แม้ฐานะโดยรวมของครอบครัวจะเรียกได้ว่า “ลำบากพอสมควร” แต่กระนั้นด้วยความเป็นเด็ก ประกอบกับการเป็นน้องคนสุดท้องของบ้าน เด็กหญิงจึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนักกับการดำเนินชีวิตของตนเอง
ไม่นับรวมกับเสียงเพลงจากวิทยุที่ช่วยให้ความเพลิดเพลินในแต่ละวัน และทำให้เธอกลายเป็นคนรักในเสียงเพลงและชอบร้องเพลงไปโดยไม่รู้ตัว
กระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เด็กหญิงก็เริ่มตระหนักแล้วว่าชีวิตนี้ไม่ง่าย เมื่อผู้เป็นมารดาได้บอกกับเธอว่าไม่สามารถให้เธอเรียนต่อได้ด้วยเหตุผลไม่มีเงินส่งเสีย
นั่นเองที่ทำให้หญิงสาวต้องเข้ามาเป็นสาวโรงงานในเมืองกรุง ก่อนที่เส้นทางชีวิตจะขีดเขียนให้เธอกลายมาเป็นนักร้องหญิงที่ชื่อ “ตั๊กแตน ชลดา” (“พบพร ภาคินทร์” หรือชื่อเดิม “ชลดา ทองจุลกลาง”) ในวันนี้
“ด้วยวัยตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราอยากเรียนต่อ แต่ไม่ได้เรียน ก็ไม่ได้ฟูมฟายอะไรนะ แค่รู้สึกว่าการที่เราไม่มีเงิน มันก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่เราอยากจะทำได้ แม้กระทั่งเรียนเราก็ต้องใช้เงิน หรือจะทำอะไรเราก็ต้องใช้เงินหมด ตั้งแต่จบ ม.3 มาตั๊กแตนก็เริ่มหางาน พยายามส่งเสียตัวเอง เลี้ยงครอบครัวด้วย
ตอนนั้นก็ได้เป็นสาวโรงงาน แล้วคือมันมีอยู่วันนึง เราเดินผ่านหน้าห้างเดอะแกรนด์ บางแค กับเพื่อน เขาก็มีประกวดร้องเพลง เพื่อนก็บอกให้เราไปร้องดูเพราะเขาเห็นว่าเวลาเราทำงานเย็บผ้าอะไรเราชอบร้องเพลงไปด้วย
จริงๆ ต้องบอกก่อนว่าตั้งแต่เด็กๆ แตนอาจจะชอบร้องเพลง แต่ก็ไม่เคยประกวดอะไรที่จริงจังเลย มีตอนเด็กๆ ครูให้ประกวดร้องหน้าห้อง ก็ไม่ได้ชนะอะไร
พอเพื่อนยุเราก็เลยลองดูเพราะเราก็ชอบ ปรากฏวันนั้นได้ชนะเลิศมา รางวัลเป็นสร้อยทอง 2 สลึง ดีใจมาก ได้มาขายเลย (หัวเราะ) เอาเงินให้แม่ เราก็เก็บไว้ใช้ส่วนหนึ่ง”
ความรู้สึกของการเป็นผู้ชนะทำให้เจ้าตัวทั้งตื่นเต้นและมีความสุข และนั่นเองที่ทำให้เธอตัดสินใจที่จะเดินสายประกวดตามเวทีต่างๆ พร้อมๆ กับเปลี่ยนงานไปด้วย
“มันดีใจรู้สึกตื่นเต้น แล้วตัวเองมีความสุขกับสิ่งที่เราได้ทำได้ร้อง มันเลยกลายเป็นว่า ถ้าแบบนี้ก็ประกวดร้องเพลงไปด้วยแล้วกัน ก็ตระเวนประกวดร้องเพลงอยู่ประมาณ 8 ปี แต่ต้องเปลี่ยนงานไปเรื่อยเพราะบางทีกลับมาข้ามวันข้ามคืน ก็เลยเป็นที่มาของการย้ายงานหลายๆ ที่
เหมือนคนเร่ร่อนนะ แต่เราทำควบคู่ไปสองอย่าง เราก็ไม่ทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะว่าคือเรารายได้ไม่เยอะ แต่เราเลือกทำในสิ่งที่เรารัก เราชอบร้องเพลง”
8 ปีกับการเดินสายประกวด ตอนนั้นเคยคิดอยากจะเป็นนักร้องอาชีพอย่างจริงจังบ้างมั้ย?
