวิตจริงอาจจะโก๊ะครับ แต่ในเรื่องนี้น่าจะเลยคำว่าโก๊ะไปนิดนึงนะ
ส่วนชื่อเรื่องอ้ายคนหล่อลวง ใช่มันคือชื่อเรื่อง แต่สภาพข้างใน อาจจะไม่ค่อยหล่อเท่าไหร่ เดี๋ยวเราต้องไปรอดู เพราะเราไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องหล่อ ต้องอะไรเลย เพราะ GDH ก็พยายามทำให้ผมไม่หล่อมาสักพักแล้ว แต่ว่าคงไม่เป็นเรื่องยาก ผมก็เหนื่อยไม่รู้จะทำยังไง (หัวเราะ)
จริงๆ ประโยคนี้ผมไม่ควรเล่นแบบนี้นะพี่ (หัวเราะ) เขาก็ไม่ซีเรียส เขาก็แบบขอฮาๆ กว่านี้ หรือขอเอาอีกแบบนึง เอาแบบเล่นเสียงกว่านี้ เล่นหน้าเล่นตาอะไรงี้ ก็มีแบบให้เราได้ลอง คือเราไม่ได้คิดเรื่องหล่อเลย คิดแค่เรื่องแบบคนจนอยากเป็นผู้ดีตามบทที่ถูกบรีฟมา เพราะในคาแร็กเตอร์มันจะเป็นแบบคนที่ทะเยอทะยาน เห็นแก่ตัว กุ๊ยๆ หน่อย ก็ตามสภาพแทบจะแบบไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์อะไรเลย”
ยอมรับว่า “เรื่องเยอะ” ในการเลือกแต่ละบท เพราะไม่อยากให้คนดูด่าลับหลัง
“การเล่นหนังแต่ละเรื่องของผม คือเลือกจากบทด้วย เลือกจากโปรดักชั่นด้วย แล้วก็มุมมองของทีม ทีมของการกำกับ แล้วก็ทีมของเอเยนซีผมด้วย ไม่ว่าจะเป็นพี่เอ (ศุภชัย ศรีวิจิตร) พี่อ๋า (ผู้จัดการ) ทุกคนก็ต้องมาตกลงกัน แล้วมองภาพกันว่าควรจะเป็นยังไง มันจะเวิร์กไหมนะ บทแบบนี้จะเป็นยังไง ใครทำอะไรประมาณนี้
อย่างที่ผ่านมาก็มีบทหลากหลายเข้ามา ซึ่งจริงๆ ก็มีโอกาสที่จะได้เล่นในหลายๆ ครั้ง แต่ว่าบางครั้งมันอาจจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมหรือบางทีเราติดถ่ายละคร บางทีอาจจะมีเปอร์เซ็นต์เสี่ยงอะไรอย่างงี้ ซึ่งถ้าพูดถึงละครเนี่ยเราก็มีโอกาสได้เลือกอยู่แล้ว พอพูดถึงละครแล้วมันดูเป็นอะไรที่คนดูจะเข้าถึงง่ายกว่า เพราะเป็นภาพยนตร์คนดูต้องเสียเงินเข้ามา เพราะฉะนั้นการที่ทำให้เขาไม่ด่าเราต่อ (หัวเราะ)
การที่ทำให้เขาเสียเงินเข้ามา มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ฉะนั้น เลยต้องค่อยๆ ดูค่อยๆ ทำทีละนิดนึงสำหรับภาพยนตร์ อีกอย่างผมว่าทางโปรดักชั่นอยู่แล้วที่เขาจะมีวิธีการถ่ายทำ ว่าจะทำยังไงให้มันดูแตกต่างจากละครที่เราเคยเล่นมา ซึ่งผมว่าด้วยจังหวะด้วยเรื่องราวและไทม์มิ่งของบท มันก็บ่งบอกแล้วว่าเป็นภาพยนตร์ แต่ว่าละครมันมี 20-30 ตอน เพราะฉะนั้นมันก็ต้องยืดเรื่องราวให้กว้างขึ้นให้คนดูเข้าใจมากขึ้นอะไรอย่างงี้ แต่ภาพยนตร์มันต้องชัดเจนเพราะเวลามันออนแอร์แค่ชั่วโมงกว่าๆ เอง
เราก็ต้องให้เกียรติคนดู แคร์คนที่เขาจะเข้าไปเสียเงินดูเรา เพราะบางทีมันก็เป็นผลกับเราด้วยนะ บางทีสมมติว่าหนังไม่เวิร์กหรือว่าถ่ายทำไม่ดี เราก็จะรู้สึกไม่ดีด้วย รู้สึกแย่ รู้สึกนอยด์ไปด้วย รู้สึกไม่อยากทำงานแล้วอะไรแบบนี้ สุขภาพจิตเราจะแย่ไปด้วย”
เช็กความขำจากหลังมอนิเตอร์ ไม่กดดันเพราะทุกอย่างทำเต็มที่แล้ว
“ผมว่าด้วยประสบการณ์ แล้วก็ความอยากที่จะทำงานจึงทำให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบตามที่เราต้องการ แล้วก็ทีมงานของ GDH จริงๆ เขาก็ทำงานกันแบบมืออาชีพเหมือนกันนะ แบบเรื่องการเตรียมงาน เรื่องการวางคาแร็กเตอร์ แล้วก็มีการทำการบ้าน อย่างเวิร์กช็อปแล้วก็คุยกันกับพี่เมษคุยตลอดปรึกษากัน อันไหนดีอันไหนไม่ดี ควรประมาณไหน
