“บุ๋น-เปรม” คู่วายสายใสสู่คู่จิ้นสายดาร์ค เผยประสบการณ์ลองของ ท้าพิสูจน์บ้านร้างวิญญาณเฮี้ยน คู่รักที่เป็นเจ้าของเสียชีวิตก่อนงานแต่งหนึ่งวัน พร้อมถูกทักมีวิญญาณตามติดตัว ยันไม่ได้ลบหลู่ แต่ก็ไม่เชื่อว่าผีมีจริง เพราะยังไม่เคยเจอกับตัว
สยองกันทุกพื้นที่!! “ลองของซีรี่ย์” จากหนังกลายมาเป็นซีรี่ย์สู่หน้าจอทีวี ที่ตอนนี้กำลังออนแอร์อยู่ทางช่อง 3 ทุกคือนวันอาทิตย์เวลาประมาณ 23.00 น. จะว่าไปแล้วตอนเป็นหนังก็ว่าสยองแล้ว แต่พอมาเป็นซีรี่ย์ในรูปแบบของการชิงความเป็นเซ็นเตอร์ในทีมเชียร์กับการ “เล่นของ” ด้วยวิธีต่างๆ แล้ว 2 นักแสดงคู่วาย “บุ๋น นพณัฐ กันทะชัย” และ “เปรม วรุศ ชวลิตรุจิวงษ์” ที่เคยรับบทคู่กันด้ายแดง ได้กลับมาคู่กันอีกครั้ง โดยครั้งนี้รับบทเป็นคู่จิ้นสายดาร์ค งานนี้ทั้งสองคนได้เผยประสบการณ์หลอนๆ ให้ฟังว่าครั้งหนึ่งก็เคยสัมผัสเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เช่นกัน
“คือบุ๋นเคยมีประสบการณ์ตอนเด็กๆ ตอนนั้นไปอยุธยาและก็มีขวดกระปุกมีน้ำมันอยู่ข้างในที่เขาตั้งขายทั่วๆ ไป ก็เลยซื้อมาเพราะว่ามันสวยดี (ที่เป็นน้ำมันคล้ายๆ น้ำมันพรายไหม?) ซึ่งตอนซื้อก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรและเราก็ซื้อมาแล้ว และพอซื้อมาแล้วเพื่อนก็ทักเราบอกว่ามันคือสาลิกาลิ้นทอง ซึ่งเราก็บอกว่ามันสวยดีเพราะมีไม้อยู่ในกระปุกด้วย จากเพื่อนก็เล่าให้ฟังว่าเวลาถ้าเราพูดอะไรก็จะมีคนเชื่อคนฟัง แต่เราก็ต้องเลี้ยงดูเขาดีๆ บุ๋นก็เลยถามกลับว่าถ้าเราไม่อยากมีเอาไว้ต้องทำยังไง เพื่อนก็แนะนำให้เอาไปฝังดินใต้ต้นไม้ ตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้ เพียงแค่เราชอบสะสมอะไรพวกนี้ไปเรื่อย”
“โดยส่วนตัวของบุ๋นคือยิ่งไม่เชื่อก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นแต่ไม่ได้ไปลบหลู่อะไรนะ เราก็อยากรู้ สมกับชื่อเรื่องว่าลองของ เพราะเราเป็นคนชอบลองของ แต่ลองในที่นี้เราไม่ได้ลบหลู่ ไมได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร อย่างบุ๋นจะมีกลุ่มเพื่อนที่ชอบอะไรพวกนี้ ไปตามสถานที่ร้าง พวกบ้านร้าง โรงพยาบาลร้าง ก็เคยไปมาหมด คือเราอยากเห็น อยากรู้ ว่าจะเป็นเหมือนในหนังไหม ว่าผีโผล่มาหน้าเละๆ ใส่ชุดขาวจริงไหม ตาขาวจริงไหม มันเป็นภาพอิมเมจที่เราเห็นในการ์ตูน ในหนังต่างๆ และถ้าเราเจอจริงๆ มันจะเป็นยังไง แต่พอเราไป ก็ไม่เจออะไร"