“ไม่กล้าคิดเลย คือตอนประกวดคิดแค่ว่าเรามีความสุขกับสิ่งที่เรารัก แล้วบังเอิญมันได้เงินด้วย มันเลี้ยงตัวเองได้ด้วย มันได้เจอผู้คน ซึ่งระยะเวลาที่ประกวดร้องเพลง 8 ปี มันเหมือนเราวิ่งลอกงานปัจจุบันนี้เลย มันสนุก
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเวทีงานวัดนะ ซึ่งเงินรางวัลก็ไม่เยอะ บางที่ได้ 1,000 บาท บางที่ได้10,000 บาท แต่เวทีที่ได้เป็น 100,000 บาทก็มี แต่มันน้อยมากๆ ตอนนั้นเราใช้ชีวิตสนุกมาก”
เวทีที่ถือว่าเป็น “จุดเปลี่ยน” ของหญิงสาวก็คือ การคว้าอันดับที่ 3 เวที “เฟิร์ทสเตจโชว์” (โดยมีหนุ่ม “ไอซ์ ศรัณยู” เป็นผู้ชนะเลิศ และ “ป๊อบ แคลอรี่ บลาบลา” เป็นรองแชมป์) ซึ่งทำให้เส้นทางอาชีพนักร้องของเธอจึงถูกขีดเขียนขึ้นอย่างจริงจังโดยมีผลงานเพลงแรกที่เป็นของตัวเองอย่าง “ขอจองในใจ”
“ตรงนั้นเลยเป็นจุดเปลี่ยน เพราะไปประกวดร้องเพลงต่อไม่ได้ เหมือนเราเป็นนักร้องตัวจริงแล้วถึงแม้จะมีเพลงเดียวก็ตาม คือเราทำเพลงโดยไม่คาดฝัน ได้เป็นนักร้องอัตโนมัติ ซึ่งมันมาจากที่เราชนะ ก็โอเคดีใจ ตอนนั้นชีวิตมันสุดแล้วนะ คือไม่ได้คิดเลยว่าจะมีอัลบั้มต่อ”
นอกจากเสียงตอบรับจะอยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว บทเพลงดังกล่าวทำให้ความสามารถของเธอไปเข้าตาผู้ใหญ่ของแกรมมี่ ก่อนจะผลักดันเธอเข้าสู่สังกัด จากนั้นใช้เวลากว่า 2 ปีอัลบั้มที่ชื่อ “หนาวแสงนีออน” ก็ถูกปล่อยออกมา ตามติดด้วยอัลบั้มที่ 2 “ถนนคนฝัน” และนั่นเองที่ทำให้คนทั้งประเทศแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักเพลง “ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้”
“ต้องบอกว่าพอเปิดเวทีมาก็ต้องร้องเพลงนี้ก่อน แล้วพอร้องเพลงไปกลางๆ โชว์ก็ต้องร้องเพลงนี้อีก แล้วก่อนลงเวทีก็ต้องร้องเพลงนี้อีก คือไม่ร้องอีกไม่ได้”
ตลอดเวลาของการยืนอยู่ในวงการ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายกับผู้หญิงคนนี้ ทั้งเรื่องของชีวิตครอบครัว และการทำงานเมื่อเธอตัดสินใจบอกลาต้นสังกัดที่อยู่มาร่วม 15 ปี
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แฟนเพลงเห็นและสัมผัสได้ด้วยตาอย่างชัดเจนที่สุดก็คือคาแรกเตอร์และแนวเพลงที่เปลี่ยนไปจนไม่เหลือภาพลักษณ์ในความเป็น “ตั๊กแตน ชลดา” นักร้องสาวโรงงานสู้ชีวิตที่หลายคนเคยคุ้นเคยอีกต่อไปแล้ว
“ตั๊กแตนจะบอกเลยว่า จริงๆ ตั๊กแตนไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่ว่าตั๊กแตนเพิ่มเติมในสิ่งที่ตัวเองขาด เช่นในเรื่องของการทำเพลง เมื่อก่อนตั๊กแตนจะมีแต่เพลงช้าๆ แฟนเพลงจะรู้จักเพลงตั๊กแตนในเรื่องราวของดรามาเศร้าๆ ซึ่งเพลงเร็วน้อยมากที่จะถูกโปรโมตแล้วแฟนเพลงจะรู้จัก
