xs
xsm
sm
md
lg

เจ็บตัวไม่มาก! “ฉอด สายทิพย์” ลั่นโชว์บิสสะดุดรายได้หาย 100 ล้าน! ฟันรายได้ปีนี้ 400 ล้าน ไม่ตามเป้า

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผงาดหลังวิกฤต “เจ๊ฉอด” เดินหน้าคว้ามงตำแหน่ง “เจ้าแม่ละครทีวีปี 2020” เตรียมร่วมงานกับนางเอกตัวแม่ ปัดเช้นจ์ 2561 เนื้อหอม เพียงแต่ทุกคนให้โอกาสและไว้ใจในการทำละคร ยอมทิ้ง 100 ล้าน หลังเกิดโควิด ทำให้โชว์บิสต้องสะดุด เผยคลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์ปีหน้ามีเซอร์ไพรส์

ปฏิเสธไมได้เลยว่าตลอด 3 ปีที่ “เช้นจ์ 2561” เปิดตัวอย่างเป็นทางการภายใต้การบริหารของ “ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา” และ “เอส วรฤทธิ์ ไวยเจียรนัย” พร้อมผู้กำกับคู่บุญ “กู่ เอกสิทธิ์ ตระกูลเกษมสุข” ทำให้ทุกคนประจักษ์แล้วว่าผลงานแต่ละชิ้น ถ้าไม่การันตีด้วยรางวัล ก็ต้องเป็นที่โจษจันในด้านของกระแส จึงไม่แปลกที่หลายช่องใหญ่ต่างเทียบเชิญ “เช้นจ์ 2561” ให้ร่วมงานด้วย โดยเฉพาะเอกลักษณ์เฉพาะที่มีความเรียล ทันยุคทันสมัย โดนใจในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนเร็วขนาดนี้ ด้านผู้บริหารสุดสตรองเนื้อหอมอย่าง “เจ๊ฉอด” ก็เผยว่า ช่วงโควิด-19 ที่ทุกคนต้องทำงานอยู่บ้าน แต่ “เช้นจ์ 2561” ต้องเตรียมโปรเจกต์เพื่อนำเสนอช่องต่างๆ ตามโจทย์ที่ได้รับมาตั้งแต่ต้นปี

“สำหรับช่อง 3 เพิ่งเริ่มคุยกันปีนี้เอง ไม่ได้คุยกันมาตั้งนานเหมือนที่ข่าวลง อย่างตอนที่มีภาพว่าเราไปคุยกับช่อง 8 คือเป็นการไปคุยครั้งแรก แต่ยังไม่ได้สรุปอะไรเลย ข่าวก็เขียนไปใหญ่โตแล้ว ซึ่งช่อง 8 เขาก็เชิญมา แต่ล่าสุด ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร ส่วนช่อง 3 เขาก็ชวนมาเหมือนกัน โดยเรื่องแรกที่เราทำ คือ รากแก้ว ที่ได้ เจนี่ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร, เก้า สุภัสสรา ธนชาต, พีช พชร จิราธิวัฒน์, หลุยส์ สก๊อต อันนี้นักแสดงก็ตามที่ชาวเน็ตว่าแหละ (ยิ้ม) ส่วนสำหรับการวางตัวนักแสดงที่เกิดขึ้น เราไม่รู้ว่าคิวของนักแสดงของช่องว่างไหม เราก็วางตัวเอาไว้ก่อน แต้ท้ายที่สุดแล้วจะลงตัวที่ใคร ก็แล้วแต่ช่องตัดสินใจ

อย่างเจนี่ น้องก็เป็นนักแสดงคุณภาพคนนึง แต่ที่ตื่นเต้นกว่าคือการได้ร่วมงานกับช่อง 3 และพอไปทำช่อง 3 เราต้องเข้าใจว่าสปอตไลต์มันจะส่องมาที่เราทันที มันก็เป็นความท้าทายกับทาร์เก็ตคนดูของช่อง 3 ซึ่งส่วนนึงเราก็ทำในแบบของเรา แต่เราก็ต้องแคร์คนดูของช่องด้วย ทางช่องเองก็แนะนำ ปรับจูนว่าคนดูของช่องเป็นยังไง ซึ่งเรื่องนี้พี่กู่ กำกับน่าจะเปิดช่วงปลายตุลาคม และออนแอร์ประมาณมีนาคม”

