ไปๆ มาๆ กระแสการชุมนุมเกี่ยวกับการเมือง ก็ถูกโยงมาเกี่ยวกับบุคคลในแวดวงบันเทิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปฐมบทสืบเนื่องมาจากกรณีที่ 2 ศิลปินบอยแบนด์ K-POP สายเลือดไทย อย่าง “แบมแบม - กันต์พิมุกต์ ภูวกุล” หรือ แบมแบม GOT7 ได้เคลื่อนไหวด้วยการทวีตข้อความลงในทวิตเตอร์ ใจความว่า
“ความรุนแรงไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ ได้ อย่าใช้ความรุนแรงกับประชาชน การเปิดใจรับฟังและเคารพในสิทธิเสรีภาพของแต่ละคนเป็นจุดเริ่มต้นของทางออก ขอให้ทุกคนดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
ขณะที่บอยแบนด์รุ่นพี่อย่าง “นิชคุณ หรเวชกุล” หรือ นิชคุณ 2PM ก็แสดงความคิดเห็นในทิศทางเดียวกัน
“การใช้ความรุนแรงเป็นสิ่งที่ผมทนดูไม่ได้ ความรุนแรงไม่เคยไม่เคยช่วยอะไร ขอให้ทุกๆ คนปลอดภัยนะครับ HOTTEST ต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
เมื่อมีความเคลื่อนไหวออกมาจากฝั่งของศิลปินสายเลือดไทยที่ไปโด่งดังที่เกาหลีออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนจะจับตามองไปที่ “ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล” จากวงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังอย่าง BLACKPINK ว่าจะมีความเคลื่อนไหวออกมาในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ? อย่างไร ? ในฐานะที่ลิซ่าเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลในโลกโซเชียล ที่มีผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่า 40 ล้านคน
ทว่ากลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ออกมาจากฝั่งของลิซ่า เป็นเหตุให้มีผู้คนกลุ่มหนึ่งออกมาแสดงอาการต่อต้าน กับการเพิกเฉยต่อกรณีดังกล่าว ซึ่งกำลังเป็นเหตุการณ์ที่คนไทยทั้งประเทศกำลังให้ความสนใจ ถึงขนาดพากันประกาศว่าจะเลิกติดตามผลงานของเธอ
จุดชนวนให้กลายเป็นดรามาข้ามประเทศทันที !!!
ฃกระทั่งก็ยังมีกลุ่มแฟนคลับที่เข้าอกเข้าใจ และออกมาอธิบายถึงเหตุและผล ที่ลิซ่า ไม่ออกมา Call Out ว่า น่าจะมีสาเหตุมาจากการที่ตัวของลิซ่าเอง ติดพันธะสัญญาในฐานะพรีเซ็นเตอร์ หรือแบรนด์แอมบาสเดอร์สินค้าระดับโลกหลายตัว ทำให้ไม่สามารถที่จะทำอะไรตามใจตัวเองได้ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำจะไปกระทบกระเทือนถึงภาพลักษณ์ของสินค้าหรือไม่ !!?? ฉวยถ้าเกิดมีปัญหาตามหลังขึ้นมา จะโดนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันเป็นพันล้านเลยทีเดียว
จากนั้นก็นำพาไปสู่การตั้งคำถามต่อพฤติกรรม “โซเชียลบุลลี่” ที่เกิดขึ้นกับลิซ่าในครั้งนี้ ว่ามีความถูกต้อง เหมาะสมแค่ไหน !!?? ทั้งที่บทบาทในฐานะหนึ่งในเกิร์ลกรุ๊ป BLACKPINK ของลิซ่า ถือเป็นการสร้างชื่อเสียงอันอเนกอนันต์ให้กับประเทศไทยต่อสายตาของคนทั้งโลก แต่กลับมาโดนคนไทยด้วยกันเองคุกคาม เพียงเพราะการไม่ออกมาแสดงท่าทีเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองอย่างนี้
แม้แต่ดารา นักแสดงหลายคนในบ้านเรา ก็พากันโดน Side Effect ในครั้งนี้ไปตามๆ กัน
ไม่ว่าจะเป็น “อั้ม – พัชราภา ไชยเชื้อ” ที่ถูกผู้ไม่หวังดี สร้างแอคเคาน์ปลอมขึ้นมา และไปแสดงความคิดเห็นในที่ต่างๆ โดยโยงไปถึงเรื่องของการเมือง ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ส่งผลกระทบมาถึงนางเอกเบอร์หนึ่งตรงๆ จนเจ้าตัวต้องออกมาโพสต์ชี้แจงทำความเข้าใจ
ขณะที่นางเอกดังฝั่งพระรามสี่ อย่าง “ญาญ่า-อุรัสยา” เจ้าของยอดฟอลโล 10.3 ล้านคน ก็โดนกระแสต่อต้าน ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่าเพิกเฉยต่อการออกมา Call Out ในลักษณะที่ไม่ต่างจากที่ลิซ่าโดน
ไม่เพียงเท่านั้น นักแสดงอีกหลายคนก็เจอดรามาถล่ม เพียงเพราะวางตัวเป็นกลาง และไม่ออกมาเคลื่อนไหว หรือแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง จนกลายเป็นที่มาของแฮชแท็ก ....
# วันนี้ดาราCallOut หรือยัง
โดยส่วนใหญ่มองว่า หากศิลปิน ดารา นักร้อง นักแสดงดังๆ ที่มีผู้ติดตามในโลกโซเชียลมากมายออกมาเคลื่อนไหว และเป็นกระบอกเสียงให้ ก็น่าจะส่งผลให้ทิศทางของการชุมนุมเป็นไปอย่างที่คาดหวัง
การนิ่งเฉย ถูกตีค่าเท่ากับไม่เป็นประชาธิปไตย
ผลที่ตามมา ก็คือยอดผู้ติดตามและให้การสนับสนุนศิลปิน ดารา นักร้อง นักแสดงเหล่านั้น ลดฮวบลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น “ชมพู่-อารยา” , “เป๊ก-ผลิตโชค” ฯลฯ
ทั้งที่ในความเป็นจริง การจะแสดงออก หรือไม่แสดงออกทางความคิดเห็นใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง หรือเรื่องใดๆ ก็ตาม ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่สมควรที่จะถูกคุกคาม แอนตี้ เรียกร้อง หรือกดดันให้ทำอย่างนั้น ให้คิดอย่างนี้ ตามที่คนอื่นคาดหวังให้เป็น
โดยเฉพาะในวิถีแห่ง “ประชาธิปไตย” ที่ทุกคนกำลังเรียกร้องกันอยู่ !!!
ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24-30 ตุลาคม 2563