เวลาไปร้องเพลงแล้วตั๊กแตนร้องเพลงช้าเยอะๆ มันจะกลายเป็นคอนเสิร์ตแจกหมอน ซึ่งตั๊กแตนคิดว่าแบบนี้ไม่ได้แล้วเราต้องลุกขึ้นมาเพื่อเพิ่มเพลงเร็ว เพลงสนุกให้กับแฟนเพลงด้านหน้าเวทีแล้วก็ตัวเราเองด้วย เรากล้าใช้คำว่านักร้อง คือนักร้องจะร้องแต่เพลงช้าหรือ คือถ้าแบบนี้เราจะเรียกตัวเองว่านักร้องได้อย่างไร ถ้าเราทำได้เฉพาะเพลงช้า
คือนักร้องที่ดีจะต้องทำได้ทั้งเพลงช้าเพลงเร็ว แล้วก็การเอนเตอร์เทนก็ต้องดี คือถ้าร้องเพลงเร็วแล้วแต่งตัวมิดชิดมันก็ไม่ใช่ ถ้าทุกคนสังเกตดีๆ มองดีๆ จะเห็นเลยว่าลุคการแต่งตัวจะเป็นไปตามลักษณ์ของเพลงนั้นๆ มากกว่า คือตั๊กแตนจะรู้กาลเทศะว่าเราจะต้องไปงานไหน ไปวัดเราก็จะแต่งตัวอีกอย่าง อยู่บ้านก็แต่งตัวอีกแบบ ทำงานก็อีกอย่าง
แต่หลายคนไม่ได้โฟกัสในจุดการทำงานของตั๊กแตน จะโฟกัสแต่ว่าเดี๋ยวนี้โป๊ เดี๋ยวนี้เซ็กซี่ขึ้น ทำตัวแรง คือจริงๆ ตรงนี้มันคือการทำงานล้วนๆ”
ไม่ใช่คนเรียบร้อย แต่ก็ไม่ใช่คนที่เซ็กซี่จนเกินไป
“ทุกอย่างมันคือการทำงาน แต่ตัวตั๊กแตนเองจริงๆ แล้วไม่ใช่ผู้หญิงที่เรียบร้อย แต่ตั๊กแตนก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่จนเกินไป ตั๊กแตนเป็นผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเอง ตั๊กแตนเป็นผู้หญิงที่พูดตรงๆ เป็นคนสู้ไม่อย่าถอย ก็เลยดูเหมือนแรง พอมาแต่งตัวบวกความเซ็กซี่นิดหน่อยคนก็เลยโฟกัสไปเรื่องนั้น
เพราะว่าตั๊กแตนยังไม่เห็นว่าเพลงไหนที่เราแต่งตัวเกินไป ตั๊กแตนว่ามันเหมาะสมกับเพลงกับยุคสมัย คือเราเป็นคนที่ไม่ยอมให้ตกเทรนแต่ก็ไม่ได้ทิ้งความเป็นตั๊กแตน ชลดา ซึ่งเราเองก็เคสรพแฟนเพลงทุกคน เคารพมุมมองของแต่ละคนว่า โอเคเราไม่สามารถไปห้ามความคิดของใครได้”
ไม่ขอคาดหวังทั้งเรื่องอนาคตและชีวิตคู่
“จริงๆ ตอนนี้เรายังโฟกัสที่งาน เพราะเรายังสนุกกับการทำงานตรงนี้อยู่ เรื่องอนาคตค่อยว่ากันอีกที ช่วงนี้ค่อนข้างใช้เงินไปกับความสุขของตัวเองด้วยการเที่ยว การกิน นอน ทำงานและอยู่กับครอบครัว ซึ่งตั๊กแตนมองว่าอายุคนเรามันไม่ได้ยืนยาว เราไม่รู้ว่าเราจะตายวันไหน หาเงินไปได้สุดท้ายเงินก็ไม่รู้ไปไหน ตั๊กแตนเป็นคนที่ชอบกิน อะไรอร่อยเรากินหมด
ส่วนเรื่องชีวิตคู่ ตอนนี้ไม่กล้าคาดหวังเลย คือหลังจากที่เราผ่านอะไรมายิ่งเราคาดหวังมันไม่ดีหรอก สู้เราปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ คือถ้าสมมติว่าเราเลือกคบใครสักคนหนึ่ง คบกันไปแล้วถึงจุดที่เราไปกันไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับเท่านั้นเอง ก็ทำทุกอย่างให้มันดีที่สุดแค่นั้น...”