“ปราโมทย์ แสงศร” เผยยอมเล่นละครในรอบ 10 ปี เพราะเพื่อนในวงการที่มีอยู่คนเดียว! ลั่นถูกดึงให้ออกมาทำงาน บอกดีกว่านอนอยู่บ้าน แม่ดีใจมากยอมโกนหนวดทิ้ง เลิกเป็นโจร ปรับทัศนคติเรื่องงาน ช่วงวัยรุ่นแยกแยะไม่ได้ ลั่นไม่ใช่คนดี ถึงโสด ไม่มีใครทนได้
แฟนๆ ยุค 90 อะเมซิ่งสุดๆ ที่เห็น “ปราโมทย์ แสงศร” โดดรับงานละครในรอบ 10 ปี โดยหลังเสร็จสิ้นพิธีบวงสรวงเปิดกล้องละครชุด “อย่า อยู่ อย่าง อยาก The Series” ณ ศาลพระพรหม สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส (Thai PBS) เจ้าตัวก็เผยว่าได้กลับมาเล่นละครครั้งนี้ เพราะเพื่อนสนิทที่มีอยู่ในวงการเพียงคนเดียวชวนมา
“นานแล้ว ยิ่งกว่าหนังอีก ผมนับไม่ได้เลย มี 10 ปีขึ้น ก็ตัดสินใจพักใหญ่เลยก่อนรับเล่น พอดี สมชาย เข็มกลัด โทร.มาหาว่าเฮ้ย มึงเล่นเปล่า มาเป็นแก๊งเดียวกัน รุ่นเดียวกัน กูอ่านบทแล้วกูรับเล่นแล้ว เลยลองอ่านดูแล้วก็รับ มันไม่ใช่ละครรัก มันเป็นเรื่องราวตลก สะท้อนสังคม มองได้หลายแง่มุม ให้กำลังใจคนที่ตอนนี้กำลังแย่กันหมด
นอกจากบทแล้วเต๋าก็มีส่วนในการตัดสินใจที่ทำให้ผมกลับมารับงานเบื้องหน้าอีกครั้ง ช่วงนี้ยังไม่ได้ทำอะไรด้วย สนใจมั้ย ดีกว่านอนอยู่บ้าน สมชายบอกออกมาทำงานบ้าง ออกมาเจอผู้คน ก็เลยออกมารับเล่น แล้วก็ไม่ได้เล่นบทคอมเมดี้นานแล้วด้วย”
ยอมโกนหนวดทิ้งหมด หลังจากไว้มาตลอดเป็น 10 ปี บอกแม่ดีใจมาก
“ใช่ครับ เพราะถ้าไม่โกนจะดูไม่เหมาะ พอโกนหนวดออกแม่ดีใจมาก แม่บอกว่าจะเล่นแต่เป็นโจรอย่างเดียวเลยหรือไงในชีวิตนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับมาไว้อีกไหม ถ้างานทุกอย่างเสร็จแล้วคงปล่อยๆ ไปก่อน”
ไม่รู้รักการไว้หนวดหรือไม่ แต่บอกรู้สึกคุ้นกว่า คนจำได้มากขึ้น
“ไม่รู้เหมือนกัน มันรู้สึกคุ้นกว่า แต่พอโกนแล้วคนก็จำได้มากขึ้น ตอนนี้ไม่โกนคนก็จะไม่ค่อยรู้จัก เพราะเขาติดภาพเราที่ไม่มีหนวด”
เผยเพื่อนในวงการเหลือเต๋าคนเดียว ช่วงวัยรุ่นแยกแยะเรื่องบทไม่ได้
“กับสมชาย เราร่วมงานกันมานานแล้ว เป็นเพื่อนที่อยู่ในวงการที่เจอกันบ่อยที่สุด ตอนนี้เพื่อนในวงการผมก็เหลืออยู่คนเดียวครับ ดูแล้วนึกถึงใครไม่ออกเลย พอได้มาทำงานก็รู้สึกดีครับ คือผมมองว่ามันเป็นเรื่องของทัศนคติมากกว่า ทั้งในเรื่องการทำงาน และบท