ส่วนอีก 3 นางเอกที่ถูกจับตามองไม่แพ้กัน ทั้ง “มาร์กี้ ราศรี จิราธิวัฒน์, แซมมี่ เคาวเวลล์” รวมไปถึง “วาววา ณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด” นางเอกคนล่าสุดที่มีข่าวลือว่ากำลังจะหมดสัญญา พร้อมจะแกรนด์โอเพ่นนิ่งเป็น “นักแสดงอิสระ” เร็วๆ นี้อีกด้วย

“ส่วนกับมาร์กี้ก็ยังไม่ได้คุยกันเลย และน้องก็ไม่ได้เล่นสายรุ้ง เพราะสายรุ้งก็ยังทำให้ที่ช่องวันเหมือนเดิม แต่อาจจะทำหลังกระเช้าสีดา ซึ่งนางเอกของสายรุ้งก็อยู่แถวตึกนั่นแหละ (หลายคนมองว่าเป็นแซมมี่?) ต้องไปถามพี่ป้อน นิพนธ์ ผิวเณรเลย อันนี้เราไม่สามารถตอบแทนได้ (แล้ววาววาที่จะมาเล่นให้กับช่องอัมรินทร์?) ก็มีหลายๆ คน เพราะโจทย์ของแต่ละคนที่มาร่วมงานกับเรา เพราะเขาอยากจะลองทำอะไรใหม่ๆ และเขามองว่าเราสามารถให้อะไรที่แตกต่างได้ หรือบางคนอยากจะเล่นคลับฟรายเดย์สักครั้งนึง อันนี้ฟังมาจากน้องๆ ที่เขามาเล่นกันนะ เหมือนเป็นการคุยกันต่อๆ หลังจากออกมาเป็นนักแสดงอิสระ”

ส่วน “คลับฟรายเดย์ เดอะซีรีส์” ที่วันนี้เดินทางมาถึงซีซันที่ 12 เป็นซีรีส์ที่ต้องบอกได้เลยว่าเป็นประตูบานแรกของนักแสดงทุกคนที่กำลังเริ่มตนเป็น “นักแสดงอิสระ” หรือพูดง่ายๆ ว่าถ้าอยากจะประกาศตัวตนว่าฉันไร้สังกัด ซีรีส์เรื่องนี้จะเป็นเส้นทางสู่การแกรนด์โอเพ่นนิ่ง เผลอๆ เล่นดี ใจถึง รับรองว่า “บทนำ” ก็ทำให้คุณกลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ ได้แน่นอน และในปี 64 ที่จะมาถึง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของซีรีส์เรื่องนี้

“อย่างที่บอกว่าเช้นจ์เป็นคนผลิตคอนเทนต์ เพราะ 50% เราเน้นผลิตละคร และโปรเจกต์ปีนี้ก็มีผลักไปปีหน้า ก็จะมีเข้มข้นและหลากหลายมากขึ้น และก็จะลุยออนไลน์มากขึ้น อย่างคลับฟรายเดย์ เดอะซีรีส์ ก็เดินทางมานานแล้ว ก็แน่นอนก็มีการคิดว่าจะเดินทางไปทางไหนต่อ หรือเรื่องของการย้ายช่อง โดยมารยาทแล้ว เราควรจะอยู่ในช่องเดิม หรือบางทีเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น แต่เราก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะย้ายหรือไม่ ส่วนมีแพลนไหม แพลนมันจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเกิดความเหมาะสม และยิ่งเป็นช่องในตึกด้วย ด้วยมารยาทแล้วก็พูดอะไรไม่ได้มาก (เห็นว่าย้ายจาก gmm25 มาช่องวัน?) ณ ตอนนี้ยังเป็นการปรับกันภายในตึกกันเองว่าจะยังไง อันนี้ยังไม่ข้ามไปตึกไหน ก็ต้องรอฟังว่านโยบายเขาเป็นยังไง”

นอกจาก “เช้นจ์ 2561” จะผลิตละครเป็นคอนเทนต์หลักของบริษัทเกือบ 50% แล้ว แต่อย่าลืมว่า “เจ้าแม่โชว์บิส” อย่าง “เจ๊ฉอด” ก็ถือว่ายืนหนึ่งในเรื่องการทำโชว์ การทำคอนเสิร์ตที่เรียกได้ว่าบัตรเต็มทุกที่นั่ง แต่พอเกิดวิกฤตโควิด-19 ขึ้น ทำให้โชว์บิสของเช้นส์ทั้งหมดต้องถูกเลื่อนไปอย่างไร้กำหนด ไม่ว่าจะเป็น 3 คอนเสิร์ตใหญ่ทั้ง “ดา เอ็นโดรฟิน, สาวสาวสาว, สี่แยกปากหวาน” แต่ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ กับ “เลิฟเฟส” งานเฟสติวัลกลางแจ้งริมหาดที่จัดในเดือน พ.ย. นี้ ส่วนสาเหตุที่ยังไม่พร้อมจัดอีเวนต์คอนเสิร์ต นอกจากต้องยอมทิ้งรายได้กว่า 100 ล้านไปแล้ว แต่เลือกเอาความสุขของคนดูเป็นหลัก เพราะถ้ามาแล้วทุกคนต้องมีข้อจำกัด ก็เลยเลือกที่จะไม่จัดดีกว่า

