ต้องเรียกว่าเป็นช่วงพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรกโดยแท้
สำหรับ “รัชนก สุวรรณเกตุ” หรือ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น”
ที่เห็นทีว่าคราวนี้จะสดชื่นไม่ออกเสียแล้ว !!!
ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งมีเรื่องดรามาเกี่ยวกับกระแสของศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปในสังกัด อย่างวง Butterfly ที่โดนจับไปเทียบกับ BlackPink
ทั้งที่ไม่น่าจะถูกโยงมาเปรียบเทียบกันได้ด้วยซ้ำ
ไหนจะเรื่องที่ถูกกระแสโจมตีเกี่ยวกับรายการ “เส้นทางสู่บ้านได้หมดถ้าสดชื่น ซีซัน 2” ที่ออกอากาศทางช่องยูทูบ ที่ถูกมองว่ามีเนื้อหาในเชิงเหยียดเพศที่สาม จนกระทั่งต้องยุติการออกอากาศในที่สุด
ความเก่ายังไม่ทันหาย คดีใหม่ก็ถาโถมเข้ามาอีกแร้ววววววว
ทั้งเรื่องภาพจูจุ๊บอย่างดูดดื่มกับแฟนหนุ่มกลางทะเล ประหนึ่งภาพพรีเวดดิ้ง ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม
ทั้งเรื่องที่ดั๊นไปจัดคอนเสิร์ต ที่จังหวัดกระบี่ และนครศรีธรรมราช ชนิดไม่แคร์มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม Social Distancing เพื่อลดปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19
เพราะนอกจากจะมีแฟนเพลงเบียดเสียดเยียดยัดมาดูกันจนแน่นขนัด โดยที่หลายคนไม่ได้การสวมหน้ากากอนามัยป้องกันแล้ว
ช็อตเด็ดที่ทำให้เป็นเรื่องก็คือ.....
การเช็ดเหงื่อและเช็ดเป้ากางเกงนักร้องชายในค่าย แล้วโยนทิชชู่ลงไปด้านล่างให้แฟนคลับสาวๆ ซึ่งปรากฏประจักษ์หลักฐานอยู่ในคลิปอย่างชัดเจน
โดยล่าสุดมีคำสั่งให้รวบรวมพยานหลักฐานและจะมีการเรียกตัวผู้จัดงานคอนเสิร์ต รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ามาสอบปากคำ และจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้น ก็ย่อมปรากฏชื่อของเจนนี่ด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้
และผลกระทบที่ตามมา ก็คือคอนเสิร์ตที่กำลังจะตามมา ต้องถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
ยัง ยัง ไม่หมด เพราะอย่างที่บอกว่าเป็นช่วงพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก
ล่าสุดยังมีดรามาตามาขยี้ซ้ำอีก ว่าด้วยเรื่องของเงินๆ ทองๆ เป็นเหตุ !!!!
