ไม่ธรรมดาทีเดียวสำหรับนักแสดงหนุ่มอย่าง "มิว ศุภศิษฏิ์ จงชีวีวัฒน์" ที่นอกจากกำลังจะได้รับความนิยมจากซีรีส์วาย "TharnType The Series เกลียดนักมาเป็นที่รักกันซะดีๆ" มาก ๆ แล้ว เหลียวไปมองการเรียนก็ต้องบอกว่ายิ่งน่าทึ่งไปอีกเพราะเจ้าตัวกำลังจะมีดีรีด็อกเตอร์นำหน้าในอีกไม่นานนี้แล้ว
"ตอนนี้กำลังศึกษาปริญญาเอก คณะวิศวะที่จุฬา เพราะคิดไว้ตั้งแต่ ป.ตรีแล้วว่าวิศวะเท่ห์มาก และตอนนั้นอาม่าบังคับมาให้เลือก 2 คณะคือวิศวะกับหมอ และส่วนใหญ่คนที่จบหมอมาก็ต้องเป็นหมอเลย แต่วิศวะจบมาแล้วยังได้ทำงานอย่างอื่นด้วย อีกอย่างก็เท่ห์ด้วย คิดง่ายไหมล่ะ (ยิ้ม)"
ไม่รู้เรียนเก่งมั้ยแต่ตอนประถมเป็นหัวหน้าห้องตลอด
"ก็ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ เลือกเพราะอะไร (หัวเราะ) แต่ประถมค่อนข้างเรียนโอเคเลย ตอนเด็กๆ เรารู้สึกว่าไม่ต้องอ่านหนังสือเยอะ แต่มันก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ต้องสอบไปมัธยม (สาธิตเกษตร) แต่เราก็ทำตัวเหมือนเดิม ทำให้เกรดตกมาก ทำให้ผมเสียความมั่นใจมากจากเด็กเรียนดีมาก พ่อแม่ภูมิใจ อาจารย์ภูมิใจ เลยทำให้เราเปลี่ยนไปเป็นคนละคน"
"ตอนนั้นยอมรับว่าเรากลายเป็นคนไม่มั่นใจตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เราเป็นหัวหน้าห้อง เราต้องเป็นผู้นำ แต่พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น อย่างเวลาให้ออกไปพรีเซ้นต์หน้าห้อง ผมไม่กล้าพูดเลยนะ มือสั่น เหงื่อออก ตื่นเต้น แต่ครอบครัวก็ให้กำลังใจเราปกติ แต่เป็นที่ตัวเรานี่แหละกดดันตัวเองจนมากเกินไป"
"พอมา ม.ปลาย เพื่อนๆ เขาไปเรียนพิเศษกัน เราก็ไปเรียนกับพวกเขา คือเราติดเพื่อนนั่นแหละ ผมยังจำได้เลยว่าได้โควต้าตอนเทอม 1 แต่พอเทอม 2 ผมได้เคมีเกรด 1 เลยครับ (หัวเราะ) คือช่างมันแล้ว แต่โชคดีที่เกรดเฉลี่ยมันติดโควต้าได้ ผ่านเข้าวิศวะเกษตรได้เลย ก็ถือว่าเรารอดตัวไป"
ใช้เวลานานถึงปี 3 ในการเรียนระดับมหาวิทยาลัยถึงเข้าใจหลักอ่านหนังสืออย่างไรให้เข้าหัว ก่อนเผยเหตุการณ์จำขึ้นใจถูกชี้หน้าด่าว่ายังไงก็เรียนไม่จบ..."เพราะด้วยทรงผมตอนนั้นล่ะมั้ง คือไถข้างๆ เจาะหูสองข้าง ซึ่งมันเหตุการณ์ที่ทำให้ผมจำได้คือวันนั้น 8 โมง ผมก็นั่งเรียนแบบงงๆ ของผมไป"
"จำได้ว่ามีอาจารย์คนนึงบอกว่าครูรู้นะว่าใครเรียนได้ หรือใครเรียนไม่รอด และก็ชี้หน้ามาที่ผมบอกว่า ‘มึงนั่นแหละ หน้าตากวนตีนแบบนี้ เรียนไม่รอดหรอก’ ผมก็คิดในใจว่าผมทำอะไรผิด ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอะไรกับอาจารย์ หรือน่าจะเป็นเพราะทรงผมขัดใจอาจารย์แน่ ๆ ซึ่งเราก็ไม่ได้อะไร เราก็ตั้งใจเรียนต่อไป และวิชานั้นผมก็ได้คะแนนเยอะมากเลย"
เผยหลังจบปริญญาตรีที่บ้านก็บังคับให้เรียนต่อปริญญาโททันที
“ก็เลยย้ายมาเรียนจุฬา อยากเปลี่ยนสถานที่ เพราะเราอยู่ที่เกษตรมาตั้งแต่ประถมยัน ป.ตรี อยู่มา 16 ปีแล้ว ถัดจากนั้นก็มาต่อปริญญาเอกอีก เพราะตอน ป.โทงานวิจัยของผมจะอยู่ในจำพวกที่เอาทฤษฎีมาทำใหม่ สร้างสมการใหม่ มันสามารถขยายไป ป.เอกได้ รวมไปถึงปรึกษากับที่ปรึกษาแล้ว เขาคิดว่าผมเรียนไหว ผมก็เลยเรียนต่อ"
"อย่างตอน ป.ตรี เราก็ได้ไปเป็นผู้ช่วยสอนน้อง ๆ มาแล้ว มันให้เราย้อนกลับไปคิดว่าเราผ่านอ่านหนังสือไม่เป็น ผ่านช่วงที่เราเรียนห่วยมาก และเราเจอในช่วงที่เราอ่านหนังสือเป็นแล้ว มันสามารถเอาประสบการณ์เหล่านี้ไปถ่ายทอดให้น้อง ๆ ได้ และถ้าเราเรียนจบแล้ว เราอาจจะเป็นอาจารย์มหาลัยก็เป็นได้"
รู้สึกอย่างไรกับสถานะว่าที่ด็อกเตอร์ในตอนนี้?
"ว่าที่ด็อกเตอร์เหรอครับ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เราแค่คิดว่าเรามีโอกาสแล้ว เราก็ไปให้สุดแล้วกันครับ"
เหมือนจะเป็นคนหัวอ่อน ผู้ใหญ่ให้ทำอะไรก็ทำ นิสัยจริง ๆ เราเป็นอย่างไร?
"ก่อนหน้านี้ถ้าใครไม่รู้จักผมก็จะคิดว่าผมเป็นแบด ๆ ซึ่งจริง ๆ ผมเป็นคนเรียบร้อยจะตาย (ยิ้มเบาๆ) เอาจริง ๆ ผมเป็นคนหัวร้อนมาก เป็นคนโมโหง่ายมาก อาทิกินข้าวไม่ตรงเวลาก็โมโห หรือนอน ๆ อยู่มีใครปลุกก็โมโหเหมือนกัน อย่างเวลาตอนเรียนการแสดงและบทที่ต้องโมโห ผมสามารถบิ้วท์ขึ้นได้ทันที ทุกคนจะรู้เลยว่าผมจูนติดกับความโมโหได้ง่าย"
"ยอมรับเลยว่าเป็นคนเอาแต่ใจและดื้อด้วย แต่เป็นคนตั้งใจนะ (ยิ้ม) เราเป็นคนซีเรียสเรื่องงาน อยากจะทำให้ดีที่สุด เป็นคนจริงจังกับทุกเรื่อง..."