“อย่าเรียกว่าเป็นคอนเสิร์ตเลย เรียกว่าเป็นเลิฟเฟส เหมือนปีที่แล้วที่เคยจัดไปที่พัทยา พี่อ้อย (นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล) และเราเปิดกระโจมรับปรึกษาปัญหาความรัก ซึ่งปีที่แล้วเราจัดไปได้รับการตอบรับดีเยี่ยม ส่วนคอนเสิร์ตจริงๆ ก็ฤกษ์งามยามดีก็เลื่อนไปปีหน้าเลย เพราะก็ไม่แน่ใจว่าความพร้อมใดๆ จะพร้อมกันหรือยัง เพราะถ้าเราจัดตอนนี้ เราต้องยอมรับความจริงว่า การจัดวางที่นั่ง คนดูจะหาไปครึ่งนึงเลยก็ว่าได้ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องลงทุนเท่าเดิม เราไม่สามารถลดการลงทุนได้ เพราะเราต้องใส่เต็มทุกอย่างเหมือนเดิม เพราะสเกลมันเท่าเดิม มันอาจจะทำให้เราไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ ส่วนออนไลน์ก็มีเห็นหลายคนทำกันมาตั้งแต่หลังโควิด แต่ในมุมของเราเอง การดูออนไลน์ก็ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว การดูโชว์หรือดูคอนเสิร์ต มันเป็นกิจกรรมที่จำเป็นต้องไปสัมผัสในบรรยากาศจริงๆ ในฐานะคนผลิตงานมันเป็นอีเวนต์ที่ต้องไปในสถานที่จริงๆ มันถึงจะได้ความรู้สึก มันเป็นการได้สัมผัสถึงประสบการณ์ร่วมในตรงนั้นมากกว่า

ก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันผ่านกระบวนการความคิดมาหมดแล้วว่าจะทำหรือไม่ทำ สำหรับเราคิดว่าถ้าเราจัดแล้วขึ้นราคาบัตรเป็นการผลักภาระไปให้คนดู เพราะวันนี้เขาก็ไม่พร้อมหรอก ทุกวันนี้ยังลำบากกันอยู่เลย และการจัดเก้าอี้เว้นเก้าอี้อาจจะทำให้อรรถรสในการดูน้อยลง เพราะการดูคอนเสิร์ตมันเหมือนเป็นการสังสรรค์ แต่พอจัดคอนเสิร์ตในช่วงนี้มันเป็นการทำให้คนดูมีความสุขในแบบจำกัด การดูคอนเสิร์ตมันเป็นพฤติกรรมร่วม ถึงได้บอกว่าเช้นส์ยังหาทางออกไม่ได้เลย ก็ศึกษากับคนอื่นไปก่อน สำหรับปีนี้ทั้งออนไลน์และคอนเสิร์ตที่จัดยังไม่มีแพลน

โดยมูลค่าที่เสียหายไปก็เยอะสำหรับการเลื่อนออกไป รายได้ก็หายไปประมาณ 100 ล้าน ยังไม่ได้พูดถึงกำไร คือ หายไปจากการที่เราตั้งเป้าไว้ เพราะอย่างตอนปี 62 เช้นส์ตั้งเป้าไว้ 400 ล้าน และพอมาปี 63 เราก็ขยับมาเป็น 700 ล้าน แต่พอเกิดเหตุการณ์โควิด เราก็อาจจะกลับมาอยู่ที่ตัวเลขเดิม 400 ล้าน อาจจะไม่ได้เจ็บตัวมาก และสิ่งที่มันหายไป ส่วนใหญ่เป็นการเลื่อน ทั้งละคร โชว์บิส ก็เลื่อนตัวเลขไปปีหน้า แต่เราก็อาจจะโชว์ดีกว่าคนอื่นเพราะเราเป็นบริษัทรับจ้างผลิต เราไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุนเหมือนตอนเราทำช่อง”

 


















กำลังโหลดความคิดเห็น