เหตุเกิดเมื่อมีข่าวออกมาว่า เจนนี่โกงเงินค่าตัว และส่วนแบ่งของนักร้องหนุ่ม ที่มาร่วมฟิเจอริ่ง ในเพลง “เลิกคุยทั้งอำเภอเพื่อเธอคนเดียว” ของ “ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ที่มียอดวิวในยูทูบสูงถึง 350 ล้านวิวแล้วในขณะนี้ ซึ่งเบื้องต้นมีสัญญาใจต่อกันว่าจะให้ส่วนแบ่ง 70-30
โดยงานนี้คู่กรณีก็คือเจนนี่ กับนักร้องหนุ่ม “เก้า-เกริกพล เพชรรัตน์” ต่างก็ผลัดกันออกมาโต้ตอบแบบมองต่างมุมชนิดที่เหมือนกับหนังคนละม้วนเลยทีเดียว
ทางฝั่งเจนนี่ ยืนยันว่าไม่เคยโกงค่าตัวพร้อมทั้งได้งัดหลักฐานการโอนเงินมาโพสต์บนเฟซบุ๊กเพื่อยืนยัน
“ปัญหาเกิดขึ้นหลังจากที่คุณพ่อของน้อง โทรมาขอแบ่งยอดวิว 30% จากรายได้ด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะสมซึ่งทางค่ายตอบไปว่าให้ไม่ได้ เพราะไม่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรก แต่ถึงแม้ว่าทางค่ายไม่แบ่งค่ายอดวิวให้น้องก็จริง ตอนเพลงดังใหม่ๆ ก็เคยโอนเงินไปให้เพิ่ม 20,000 บาท แต่ทางน้องไม่สบายใจที่จะรับและโอนคืนมา โดยที่น้องไปหาเลขบัญชีมาจากไหนก็ไม่รู้ เราไม่เคยนิ่งเฉยกับน้อง เพราะน้องเป็นเด็กน่ารัก
ทุกวันนี้ยังเสียดายที่น้องไม่ได้อยู่ในค่าย มีงานรีวิวเข้ามาเราเคยขายงานน้องให้โดยไม่หักค่านายหน้าเป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท มีงานคอนเสิร์ตเข้าก็ขายงานให้น้องตลอด แต่เนื่องจากน้องอยู่ กทม. เจ้าภาพจึงสู้ราคาไม่ได้ เพราะต้องมีค่าเดินทางเพิ่ม เราจึงไม่ได้ออกงานคู่กันเลย ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่มีผู้ใหญ่ฝั่งน้องโทรไปให้ข้อมูลที่เป็นเท็จกับเพจตลาดล่าง แทนที่จะมาพูดกับทางเราตรงๆ”
ถัดจากนั้น ฝั่งตรงข้ามก็สวนหมัดกลับทันควัน ด้วยการไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก ตอบโต้ทีละประเด็น โดยเฉพาะประเด็นค่าส่วนแบ่งยอดวิวยูทูบ 70-30 ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าตกลงกันไว้แบบนั้นจริง เพียงแต่ไม่มีการเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร
"หลังจากเพลงลงยูทูบ ติดชาร์จอันดับ 1 มียอดวิวหลายล้าน จนถึงยอดวิวเกิน 10 ล้าน ผมโทรไปหาเขา และบอกว่าเพลงน่าจะถึง 100 ล้านวิวแน่นอน พร้อมแสดงความดีใจกับเขา แต่คำที่ได้ยินจากเขา คือ เพลงนี้ไม่ใช่เพลงของผม เป็นเพลงของลิลลี่ แต่คำสัญญาที่เขาให้มาก่อนหน้านั้น ทำไมกลับคำ
สำหรับประเด็นที่เขาบอกว่าพ่อผมโทรไปขอส่วนแบ่ง 30% ด้วยคำพูดไม่เหมาะสม จนทำให้พ่อผมโดนด่าและด่ายันตระกูล วันนั้นที่พ่อโทรไป ครอบครัวได้ยินกันหมด พ่อบอกว่าเพลงมีคนดู 100 ล้านวิวแล้วนะ มีอะไรจะให้น้องบ้าง แม้แต่คำขอบคุณยังไม่มีให้น้องเลย แต่เขาพูดว่า พ่อต้องการเท่าไหร่ เป็นคำพูดที่ไม่น่าพูดกับคนอายุสูงกว่า สมควรพูดแบบนี้ไหม หลังจากคุยกันเสร็จ เขาขอบคุณผมมา และโอนเงินมาให้ 20,000 บาท หลังจากที่พ่อผมโทรไป แต่ผมโอนเงินกลับ เพราะรู้ว่าเขาไม่ได้ให้ด้วยใจ ขอถามว่าถ้าพ่อผมไม่โทรไป เขาจะคิดถึงผมไหม"
แม้ว่ายังไม่ได้ผลสรุปที่แน่ชัดว่าจะออกหัวหรือออกก้อย แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดิสเครดิตให้กับเจนนี่ และเป็นความบาดหมางครั้งใหญ่กับคู่กรณี ชนิดที่คงต้อง
“เลิกคุยทั้งอำเภอ” จริงๆ ....
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1-7 สิงหาคม 2563