"ปั้นจั่น" เปิดใจ "น้าอ้อย กาญจนา" ออกรายการแต่ร่างกายทรุดหนักแล้ว เป็นทั้งมะเร็งและโรคหัวใจ ไม่บอกใครว่าเป็นหลานเพราะอยากเข้าวงการด้วยตัวเอง เผยรักเหมือนแม่ จะดูแลคนที่อยู่ ไม่รู้จะได้ยินมั้ย แต่อยากบอกให้น้าหลับให้สบาย อยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุข
หลังจากออกมายอมรับว่า "อ้อย กาญจนา จินดาวัฒน์" มีศักดิ์เป็นคุณน้าแท้ๆ แต่ไม่เคยบอกใคร ล่าสุดในงานรดน้ำศพ "ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโนทัย" ซึ่งมาช่วยงานในฐานะเจ้าภาพ ก็เปิดใจถึงเรื่องนี้อีกครั้ง โดยเผยว่าที่ผ่านมารักน้าอ้อยเหมือนแม่คนหนึ่ง
“จะมีผู้ใหญ่ในวงการไม่กี่คนที่ทราบ คุณแม่ผมเป็นพี่สาวน้าอ้อย ปั้นจั่นก็โตมารุ่นๆ เดียวกับน้องเพลง ห่างกันปีเดียว เมื่อก่อนไปวิ่งเล่นที่บ้านบ่อยเจอกันทุกอาทิตย์ พอโตแล้วช่วงประมาณ 5-6 ปีหลังพอโตเป็นผู้ใหญ่ทำงานก็จะได้เจอน้องเพลงข้างนอกบ้าง ตอนเด็กๆ น้าอ้อยก็เลี้ยงผมมาด้วยครับ ตอนเรายังเด็กไปเล่นวิ่งเล่นตามกองละครกับน้า
เรารู้ว่าน้าอ้อยเป็นโรคหัวใจ แต่อย่างที่เพลงบอกว่าน้าอ้อยไม่อยากให้คนในวงการทราบว่าเป็นมะเร็ง เพราะมะเร็งมันเป็นเรื่องใหญ่ ตามที่ผมเข้าใจน้ายังอยากทำงานอยู่ รายการล่าสุดที่เพิ่งไปถ่ายมา ที่จริงตอนนั้นอาการหนักแล้ว แต่ว่าก็ยังฝืนไปเพราะอยากทำงาน ตอนที่น้าอ้อยเสียเป็นทั้งมะเร็งและหัวใจด้วย การให้ยามันคอนฟลิกต์กัน ถ้าจะให้ยามะเร็งมันก็มีผลต่อหัวใจ ถ้าให้ยาหัวใจมันก็มีผลต่อมะเร็ง มันก็เลยทรุดหนักไปเรื่อยๆ ประมาณ 2-3 อาทิตย์ที่เริ่มทรุดลง ญาติก็มาเฝ้าได้ประมาณสองอาทิตย์แล้วที่ต้องดูอาการอย่างใกล้ชิด คุณหมอบอกว่าให้กำลังใจ เรายังไม่ยอมรับว่า น้าอ้อยจะไปเร็วขนาดนี้
อาทิตย์นี้ปั้นจั่นไปโรงพยาบาลเกือบทุกวันถ้าไม่มีงานเพราะต้องไปรับส่งคุณแม่อยู่แล้ว ก็ไปเฝ้าไปช่วยเป็นกำลังใจให้เพลงและน้าโต้ง แต่คุณแม่เราไปทุกวัน เมื่อวานคุณแม่แจ้งประมาณบ่ายสองกว่าเกือบบ่ายสามว่าอาการไม่ดีแล้ว ผมรีบขับรถมาจากแถวเรียบทางด่วนแต่ว่ารถติดมาก ผมถึงหน้าโรงพยาบาล คุณแม่ก็ไลน์มาบอกว่าน้าอ้อยไปแล้ว”
เตรียมช่วยดูแลเยียวยาจิตใจกกันและกัน ต้องดูแลคนอยู่ให้ดี