"มีอยู่ครั้งนึงที่เราไปตอนนั้น มันจะเป็นบ้านร้าง เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลและเราก็แอบเข้าไป และจะมีบ้านร้างหลังนี้อยู่บ้านเดียวที่มีประวัติว่ามีคนตาย เหมือนว่ามีคู่รักที่กำลังจะแต่งงานกัน และเขาเสียชีวิตด้วยกันก่อนวันแต่งวันเดียว และในหมู่บ้านนี้เป็นบ้านหรูหมดเลย แต่ที่น่าแปลกว่าบ้านหลังนี้ และมีอีก 10 กว่าหลังติดกัน แต่ไม่มีคนอยู่เลย แต่พอเลยหลังที่ 10 ไป กับมีคนอาศัยอยู่ปกติ เราก็งงไง แต่พอเราไป กลับไม่เจออะไรเลย เจอแต่ความมืดอย่างเดียวเลย ก็เลยสงสัยว่าเราจะมาทำไม และเพื่อนที่ไปด้วยกันอีก 2 คนก็ไม่เจออะไรเหมือนกัน ยืนยันว่าไปถูกหลังนะ ขนาดเปิดรูปที่เขาแชร์ๆ ตามอินเตอร์เน็ต ซึ่งก็เอารูปมาเทียบ มันก็ถูกหลังนะ แต่มันไม่เจออะไรเลย"
"แต่การที่บุ๋นไปก็ไม่ได้บุกรุก เพียงแต่เรายืนอยู่หน้าบ้าน และก็มองเข้าไปที่ตัวบ้าน แต่บรรยากาศตอนนั้นคือความเงียบ และมีลมเย็นพัดมา จนเรารู้สึกหนาว ลมมาปะทะจนเราขนลุกมากกว่า และการที่เราไปเพียงแค่เราต้องการเห็นว่าสิ่งที่คนอื่นพูดมาว่า เวลาเราเห็นบ้างมันจะเป็นยังไง แค่เราอยากเห็นเหมือนที่คนอื่นเขาเล่ามาบ้าง แต่ไม่ได้ลบหลู่หรือว่าอะไร และในตอนนั้นการที่บุกรุกไป มันเป็นสิ่งที่ผิดนะ แต่ในช่วงนั้นเราก็เป็นวัยรุ่นที่อยากรู้อยากลอง แต่ที่ไปแล้วไม่เจอ เราก็ไม่ได้เฟลอะไร เพราะไปทีไรก็ไม่เคยเจออะไรพวกนี้อยู่แล้ว สรุปวันนั้นก็เหมือนเราขับรถไปกินลม ชมวิว(ยิ้ม)”
“และในยุคนี้กับเด็กสมัยใหม่ เขาเชื่อถือตามหลักวิทยาศาสตร์เพราะมันมีการพิสูจน์มาแล้ว ทุกวันอะไรก็ลงโซเซียล ข่าวก็แพร่กระจายออกไป มีหลายแง่มุม มีหลักฐานต่างๆ ที่หลายคนเอามาแชร์กัน เพราะหลายคนก็เจอในหลายรูปแบบ ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่เป็นปากต่อปากมากกว่า (แต่ในยุคปัจจุบันศาสตร์ความเชื่อแบบนี้จะมีให้เห็นตามข่าวมาก ส่วนตัวเราเชื่อไหม?) บุ๋นเองเวลาที่มีหมอดูมาดูเรื่องสมมุติว่า เราจะมีเกณฑ์ประสบอุบัติเหตุ อันนี้เราก็ฟังไว้ แต่มาบอกว่าเราจะถูกหวย ทำไมเขาไม่ดูให้ตัวเองถูกเองอ่ะ มันเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันหรือเปล่า หรือว่าตัวเองรวยแล้วหรือเปล่า หรือมันอาจจะผิดที่เราคิดแบบนี้หรือเปล่า เราก็เลยจะเฉยๆ กับความเชื่อแบบนี้ แต่เพื่อนเราบางคนก็เชื่อในเรื่องพวกนี้ มันขึ้นอยู่แต่ละบุคคลมากกว่า”
ด้านของ “หนุ่มเปรม” ก็ยังเผยต่ออีกว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยเชื่อ เพราะว่ายังไม่เคยเจอ แต่ก็มีคนเคยทักว่ามีวิญญาณตามติดอยู่ข้างๆ ตัวเช่นกัน
