ตอนนี้ต้องเรียกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อยู่ในช่วงที่วิกฤตหนัก ส่ผลให้ทุกคนจำต้องปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต เพื่อลดอัตราเสี่ยงของการติดเชื้อ ซึ่งถ้ามองในมุมบวก ก็ถือว่าเป็นช่วงที่ผู้คนจะหันมาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านมากขึ้น มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น และระมัดระวังในเรื่องสุขอนามัยของตัวเองมากขึ้น
แต่ถ้ามองในมุมของธุรกิจ ถือว่าพังระเนระนาดกันทั่วโลกจริงๆ
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมภาพยนตร์ !!!
โรงภาพยนตร์ถูกสั่งปิด เพราะถือว่าเป็นหนึ่งในแหล่งที่สุ่มเสี่ยงกับการติดเชื้อมากเป็นอันดับต้นๆ
หรือต่อให้ไม่ปิด ก็คงไม่มีภาพยนตร์ให้ฉายอยู่ดี เพราะแน่นอนว่าวิฤตของโรค ที่กลายเป็นวิกฤตของโลกไปเรียบร้อยแล้ว จะส่งผลกระทบถึงรายได้ของภาพยนตร์โดยตรง
และที่ต้องกาดอกจันตัวโตๆ ก็คือภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ลงทุนมหาศาลอย่าง “มู่หลาน” ในแบบฉบับภาพยนตร์ Live-Action ภายใต้การดำเนินงานสร้างของ “วอลต์ดิสนีย์พิกเชอส์” ผ่านฝีมือการกำกับของ “นิกี คาโร” นำแสดงโดย “หลิว อี้เฟย์” นักแสดงจีนที่โด่งดัง จากหนังฮอลลีวูดเรื่อง “Forbidden Kingdom” (2008) ในบทของ “มู่หลาน” ซึ่งเดิมมีกำหนดฉายในปลายเดือนมีนาคมนี้ แต่ด้วยสถานการณ์ของโรคระบาด ก็เลยต้องเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด พร้อมๆ กับภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง อาทิ “No Time to Die,” “Quiet Place 2” และ “Peter Rabbit 2”
ด้วยทุนสร้างของ “มู่หลาน” ที่ต้องเรียกว่าอภิมหามโหฬารถึง 290 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงเป็นอันดับต้นๆ ในประวัติการณ์เลยทีเดียว เรียกว่าเป็นรองก็เพียง “Avengers: Infinity War” ที่ใช้ไป 300 ล้านเหรียญฯ โดยมีการประมาณว่า ถ้าจะให้ถึงจุดคุ้มทุน และสร้างกำไรจริงๆ “มู่หลาน” จะต้องได้รายได้ไม่น้อยกว่า 600 ล้านเหรียญฯ โดยเบื้องแรกนั้น มีการคาดคะเนล่วงหน้าไว้ว่ามีโอกาสที่จะกวาดรายได้อย่างน้อย 85 ล้านเหรียญฯ ในสัปดาห์แรก
ทว่า...นั่นคือในยามที่สถานการณ์ของโลกอยู่ในสภาวะปกติ ไม่ใช่ในห้วงเวลาที่โรคระบาดกำลังไล่คร่าชีวิตของผู้คนทั่วโลกอย่างในเพลานี้
แต่ถ้าลองปรับวิธีคิด และเปลี่ยนโมเดลใหม่ ด้วยการสร้างโอกาสในวิกฤต เผลอๆ “มู่หลาน” อาจจะสร้างกำไรให้กับวอลต์ดิสนีย์อีกหลายเท่าทวีคูณ
ในเมื่อผู้คนไม่สามารถออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้ตามปกติ และธุรกิจโรงภาพยนตร์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นคืนกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกหรือไม่ ? ทางรอดของผู้ผลิตก็คือต้องนำคอนเทนต์เข้าไปเสิร์ฟให้คนดูถึงในบ้าน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นโมเดลที่ยากเย็นอะไรเลยในยุคทองของสตรีมมิ่งทีวีแบบนี้
ขนาด Netflix ยังโตวันโตคืน ประสาอะไรกับเจ้าพ่อหนังที่ยืนหนึ่งในอุตสหากรรมภาพยนตร์อย่างวอลต์ดิสนีย์
ถ้าเราลองตั้งสมมติฐานจาก “มู่หลาน” แล้วมาบวกลบคูณหารกันเล่นๆ ดูซิว่างานนี้รายได้จะแตะที่หลักกี่พันล้านเหรียญฯ
คิดตัวเลขกลมๆ จากยอดของผู้ชมทั่วโลกแค่ 200 ล้านคน !!! ซึ่งถ้าเทียบกับจำนวนประชากรโลก ตามที่องค์การสหประชาชาติ (UN) ประมาณการว่ามีจำนวนราว ๆ 7,300 ล้านคน ยังไม่ถึง 5 % ด้วยซ้ำ
ถ้าวอลต์ดิสนีย์นำ “มู่หลาน” มาเคาะประตูเสิร์ฟถึงบ้าน แล้วเก็บเรียกเก็บค่าดูแค่คนละ 5 เหรียญฯ (ประมาณไม่ถึง 200 บาท ) เท่ากับว่างานนี้ฟันรายได้เหนาะๆ ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านเหรียญฯ
ที่น่าสนใจก็คือ 1 พันล้านเหรียญฯ ที่ว่า คือรายได้สุทธิ ที่ไม่ต้องหารแบ่งกับเจ้าของโรงภาพยนตร์ เหมือนโมเดลเก่า ที่คนจะต้องตีตั๋วเข้าไปดูในโรง
และถ้านำตัวเลข 1 พันล้านเหรียญฯ มาหักลบกับต้นทุนค่าผลิต 290 ล้านเหรียญฯ ก็หมายถึงว่า งานนี้วอลต์ดิสนีย์จะได้กำไรไม่น้อยกว่า 700 ล้านเหรียญฯ
มาคิดกันต่อว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากว่าผู้ผลิตภาพยนตร์รายใหญ่ทั้งโลกหันมาใช้โมเดลนี้
แน่ๆ เลยก็คือ เป็นการอวสานอย่างถาวรของโรงภาพยนตร์ !!!
ตามครรลองของทุกๆ ธุรกิจที่จะต้องหมุนให้ทันโลก ไม่ต่างอะไรกับที่โรงงานผลิตซีดี หรือผลิตฟิล์มถ่ายรูป ก็ต้องลาจากไปเพราะไม่อาจทานกระแสของโลกดิจิตอลได้
ฉันใดก็ฉันนั้น !!!
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 28 มีนาคม - 4 เมษายน 2563