ซึ่งมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าเราเชื่อใจผู้กำกับ เชื่อใจทีมงานด้วย บางทีแบบใบเฟิร์นเล่น พี่แหม่ม (คัทลียา กระจ่างเนตร) เล่น แบงค์ (ธิติ มหาโยธารักษ์) เล่น ที่ผมเล่นหรือพี่เผือก (พงศธร จงวิลาส) เล่น แล้วเราได้ยินเสียงหัวเราะจากคนที่อยู่หลังกล้องหรือเสียงหัวเราะจากมอนิเตอร์เสียงหัวเราะจากทีมงานหรือเสียงกุ๊กกิ๊กๆ อะไรอย่างนี้มันก็เป็นเหมือนกำลังใจเหมือนกัน เหมือนเขาตลกกับสิ่งที่เราเล่น
ถามว่าผมคาดหวังมากไหม ในส่วนตัวผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย เพราะในฐานะที่เราทำการแสดงไปเรียบร้อยแล้วนะครับ แต่ที่อยากให้ทุกคนมาดูเพราะว่าจริงๆ แล้วมันก็เป็นความตั้งใจของนักแสดงกับทีมงานทุกคน ที่อยากทำหนังคอมเมดี้ที่เกี่ยวกับการต้มตุ๋นหรือหลอกลวงคน
ซึ่งอันนี้พี่เมษเขาก็บอกว่ามันไม่ค่อยมีใครทำแนวนี้ แล้วแกก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ วิธีการมันก็จะยาก เหมือนเป็นอีกด่านหนึ่งของ GDH ที่เป็นเหมือนการบ้านที่ต้องทำเยอะ ซึ่งมันบวกกับการเป็นคอมเมดี้ บวกกับเรื่องราวที่แบบคนดูจะลุ้นว่า แผนการต่อไปจะเป็นยังไง จะทำสำเร็จไหม แล้วก็เรื่องหัวใจของทั้งสองคนจะเป็นยังไง
มันก็เลยแบบว่าคนดูน่าจะชอบ คนดูน่าจะรู้สึกดีไปด้วยมัน เพราะมีทั้งตลก มีทั้งรัก มีทั้งแบบแซดๆ เศร้าๆ เบาๆ ส่วนรายได้จะได้เท่าไรก็ได้ แต่ผมว่าทุกคนก็คงหวังว่า ลงทุนไปแล้วก็คือธุรกิจ ก็อยากจะได้กำไรอยู่แล้ว ก็สาธุขอให้ได้เยอะๆ (ยิ้ม)”
เข้าใจกระแสความคาดหวัง ลั่นเป็นหนังรวมญาติได้ถีบตัวเองไปด้วย
“ผมเข้าใจว่ากระแสก็ต้องคาดหวังเพราะเป็นณเดชน์เล่น แต่จริงๆ แล้วเรื่องนี้มันไม่ใช่เราคนเดียวนะ มันมีทั้งใบเฟิร์น มีทั้งแบงค์ พี่แหม่ม แล้วก็พี่เผือกด้วย รวมถึงพี่เต๋อ (ฉันทวิชช์ ธนะเสวี) จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของทุกคนเลย ประมาณเป็นหนังรวมญาติ
ผมก็รู้สึกดีใจที่ได้ทำงานกับนักแสดงคนอื่นๆ แบบนี้มันให้เราพัฒนาตัวเองด้วย ให้เราได้ถีบตัวเองขึ้นมาด้วย (คิดว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้สียงหัวเราะชนะโควิดไหม?) ผมว่าตอนนี้ สถานการณ์ก็เริ่มโอเคขึ้นในระดับหนึ่ง จริงๆ แล้วก็ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยของโควิด ผมว่าโรงหนังเขาคงมีมาตรฐานแล้วแหละ ไม่ว่าจะเป็นการฉีดฆ่าเชื้อ
ผมว่าจริงๆ ถ้ารู้สึกเหนื่อยๆ เหงา เบื่อๆ จากการทำงานแล้วก็ไม่ได้เที่ยวไหน ก็ชวนเพื่อน ชวนแฟน ชวนคนที่บ้านไปดู ไปเอาเรื่องหัวเราะเข้าไปในชีวิตบ้าง สำหรับช่วงเวลาของใครหลายๆ คนอาจจะเหนื่อยจากการทำงาน ก็รับรองว่าทุกคนจะไม่ผิดหวังแน่นอน สนุกจริงๆ แล้วก็ฮาด้วยครับ และผมเพิ่งจะมารู้ตอนประมาณไม่ถึงเดือน ตอนที่เข้าไป GDH แล้วทุกคนก็บอกว่าเพลงประกอบเสร็จแล้วนะ นี่ก็ถามใครร้อง เขาก็บอกเป็นแบมแบม (กันต์พิมุกต์ ภูวกุล) ก็แบบโห...สุดยอดมากเลย มันก็เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ก็จะมีแฟนคลับอากาเซ่ของแบมแบม (หัวเราะ) ช่วยแบบว่าอุดหนุนหนังกันเยอะๆ
ก็ไม่กดดันเลย (หัวเราะ) ดีใจมากๆ คือแบบอย่างน้อยก็มีเพลงเพราะๆ ให้ทุกคนได้แบบไปฟังเพลงก็ได้ หนังสนุกด้วย เพลงก็เพราะด้วย”