“ส่วนของเปรมไม่เคยเจอ ไม่เคยมี ไม่เคยสะสม ผมเป็นพวกที่ไม่ค่อยได้เข้าถึงอะไรพวกนี้มาก จะใช้คำว่าเด็กยุคใหม่ก็ได้นะ เพราะเราโตมาในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้มีอะไรพวกนี้ แต่กับเรื่องแบบนี้ผมไม่ค่อยเชื่อแต่ก็ไม่ได้ลบหลู่นะครับ เพราะว่าเราก็ไม่เคยเจอ ไม่เห็น ไม่มีเซ้นส์อะไรเลย ก็เห็นเท่าที่ตาเห็น ไม่มีก็คือไม่มีครับ แต่ก็ไม่ได้ไปลบลู่ความเชื่อของใคร แต่ก็มีอยู่เหตุการณ์นึงที่มีพี่ที่รู้จักกันก็ทักมาว่า มีคนตามเราอยู่นะ ยืนติดอยู่ข้างๆ เรา ซึ่งพอบอกมาแบบนี้ ไอ้เราก็อยากรู้แล้วซิว่า เขายืนอยู่ตรงไหน แต่เราไม่ได้ท้าทายนะ แต่แค่อยากรู้ว่าเขายืนตรงไหน หรืออาจจะมองไปว่าเห็นแล้ว (เขาทักมาขนาดนี้แล้ว? เราถามต่อไหมว่าอยู่ตรงไหน) ไม่มีนะครับ แต่เวลาที่พี่คนนี้พูดอะไร ผมก็อยากรู้ เรามีความสงสัยว่าเขามาทำไม เขามายืนอยู่ข้างเราทำไม หรือเขาใส่เสื้อสีอะไร ไอ้เรามันเป็นคนไม่มีเซ้นส์ไง แต่ยืนยันว่าเราไม่ได้ไปท้าทายอะไรเขา ย้ำอีกรอบนะครับ (ยิ้ม)”
“ถามว่าเรากลัวผีไหม ไม่กลัวนะครับ อย่างที่บอกไปว่าเราไม่เคยเจออะไรเกี่ยวกับพวกนี้ แต่ถามว่ามีเครื่องรางไหม ก็มีครับ ใส่เพื่อความสบายใจของผมและความสบายใจของแม่ ซึ่งจริงๆ เรื่องพวกนี้อาจจะมี แต่เราก็สัมผัสไม่ได้ คนอื่นเขาอาจจะสัมผัสหรือรู้สึกได้ แต่เราไม่เคยเจอ ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับการดูดวง ถ้าเขาทักมา สมมุติว่าช่วงนี้ให้เราดูแลตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่เราต้องทำอยู่แล้ว แต่เราอาจจะหลงลืมไป ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีที่เขาเตือนสติเรา แต่ไม่ถึงขั้นอย่างที่พี่บุ๋นพูดถ้าเขารู้ว่าเลขไหนจะถูก ทำไมเขาไม่ซื้อเองล่ะ แต่ไม่ได้ลบหลู่หรือว่าจะก้าวล่วงอะไร”
“เปรม-บุ๋ม” มั่นใจว่าไม่มีอะไรตามกลับมาจากกอง เผยวิญญาณน่าจะเข้าใจว่าเป็นการถ่ายทำ
เปรม : สำหรับผมว่าก็ไม่นะครับ ถ้าผีเห็นก็คงเข้าใจว่านี่เป็นการถ่ายทำละคร อันนี้คิดแบบซื่อๆ นะ
บุ๋น : สิ่งที่เอากลับมาคืออารมณ์ในการแสดง อาจจะติดกลับมาบ้าง เราต้องหาวิธีสลัดออก ส่วนผีจะติดกลับมาไหม ตามความคิดบุ๋นคือเราไม่ได้ไปทำอะไรเขา เขาก็ไม่น่าจะมาทำอะไรเราไหม ถ้าเขาจะตามกลับมาที่บ้าน แล้วเขาจะมาทำอะไรเรา เราคิดในหลักเหตุผลจริงๆ เราไม่ได้ไปทำอะไรเขา เขาก็ไม่น่าจะมาทำอะไรเรา ซึ่งก่อนที่เขาจะตาย เขาก็เคยเป็นคนมาก่อน เขาก็น่าจะเข้าใจในตัวเราเหมือนกัน