คือช่วงวัยรุ่นไม่ค่อยแยกแยะไง เฮ้ย ตัวฉันไม่ได้เป็นแบบนี้ ทำไมต้องมาเล่นแบบนี้ว่ะ ฉันเป็นแบบนี้ทำไมต้องมาแต่งตัวอะไรแบบนี้ เมื่อก่อนจะมีคำถามแบบนี้ตลอด ด้วยเราทำงานมาตั้งแต่อายุ 16 ปี แต่พอโตขึ้นเราก็แยกแยะได้ว่านี่มันคือการทำงาน ชีวิตนักแสดงก็คือการให้ความสุขกับคนดูให้เขาดูแล้วรู้สึกสะท้อนถึงชีวิตตัวเองบ้าง คิดอะไรอยู่ มองอะไรอยู่ ละครทำงานกับตรงนี้ได้กับคน เมื่อก่อนจะไม่คิดแบบนี้ พอได้กลับมาก็รู้สึกว่า เออว่ะ มันถึงเวลาแล้วที่เราจะกลับให้ความสุขกับผู้คน”
รับไม่มีใครคิดว่าจะกลับมารับงานเพราะถูกมองว่าติสต์ ทั้งที่ไม่ติสต์
“ใช่ครับ ทุกคนจะบอกว่าพูดกับผมไม่รู้เรื่อง เฮ้ย แม่_ติสต์ จริงๆ แล้วไม่ได้เป็น และไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้นเลย เราคิดแค่ว่างานนี้เราชอบ งานนี้เราไม่ชอบ งานนี้เราเหมาะ งานนี้เราไม่เหมาะ แต่ตอนนี้เราได้ปรับทัศนคติของเราใหม่แล้ว ทุกอย่างมันก็จบ คือทำงานให้มีความสุข รับบทที่ได้แสดงมากขึ้น ห่างจากตัวเราบ้าง ซึ่งเรื่องนี้คือเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่มีลูก มีครอบครัว เมื่อก่อนคือจะ...ไม่ใช่ จะไม่ยอมแก่ บทที่ฉันเล่นคือไม่ควรจะมีลูก (หัวเราะ) แต่พอได้มีลูกก็น่ารักดี ทำการบ้านดูจากเพื่อนๆ ดูจากข่าวในปัจจุบัน พยายามศึกษาจากตรงนั้น ก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ในการปรับตัว”
ชีวิตจริงไม่มีครอบครัว โสด ไม่น่ามีใครทนได้ ลั่นกูไม่ใช่คนดีแน่ๆ
“ในชีวิตจริงไม่มีครับ ก็เลยไม่อยากเล่น แต่ก็ลองดูซะหน่อยแล้วกันว่าเป็นยังไง ผมโสดครับ คือไม่น่าจะมีใครทนผมได้ จากการสรุปตัวเองแล้วกูไม่ใช่คนดีแน่ๆ (หัวเราะ) กูเหมือนคนดีแต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ก็น่าจะอยู่กับแม่นี่แหละครับ”
เคยผ่านการมีแฟนมาแล้ว
“ถามว่าเราคิดไปเองหรือเปล่าหรือมีประสบการณ์ น่าจะ ผมเคยมีแฟนครับ ก็ผ่านมาแล้วผ่านไป หรือว่าเอาใจยาก หรือว่าติสต์ หรือว่าอะไรก็ไม่รู้ ก็อยู่แบบโสดๆ ไป หรือว่าอาจจะยังไม่เจอใคร แต่ตอนนี้แม่ดีใจมากที่ตอนนี้ลูกโกนหนวด”
รับแม่ทนไม่ไหว ถึงขั้นจะหาเมียให้ลูก
“โอ้ย เขาถามจนเลิกถามไปแล้ว แม่คงทนไม่ไหวระดับนึงแล้ว แม่ถึงขั้นจะหาให้ แม่เอ่ยปาก แม่หาให้ไหม ไม่ๆ เราก็เฉยๆ จนเขาเลิกถาม เลิกหาให้ไปแล้ว ก็คงจะอยูโสดๆ กับแม่ไป”