กลายเป็นดรามาร้อนฉ่าตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเลยทีเดียว
เหตุเกิดจากกรณีที่นักร้อง-นักแสดงหนุ่ม “ไมค์ – พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล” ลุกขึ้นมายื่นคำร้องต่อศาลขออำนาจปกครอง “น้องแม็กซ์เวลล์” ลูกชายวัย 6 ขวบ ร่วมกับอดีตแฟนสาว "ซาร่า คาซิงกินี" พร้อมทั้งร้องขอให้ศาลพิพากษาให้เขาเป็นพ่อเด็กโดยชอบด้วยกฎหมาย
ภายหลังที่ไม่สามารถติดต่อกับอดีตแฟนสาวได้หลายเดือน
ทั้งยังถูกกีดกันไม่ให้พบหน้าลูก !!ถึงขนาดต้องนำภาพมาตัดต่อ
ขณะที่ฝั่งของซาร่า ก็ออกโรงมาคัดค้าน พร้อมทั้งอ้างสิทธิความเป็นแม่ ที่จะไม่ยอมให้ใครมาพรากลูกไปจากอก
โดยนัยนั้น ดูเหมือนจะพยายามให้สังคมมองว่าไมค์ไม่ได้รับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูก พร้อมทั้งเท้าความกลับไปถึงตั้งแต่แรกที่ตั้งท้อง ฝ่ายชายก็ไม่ยอมรับ ถึงขนาดต้องให้มีการตรวจ DNA
ทว่าเมื่อกลับไปดูเหตุการณ์ในครานั้น ก็ดูเหมือนจะมีข้อเท็จจริงบางอย่างที่ย้อนแย้งกันอยู่ เพราะไมค์ยอมรับตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นพ่อของเด็ก และการตรวจ DNA นั้น ก็เป็นความเห็นชอบของทั้งสองฝ่าย
พร้อมกันนั้น ก็มีข้อมูลยืนยันว่า ตลอดระยะเวลา 6 ปี ไมค์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูทั้งซาร่า และของลูกมาโดยตลอด ตกปีละไม่ต่ำกว่าล้านบาท
เฉพาะค่าเทอมโรงเรียนนานาชาติ ก็ตกปีละ 800,000 บาทเข้าไปแล้ว
ดรามาบังเกิดขึ้น ภายหลังที่ทั่วโลกประสบกับวิกฤตของโรคระบาดไวรัสโควิด – 19 ซึ่งกระทบกับงานหลักของไมค์ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ต่างประเทศ ทำให้รายได้ลดฮวบลง ขณะที่รายจ่ายยังเท่าเดิม ทั้งเรื่องลูก เรื่องธุรกิจ รวมๆ แล้วปีละประมาณสิบล้านบาท
เมื่อรายได้สวนทางกลับรายจ่าย ไมค์จึงจำเป็นที่จะต้องกลับมาทบทวน และบริหารจัดงานค่าใช้จ่ายในแต่ละส่วนใหม่หมด จึงเป็นที่มาของการหารือกับอดีตแฟนสาวว่าจะขอย้ายโรงเรียนให้ลูกชาย จากโรงเรียนนานาชาติ ไปเป็นโรงเรียนสองภาษา ซึ่งค่าใช้จ่ายถูกกว่า
ฝ่ายซาร่า ก็มองว่าเธอไม่ยอมที่จะให้ “คุณภาพชีวิต” ของลูกถูกลดลง ซึ่งถ้าไมค์ไม่สามารถดูแลเธอและลูกให้ดีได้เหมือนเดิม เธอก็จะพาลูกไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดที่จังหวัดภูเก็ต และจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดของลูกเพียงลำพัง
จุดนี้เองที่ทำให้สังคมมองเห็นถึงความพิลึกพิลั่น เพราะถ้าซาร่ามีกำลังมากพอที่จะดูแลลูกได้ตามลำพังที่จังหวัดภูเก็ตตามที่บอก ซึ่งก็ต้องย้ายออกจากโรงเรียนเดิมอยู่ดี จะดีกว่ามั้ย ? ถ้าทั้งคู่จะช่วยกันแชร์ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูก เพื่อแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน ลูกชายก็ไม่ต้องย้ายโรงเรียน ไม่ต้องถูก “ลดคุณภาพชีวิต” อย่างที่ซาร่าไม่ต้องการ ซึ่งก็เป็นตรรกะพื้นฐานของพ่อกับแม่ ที่จะต้องช่วยกันดูแลลูกอยู่แล้ว ไม่ใช่ผลักภาระให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ฝ่ายชายประสบปัญหาใหญ่ในเรื่องของหน้าที่การงานด้วยแล้ว ยิ่งไม่สมควรที่ฝ่ายหญิงจะนิ่งดูดาย และยืนกรานเรียกร้องให้ทุกอย่างเหมือนเดิม
โดยการใช้ลูกเป็นตัวประกัน !!!!
ถึงตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของชาวโซเชียลอีกครั้ง ที่ไปเสาะหาข้อมูลของโรงเรียนใหม่ที่ไมค์ตั้งใจจะให้ลูกย้ายไปเรียน ซึ่งทุกเสียงก็ยืนยันว่า แม้จะไม่ใช่โรงเรียนนานาชาติ แต่คุณภาพ ก็อยู่ในระดับท็อปเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี นอกจากในแง่ของการที่ไมค์จำเป็นต้องลุกขึ้นมาบริหารจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในทุกๆ ส่วน เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดน้อยลงไปตามสถานการณ์แล้ว
ว่ากันว่าส่วนสำคัญ ก็คือไมค์เองก็น่าจะเกิดความระแวดระวังว่ารายจ่ายที่เจ้าตัวรับผิดชอบปีละไม่น้อยนั้น จะถูก “ถ่ายเท” ไปที่อื่น แทนที่จะเป็นของลูกชายเต็มๆ ตามที่มีข่าวค (ร) าวสะพัดออกมาก่อนหน้านี้ว่า มีคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนหนึ่งตั้งท้องกับแฟนหนุ่มนายแบบชาวต่างชาติ ที่พอรู้ว่าฝ่ายหญิงตั้งท้อง ก็รีบชิ่งบินหนีไปต่างประเทศพอดี ซึ่งถ้าลองไล่เรียงจากไทม์ไลน์ตั้งแตกแรกที่มีภาพ และข่าวหลุดออกมาในสื่อต่างๆ จนถึงตอนนี้ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนดังกล่าวก็น่าจะคลอดลูกแล้ว
และประเด็นนี้ ก็ถูก “หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย” ในฐานะพิธีกรรายการ “โหนกระแส” นำมาตั้งคำถามกับ ซาร่าที่มาเป็นแขกรับเชิญ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไมได้มีการตอบรับ หรือปฏิเสธ
แต่ประโยคที่บอกว่าเรื่องนี้จะมีผลต่อรูปคดี ถ้ามีอะไรที่ชัดเจนแล้วจะออกมาพูดความจริงทั้งหมด !!!
ก็เพียงพอที่จะทำให้สังคมได้รับความกระจ่าง
ฉะนั้นแล้ว ถ้าไมค์จะลุกขึ้นมารักษาสิทธิที่ลูกชายของตัวเองพึงได้ ก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะใครจะรับประกันได้ว่า เงินที่จ่ายออกไป จะไม่ถูกใช้ไปกับการดูแลลูกของคนอื่น !!!
เพียงแต่เขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆ พูดแค่ว่าซาร่าจะมีลูกอีกคนจริงหรือไม่นั้น ? ก็ให้ไปถามกับอีกฝ่ายเอง แต่ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการยื่นคำร้องต่อศาล
ที่แน่ๆ การออกมาพูดกันคนละที สองที แบบหนังคนละม้วนนั้น คาดว่าเรื่องคงไม่จบง่ายๆ และไม่เป็นผลดีกับใครแน่นอน
โดยเฉพาะลูก !!!
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 19-25 กันยายน 2563