“ตอนที่เขาโทร.มา เขาร้องไห้ไปแล้วนะ ช่วงนี้ผมว่าอารมณ์เดียวกันหมด เพลงหรือว่าคุณแม่ผม ตอนนี้มันยังเป็นช่วงต้องจัดพิธี จัดอะไร แล้วก็รับแขก ก็คุยกันไว้แล้ว ว่าหลังจากนี้ ปั้นจั่นก็บอกทางสามีเพลง แล้วก็เพื่อนๆ เพลง ว่าตอนนี้เขายังดูเข้มแข็ง แต่ว่าหลังจากนี้ พอพิธีทุกอย่างมันจบไปแล้ว มันมีอยู่กับตัวเอง ความเศร้ามันก็คงจะเข้ามา ตอนนั้นเราก็คงต้องช่วยกันดูแลจิตใจต่อไป ที่สำคัญก็คือน้าโต้ง สามีน้าอ้อยที่ยังอยู่ เพราะว่าถ้าพูดไปแล้ว วันที่เสีย น้าโต้งก็หนักพอสมควร แล้วน้าโต้งเองก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนเดิมครับ ก็บอกน้องตลอด ว่ายังไงก็ต้องดูแลคนที่อยู่ให้ดี”
ย้อนความทรงจำ น้าอ้อยชอบซื้อของเล่นให้ ซึมซับอยากเป็นดาราเหมือนน้า
“ผมชอบไปหาน้าอ้อย เพราะว่าคุณแม่ผมไม่ค่อยซื้อของเล่นให้ผม น้าอ้อยจะซื้อของเล่นให้ผมเยอะ เวลาปีใหม่ก็จะได้ของเล่นแบบเท่ๆ แต่ก่อนเราไปเที่ยวต่างจังหวัดกันบ่อย เพราะผมกับเพลงเกิดเดือนเดียวกัน ห่างกันวันเดียว เราก็จะจัดวันเกิดด้วยกันบ่อยๆ แต่ก่อนเวลาไปไหนกับน้า ก็จะรู้สึกว่าเข้าใจแบบ น้าเป็นดารา มีแต่คนถ่ายรูปน้า ส่วนหนึ่งในการที่เราอยากเป็นนักแสดง อยากทำงานในวงการ เราก็ซึมซับมาจากตรงนั้นด้วย”
ไม่บอกว่าเป็นหลาน เพยาะอยากก้าวเข้ามาด้วยตัวเอง ลั่นเป็นเรื่องที่ต้องเกิดกับทุกคน ต้องมูฟออนต่อให้ได้
“ที่จริงน้าเคยพูดอย่างหนึ่ง ว่าสิ่งที่เราทำได้ด้วยตัวเองได้ โดยที่น้าไม่ได้ช่วยเหลือ ถ้าปั้นจั่นก้าวด้วยขาปั้นจั่นเองได้ มันก็เป็นเรื่องที่ดี แล้วเราก็ทำแบบนั้นมาตลอด แล้วมันก็ไปได้ดีนะ ส่วนใครที่รู้ ก็ถ้าเกิดว่าคนถาม เราก็จะบอก ถ้าใครไม่รู้ เราก็ไม่ได้บอกว่าเราเป็นหลานน้าอ้อยครับ
ที่จริงเรื่องการทำงาน น้าไม่เคยบอก เหมือนตอนที่ผมเข้ามา ผมก็โตพอสมควรแล้ว เรื่องที่น้าสอน จะเป็นเรื่องของการทำบุญไหว้พระมากกว่า ผมไม่ได้มีโอกาสคุยก่อนที่จะแอทมิดเข้าไอซียู แต่ได้มีโอกาสคุยโทรศัพท์ ตอนนั้นก็ให้กำลังใจน้าอ้อยไป ให้น้าอ้อยสู้ๆ สวดมนต์เยอะๆ คือตอนนั้นเราก็พอจะรู้ เราเป็นผู้ชาย เราก็เลยรู้สึกว่าเข้มแข็ง เรามองความจริงมากกว่าผู้หญิงในครอบครัว คือตัวผมเอง หนึ่งเป็นหลาน แล้วมันก็ไม่เท่ากับคนที่เป็นลูกหรือว่าคนที่เป็นพี่สาว
แต่ว่าเราก็บอกน้องนะ ปั้นจั่นคุยกับเพลงก่อนหน้านี้ว่าให้เพลงทำใจ แล้วก็บอกคุณแม่ว่าให้แม่ทำใจ แล้วก็คุยกันเรื่องพวกนี้บ่อย ที่เราต้องคุยเพราะว่า ทำให้มันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน ถึงเวลาแล้วเหตุการณ์มันเกิดขึ้น เราจะได้อยู่กับมันให้ได้ มูฟออนต่อไปให้ได้ สุดท้ายแล้วคนอยู่ต่างหากที่สำคัญ เขาคงอยากมองกลับมาแล้วเห็นลูกๆ หลานๆ มีความสุขเราก็คุยกันว่าเราจะทำให้เต็มที่ ให้สมเกียรติกับที่น้าเป็นที่รักของประชาชน”
เคยร่วมงานเป็นละครพระราชนิพนธ์ แต่ไม่ชอบเพราะเกร็ง
“ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเป็นละครพระราชนิพนธ์ เป็นละครเทิดพระเกียรติ ได้ถ่ายละครกับน้าอ้อยครั้งหนึ่ง ก็ไม่ค่อยชอบ เกร็งๆ ถ่ายกับคนในครอบครัว ก็จะเขินๆ หน่อย ตอนนั้นเล่นเป็นแม่ลูกกัน”
มองเป็นแม่ของตนคนหนึ่ง เลี้ยงไม่ต่างจากลูก
“ถ้าพูดแล้วน้าก็เหมือนเป็นแม่คนหนึ่ง เพราะตอนสมัยเด็กๆ เลย ก็เลี้ยงผมไม่ต่างจากลูก เพราะว่าผมห่างกับเพลงปีหนึ่ง น้องคนเล็กของบ้านเราทั้งคู่ก็อายุเท่ากัน ไปไหนก็ไปเป็นแพ็ก บางทีน้าอ้อยไม่ว่าง แม่ก็ไปรับน้องเพลง บางทีแม่ไม่ว่างน้าอ้อยก็มารับผมที่โรงเรียน ซึ่งภาพความทรงจำก็เป็นแบบนั้น ครอบครัวเราใกล้ชิดกันมาก แต่ว่ามันมีแค่ระยะหลังเท่านั้น อาจจะด้วยเรื่องของเวลา ทำให้เราห่างกัน เพราะว่าตัวคุณแม่กับน้าอ้อยเอง เกษียณก็อยู่บ้าน เจอกันครั้งคราว ส่วนใหญ่จะคุยโทรศัพท์ ตัวผมเองก็จะเจอเพลงมากที่สุด เพราะว่าเราจะมีเพื่อนๆ ที่อยู่รุ่นๆ เดียวกัน ใกล้ๆ กัน รู้จักกัน อย่างผมเองก็รู้จักกับสามีเขา”
ไม่รู้ได้ยินไหม แต่อยากบอกให้น้าหลับให้สบาย อยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุข
“ที่จริงผมบอกน้าอ้อยไป แต่ไม่รู้ได้ยินหรือเปล่า ให้น้าอ้อย หลับให้สบายนะครับ ก็ไปอยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุข ส่วนน้องๆ ลูกๆ หลานๆ ก็จะช่วยดูแลกันเอง ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเป็นน้าโต้งหรือว่าพิณ ที่ห่วงเพราะเป็นน้องคนเล็ก ไม่ต้องห่วงปั้นจั่นกับเพลง ก็โตพอที่จะดูแลครอบครัวแล้ว เดี๋ยวเราช่วยกันดูแล เพราะเอาจริงๆ ก็มีกันอยู่แค่นี้ ที่เราต้องดูแลกัน”